บอกแล้วว่ากระแสความนิยมรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยมันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ เพียงแต่ที่ผ่านมารถ EV ของพี่จีนเขาเล่นขนกันมาเป็นกองทัพขนาดนั้น มันก็เลยเป็นกระแสที่ต้านยาก อย่างไรก็ตาม ผมได้ข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจนมาแล้วว่าปี 2568 นี้ เราจะได้เห็นค่ายญี่ปุ่นเปิดตัวรถไฮบริดในกลุ่ม Crossover อย่างน้อย 4 รุ่น จาก 4 แบรนด์ และที่น่าสนใจก็คือ เป็นระบบไฮบริดที่มาในรูปแบบต่างกันทั้งสิ้น ซึ่งแต่ละแบรนด์เค้าจะมีระบบไฮบริดอะไรมาขายในบ้านเราบ้างนั้น ทีมงานเราสรุปมาให้รู้กันไปเลย
SUZUKI FRONX
ขอเริ่มจากค่าย Suzuki ซึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้เปิดตัวรถยนต์โมเดลใหม่ในประเทศไทยมาระยะหนึ่ง จะมีเปิดตัวรุ่นใหม่ก็จะเป็นการเอารถโมเดลเดิมมาเพิ่มออปชั่น หรือใส่ขุมพลังในรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ทั้ง 2 รุ่นของค่ายอย่าง Ertiga และ XL7 ไปเป็น ไฮบริด MHEV หรือที่เรียกกันว่า Mild Hybrid นั่นเอง

แต่ในปีนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเผยโฉมตัวละครตัวใหม่ออกมาเสียที และที่สำคัญไม่ได้ประกอบในโรงงานประเทศไทยแล้ว เพราะ Suzuki เตรียมปิดโรงงานช่วงปลายปี ซึ่งรถที่จะนำเข้ามาจำหน่ายจะเป็นรถสไตล์ Crossover ที่เราไม่ได้เห็นกันมานานมากแล้วสำหรับรถยนต์ค่ายนี้ นั่นก็คือ Suzuki Fronx ที่ขนาดของตัวรถอยู่ในพิกัดใกล้เคียงเจ้าตลาดรถกลุ่มนี้อย่าง Honda WR-V หรือ Toyota Yaris Cross


และแน่นอนว่าเปิดตัวมายุคนี้ ถ้ามากับเครื่องยนต์สันดาปเบนซินธรรมดาทั่วไปมีหวังโดนโห่แน่ๆ ซึ่งทาง Suzuki ประเทศไทยก็โยนหินถามทางมาด้วย Ertiga และ XL7 แล้ว ดังนั้นเจ้า Suzuki Fronx คันนี้ก็ต้องมากับขุมพลังไฮบริดสิครับ แต่ยังคงเป็น Mild Hybrid แบบเดียวกับ Ertiga และ XL7 นั่นแหละ สำหรับบางคนที่ยังไม่รู้ก็จะมีคำถามว่า แล้ว Mild Hybrid ที่ว่า มันต่างกับระบบไฮบริดที่ค่ายเจ้าตลาดอย่าง Toyota หรือ Honda ใช้อยู่ตอนนี้อย่างไร? ขออนุญาตอธิบาย

ขุมพลังของ Suzuki Fronx ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบ Mild Hybrid ที่มีทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator (ISG) เป็นลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้าไปหมุนสายพานที่เชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 12V แต่การทำงานของเจ้า Mild Hybrid ของ Suzuki มันต่างจากระบบไฮบริดของเจ้าตลาดก็คือ อย่างแรกมอเตอร์ไฟฟ้าตัวดังกล่าวไม่ได้ส่งกำลังไปที่ล้อขับเคลื่อนแต่อย่างใด แต่จะมีหน้าที่หลักในการช่วยเสริมแรงในช่วงการออกตัวและเร่งแซงในระยะสั้นๆ หมายความว่าเครื่องยนต์ยังคงเป็นหัวใจหลักในการส่งพลังไปที่ล้อ แต่หากว่ากำลังไฟฟ้าในแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนมีเพียงพอ กระแสไฟฟ้าจะส่งมาที่มอเตอร์ ISG ตัวนี้เพื่อช่วยหมุนชุดสายพานเครื่องยนต์เพิ่มอัตรเร่งที่ดีขึ้นและช่วยลดภาระเครื่องยนต์ในช่วงเร่งไปได้เล็กน้อย

ซึ่งหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้า ISG ตัวนี้ไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะการช่วยออกตัวหรือเร่งแซงในระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์แทนไดสตาร์ทในระบบ Auto Start – Stop ซึ่งข้อดีก็คือการสตาร์ทมีความนุ่มนวลมากขึ้น และเมื่อระบบ Auto Start-Stop ทำงาน หมายถึงเครื่องยนต์ดับขณะเหยียบเบรกตอนติดไฟแดง แบตเตอรี่ทั้งลูกเล็ก และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน จะช่วยกันส่งกำลังไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของรถอย่างเช่นระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง ไฟหน้าจอ และอื่นๆ

ดังนั้นถ้าคุณคาดหวังในแง่ของสมรรถนะความแรงของรถคันนี้ว่ามันจะแรงกว่าเครื่องยนต์เบนซินทั่วๆ ไป ก็คงไม่ใช่ และรถก็ไม่สามารถวิ่งได้ด้วยมเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว เพราะอย่างที่บอกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าของระบบ Mild Hybrid มันไม่ได้ส่งกำลังไปที่ล้อแต่อย่างใด แต่สิ่งที่จะได้เพิ่มเติมจากรถเครื่องยนต์เบนซินทั่วไปก็คือ การออกตัวกับอัตราเร่งที่ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ที่แน่ๆ จากการทดสอบ การมีระบบนี้มาช่วยมันช่วยลดไอเสียจากการทำงานของเครื่องยนต์อย่างเดียวไปได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว อีกผลพลอยได้ก็คือว่า Mild Hybrid ไม่มีเทคโนโลยีที่สูงล้ำอะไร จึงทำให้ต้นทุนต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าตัวของเจ้า Suzuki Fronx คันนี้น่าจะเป็นเป็นรถครอสโอเวอร์ตัวใหม่ที่ค่าตัวจับต้องง่ายมากที่สุดนั่นเอง
MITSUBISHI XFORCE
Hybrid Crossover คันต่อมาที่เราจะได้เห็นกันในปีนี้ก็คือ Mitsubishi XForce ตัวรถมีขนาดใกล้เดียงกับคันแรกที่กล่าวถึงไปนั่นแหละครับ ซึ่งในโมเดลบอดี้นี้เปิดตัวในต่างประเทศไปแล้วเมื่อปี 2023 แต่มีแค่เวอร์ชั่นเครื่องยนต์เบนซินธรรมดาเท่านั้น แต่คันที่จะมาเปิดตัวในประเทศไทยปีนี้จะเป็น XForce HEV หรือไฮบริด ซึ่ง-ขุมพลังมีพื้นฐานเดียวกับ Xpander HEV หรือ Xpander Cross HEV

ส่วนประกอบของขุมพลังน่าจะยังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นระบบไฮบริดแบบ Full Hybrid หรือไฮบริดทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างที่ค่ายเจ้าตลาดใช้กัน กล่าวคือทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวส่งกำลังไปที่ล้อ ดังนั้นจะมีบางช่วงจังหวะที่รถสามารถวิ่งได้ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวในโหมด EV หรือในช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำคงที่ ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงไปได้มากพอสมควร รวมถึงอัตราเร่งที่ยังไงก็จี๊ดจ๊าดกว่า Mild Hybrid แน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยขนาดของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ ขนาดแบตเตอรี่ไฮบริดแบบลิเธียม-ไอออนทีมีขนาดใหญ่กว่าและความจุมากกว่า รวมถึงส่วนประกอบต่างๆ ของระบบไฮบริดชนิดนี้ ก็จะส่งผลให้ค่าตัวสูงกว่า Suzuki Fronx แน่นอน


Subaru XV e-Boxer Hybrid
คันนี้ถือเป็นความแปลกใหม่สำหรับเมืองไทยก็ว่าได้เพราะยังไม่เคยมีมาให้เห็นให้ลองกันก่อน นั่นก็คือ e-Boxer Hybrid ที่จะมากับรถคันล่าสุดที่มีแนวโน้มเปิดตัวในประเทศไทยปีนี้อย่าง Subaru Crosstrek e-Boxer Hybrid เห็นชื่อรุ่น Crosstrek จริงๆ แล้วมันก็คือ XV นั่นแหละครับ แต่คันล่าสุดนี้จะมากับขุมพลังลูกสูบนอนเหมือนเดิม เพิ่มเติมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป

โดยเจ้า Subaru Crosstrek e-Boxer Hybrid คันนี้ยังคงมาในคอนเซ็ปต์ประจำรุ่นเหมือนเดิมคือเป็น Crossover สายลุยขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ที่น่าสนใจคือ e-Boxer Hybrid นี่แหละ มันคืออะไร? มันเป็นไฮบริดแบบไหน? เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นมากนัก สเปคเปิดเผยได้เลยเพราะออกขายในต่างประเทศแล้ว และที่จะมาขายในประเทศไทยก็คงไม่ผิดไปจากนี้

ขุมพลังเจ้าคันนี้ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบ e-Boxer ที่เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent magnet AC Synchronous ส่งกำลังไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ LinearTronic CVT ถามว่ามันเป็นระบบไฮบริดที่แตกต่างจาก Full Hybrid ทั่วไปหรือไม่? ตอบเลยว่า เหมือนกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ตัวเครื่องยนต์ของ Subaru มันเป็นลูกสูบนอนเท่านั้นเอง

พูดง่ายๆ คือ จากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอนเพียวๆ ก็เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้ามาชูกำลังเข้าไปอีก 16.7 แรงม้า กับเพิ่มแรงบิดให้กับเครื่องยนต์อีก 66 นิวตันเมตร ซึ่งแค่นี้มันก็ช่วยให้อันตราเร่งของเครื่องเบนซิน 4 สูบไม่มีเทอร์โบจี๊ดจ๊าดกว่าเดิมขึ้นมาเยอะแล้วครับ และที่สำคัญเวอร์ชั่นที่เปิดตัวไปแล้วมีให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่สเปคที่จะมาขายประเทศไทยจะมียังไงบ้างยังไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ ราคาน่าจะเอาเรื่อง เพราะหลังจากนี้ไปไม่มีรถที่ประกอบในประเทศไทย หรือนำเข้ามาจากมาเลเซียแล้ว จะเป็นรถที่ประกอบและนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ก็ต้องแลกกับภาษีที่จัดมาเต็ม
MG ZS Hybrid+
เดี๋ยวก่อน รถ Hybrid Crossover รุ่นใหม่ที่จะมาเปิดตัวในประเทศไทยมันไม่ได้มีแค่เฉพาะจากค่ายญี่ปุ่นนะครับ เพราะค่ายรถจีนเขาก็ไม่ได้มีเฉพาะรถ EV แต่ก็มีไฮบริดด้วยเช่นกัน และคันที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ก็รอเวลาอันเหมาะเจาะในปีนี้ที่จะเข้ามาสู้ด้วยเหมือนกัน มันคือ MG ZS Hybrid+ อีกหนึ่งทางเลือกรถค่ายจีนสำหรับลูกค้าที่ยังไม่สน EV พื้นฐานก็คือโมเดล ZS นี่แหละ แต่เปลี่ยนขุมพลังเป็นไฮบริด ซึ่งพูดกันตรงๆ ก็คือขุมพลังตัวเดียวกับที่อยู่ใน MG3 Hybrid+ นั่นแหละครับ แค่มาในบอดี้ที่ต่างกันเท่านั้นเอง

โดยขุมพลังไฮบริดที่ว่าประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบขนาด 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous ให้พละกำลังรวมถึง 196 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนความจุ 1.83 kWh โดยระบบไฮบริดนี้สามารถส่งกำลังได้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ เครื่องยนต์ล้วนๆ และทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ ก็จะได้ทั้งความประหยัดเชื้อเพลิง และสมรรถนะอัตราเร่งที่ดีกว่าเครื่องยนต์เบนซินทั่วไปอย่างแน่นอน ที่สำคัญในฐานะที่เป็นรถจากค่ายจีน ไม่ต้องแปลกใจว่าของเล่นฟังก์ชั่นมีติดตัวมาเพียบแน่นอนกับค่าตัวที่เดาว่าค่ายรถญี่ปุ่นต้องมีหนวดกระดิกกันมั่งล่ะครับ


นี่เป็นเพียงบางรุ่นที่เรามั่นใจว่ามาแน่ๆ ตั้งแต่ต้นปีนี้ แต่ใครจะมาก่อนหลัง รอดูไปพร้อมๆ กัน ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าคนไทยไม่น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นปัจจัยหลักในการตัดสินใจน่าจะเป็นที่ราคามาเป็นอันดับต้นๆ
