ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่ากระแสรถยนต์ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรามาแรงเกินต้านทาน ไม่ต้องย้อนกลับไปไกลให้ต้องมาเปิดปฏิทิน เอาแค่ความสนใจและฟีดแบคของรถ EV ในงาน Motor Expo 2024 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มันก็เห็นชัดแล้วว่าบูธแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีนที่รถส่วนใหญ่เป็น EV คนให้ความสนใจเข้าไปดูรถกันแบบบูธแทบแตกเกือบทุกวัน ในบริเวณพื้นที่ของการทดลองขับ ลูกค้าลงทะเบียนมาทดลองขับรถ EV สัญชาติจีนกันทั้งวันตั้งแต่งานเริ่มจนปิดช่วงการทดลองขับ

เพราะอะไรคนไทยถึงตื่นตัวกับกระแสรถยนต์ EV กันขนาดนี้? ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์มันก็เป็นหนึ่งในแฟชั่นชิ้นใหญ่ที่ถ้าเห็นเพื่อนใช้ ฉันก็อยากใช้บ้าง ซึ่งหลายคนมองข้ามความจำเป็นและเหมาะสมไปเลย ตามมาด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยงามล้ำสมัยดูอินเทรนด์กับโลกยุคใหม่ บวกเข้าไปกับเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นที่ถูกใจคนรุ่นใหม่เสียเหลือเกิน อยากได้อะไรก็มีให้หมด พร้อมความภูมิใจที่ว่า ต่อไปนี้ฉันไม่ต้องเติมน้ำมันแล้ว รถฉันไม่ปล่อยไอเสียแล้วนะ และที่สำคัญคือ ราคาค่าตัวที่ไม่ลำบากเอาเสียเลย พูดง่ายๆ ว่าอยากได้ก็ซื้อ ไม่เดือดร้อนกระเป๋าสตางค์มากมาย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น…ผ่านช่วงงานมาหลายวัน หลายยคนคิดว่ายอดจองรถยนต์ในงาน Motor Expo ครั้งนี้น่าจะเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีรถยนต์ EV จำหน่าย ซึ่ง BYD ก็ติดท็อปหัวตารางมาหลายวัน แต่สุดท้ายแล้วแบรนด์รถยนต์ที่มียอดจองสูงสุดในงาน มันกลับไม่ใช่แบรนด์ที่มีรถยนต์ EV จำหน่าย แต่แชมป์ยอดจองในงานกลับเป็นของ Toyota ซึ่งก็ไม่ได้มีรถยนต์ EV มาขายในงานนี้ ซึ่งแน่นอนว่าความหลากหลายของโมเดลรถยนต์ที่มีจำหน่ายย่อมส่งผลถึงยอดจอง อย่าง Toyota ที่มีทั้งกระบะ พีพีวี เอสยูวี ซีดาน และอื่นๆ อีกมากมาย ในขณะที่อันดับ 2 เป็นของ BYD ที่ก็มีรถยนต์หลากหลายรุ่นหลากหลายแบบเข้ามาจำหน่ายเช่นเดียวกัน ส่วนอันดับ 3 เป็นของ Honda ซึ่งก็ไม่มีรถยนต์ EV จำหน่ายเช่นกัน แม้จะมี e:N1 มาโชว์แต่ก็ไม่ได้จำหน่าย แต่ค่ายนี้เคี้รุ่นขายดีซึ่งก็เป็นรถยนต์ HEV ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Civic, HR-V, CR-V หรือ Accord

ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านลองย้อนกลับไปบรรทัดแรกๆ ที่ผมบอกว่า รถยนต์แบรนด์จีนในงานบูธแทบแตก รวมถึงการทดลองขับของลูกค้าในงานก็มีแต่รถยนต์ EV จีนที่วิ่งกันทั้งวัน แต่ทำไมแชมป์และยอดจองรถยนต์ส่วนใหญ่กลับไม่ใช่รถยนต์ EV สัญชาติจีน??


ผมตอบตามทัศนะส่วนตัวของผมว่า ถึงเวลาซื้อรถใช้งานจริงๆ แล้วลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่ หรืออีกจำนวนมาก ไม่ได้เลือกซื้อรถยนต์จากกระแส แฟชั่น หรือรูปร่างหน้าตาที่หวือหวามาใหม่ล้ำสมัย และเทคโนโลยีที่เลิศล้ำ แต่ยังคงคำนึงถึงความน่าเชื่อถือ พอพูดถึงความน่าเชื่อถือเดี๋ยวทัวร์ก็จะมาลงผมอีกว่า แล้วค่ายรถจีนไม่น่าเชื่อถือตรงไหน!!! ใจเย็นก่อนนะครับ ความน่าเชื่อถือของผมหมายถึง ระยะเวลาของแบรนด์นั้นๆ ที่ทำธุรกิจในประเทศไทย ชื่อเสียงในแง่ดีของแบรนด์ที่สร้างมาอย่างต่อเนื่อง คุณภาพสินค้าที่สร้างความพึงพอใจมาเป็นระยะเวลานาน และที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง After Sales Service หรือพูดง่ายๆ คือ บริการหลังการขายหรือศูนย์บริการ อย่างน้อยด้วยความที่แบรนด์ญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่อยู่ในประเทศไทยมานาน มันก็สร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าที่เน้นเรื่องนี้ได้มากกว่าพอสมควร ศูนย์ไหนไม่ดี งานปัญหาแก้ไม่หาย ก็ไปหาศูนย์ใหม่ได้ หรือหลายคนเมื่อเลิกเข้าศูนย์หลังรถหมดระยะประกัน เอาเข้าไปเซอร์วิสกับอู่ข้างนอก ก็ยังมั่นใจได้ว่ามีอะไหล่เบิกได้ง่ายๆ และอู่ต่างๆ ก็ชำนาญการซ่อมรถแบรนด์ญี่ปุ่นกันมาเป็นอย่างดี


แม้กระทั่งรถยนต์ไฮบริดที่สมัยก่อนกลัวนักกลัวหนาว่ามันซ่อมยากหรือซ่อมไม่ได้ เดี๋ยวนี้อู่ซ่อมรถไฮบริดในประเทศไทยเพียบครับ ซึ่งเมื่อเทียบกับรถ EV ค่ายจีน วันนี้ยังถือว่าใหม่มากสำหรับใครหลายๆ คน ซึ่งยังคงอาจกังวลว่าศูนย์บริการจะซ่อมได้มั้ย? อะไหล่มีรองรับหรือต้องรอนานหรือไม่? ถ้าไม่ใช่ศูนย์บริการของทางค่าย จะมีอู่ข้างนอกที่ซ่อมได้แล้วหรือยัง? ถ้าหากมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ ผมเชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนั้นยังไงก็ยังไม่ไปรถจีนจนกว่าจะแน่ใจจริงๆ หรืออาจขอรอเวลาอีกสักพัก


แต่รถยนต์ EV มันก็น่าสนใจนะ?? ในแง่ไหนล่ะ ถ้าในเรื่องของดีไซน์ภายนอก ภายใน เทคโนโลยี ฟังก์ชั่น อันนั้นผมไม่เถียงเลย เขาล้ำหน้าไปกว่ารถญี่ปุ่นมาก และที่สำคัญมาในราคาที่ถูกกว่าเสียด้วย สมรรถนะการขับขี่ก็ดี เงียบ เร็ว แรง แต่ทำไมตัวเลือกที่เป็นรถยนต์ไฮบริดก็ไม่ได้ลดความนิยมลง แถมยังดูเพิ่มเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับเรื่องความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ผมกล่าวไปแล้ว ผมมองว่า ประสิทธิภาพของระบบไฮบริดรุ่นใหม่ๆ มันพัฒนาไปจากเดิมมาก ในลักษณะการขับใช้งานทั่วไป

รถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ๆ ถูกออกแบบให้ใช้กำลังจากมอเตอร์เตอร์ไฟฟ้าส่งไปที่ล้อมากกว่ากำลังจากเครื่องยนต์ ซึ่งก็หมายถึงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยลงตามไปด้วย มีการปรับปรุงพัฒนาทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าคุณได้ลองขับรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ๆ จะรู้เลยว่าในช่วงการเดินทางที่ใช้ความเร็วคงที่ มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานมากกว่าเครื่องยนต์ นี่ผมยังไม่นับรวมรถยนต์ประเภท Plug-in Hybrid (PHEV) ที่บางครั้งขับจากบ้านไปที่ทำงาน เครื่องยนต์แทบไม่ทำงานเลย นั่นหมายถึงความประหยัด ยกตัวอย่างง่ายๆ จากที่ผมเคยขับใช้งานจริงมา เอาสักรุ่นสองรุ่นที่ฮิตๆ แล้วกันครับ เริ่มจาก Toyota Corolla Cross HEV ขับใช้งานทั่วไปในเมืองสลับขึ้นทางด่วนตามปกติ อัตราสิ้นเปลือเชื้อเพลิงคำนวนมาแล้วอยู่ที่ประมาณ 22-23 กม./ลิตร ส่วนอีกคันเป็นรถอีกแบรนด์ที่เพิ่มขนาดขึ้นมา Honda CR-V e:HEV AWD ขับใช้งานรูปแบบเดียวกันเป๊ะ ได้อยู่ที่ประมาณ 15 กม./ลิตร


ถามว่าถ้าเทียบกับรถ EV ที่ชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้งขับได้เกิน 400 กม. แน่นอนว่ามันเทียบกันไม่ได้อยู่แล้วในเรื่องของความประหยัด แต่ข้อดีของรถไฮบริดมันคือ คุณจะขับไปไหนเมื่อไหร่ยังไงก็ได้ ออกนอกเส้นทางหรือแผนประจำวันได้โดยไม่ต้องมาสนใจ แบตเตอรี่ว่าเหลือเท่าไหร่ เพราะปั๊มน้ำมันมีอยู่ทุกหนแห่ง แล้วจากอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถยนต์ไฮบริดอย่างที่ผมบอกไป มันก็ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่าแต่ก่อนมาก ยิ่งถ้าคุณใช้คันเร่งอย่างถูกต้องมันจะยิ่งโคตรประหยัด ออกต่างจังหวัดคุณก็ไม่ต้องสนแล้วว่าจะหาสถานีชาร์จไฟฟ้าได้หรือไม่ ต้องไปรอนานมั้ย จอดชาร์จไฟฟ้าทีนึงเสียเวลาไปครึ่งค่อนชั่วโมง


เรื่องของออพชั่นต่างๆ ในรถยนต์ไฮบริดค่ายญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดรับไม่ได้ ที่สำคัญในแง่ของราคาขายต่อ ณ ปัจจุบัน ยังไงก็ขายง่ายกว่าละได้ราคากว่ารถยนต์ EV และต้องไม่ลืมเรื่องของค่าประกันภัยรถยนต์ที่ของรถยนต์ EV ที่จัดว่าแพงซะเหลือเกิน ทำเอาหลายคนที่กำลังตัดสินใจจะซื้อรถ EV เห็นค่างวดประกันเข้าไปถึงกับเปลี่ยนใจก็มี


ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นสาเหตุว่าทำไมรถยนต์ไฮบริดยังเป็นตัวเลือกสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละคนรวมถึงความเหมาะสมด้วย และถ้าคุณยังสงสัยว่า ในบูธรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นกับบริเวณที่ให้ทดลองขับคนไม่เยอะเท่าบูธรถจีนแต่ทำไมยอดจองยังขึ้นนำ? ก็เพราะคนซื้อเขาเชื่อมั่นในแบรนด์และตัวสินค้าไปแล้วไงครับ ไม่ต้องดูมาก ลองมาก อยากได้ก็จองเลย ซื้อเลย … นั่นเอง

