มากันอย่างไม่หยุดหย่อน จากที่เผยโฉมไปเมื่องานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กับก่อนหน้านี้ที่มีรถป้ายทะเบียน QC วิ่งให้เห็นบ้างเป็นระยะ ล่าสุดเปิดตัวเปิดราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับเจ้า Xpeng G6 รถรุ่นแรกของ Xpeng ที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย กับรูปร่างหน้าตาล้ำยุคล้ำสมัย จนหลายคนพูดว่านี่มันหุ่นยนต์ชัดๆ ก็แน่ล่ะครับ มันเป็นความตั้งใจของทาง Xpeng เขาอยู่แล้วที่จะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยียานยนตร์ และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เจ้า Xpeng G6 นี้ถูกพัฒนาและสร้างขึ้นมาเพื่อท้ารบ Tesla Model Y กันโดยเฉพาะ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036973_1575x1050.jpg)
พูดง่ายๆ เหมือนเอา Tesla Model Y ตั้งเป็นโจทย์ แล้วสร้างรถที่เหนือกว่าให้ได้ ซึ่งมันก็ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกันจริงๆ นั่นแหละครับ เริ่มจากมิติตัวถังภายนอกที่ใกล้เคียงกันเหลือเกิน ความยาว ความกว้าง ความสูง ห่างกันอยู่ 2-3 มม. เอาว่ามองด้วยตาเปล่าไม่มีทางรู้ ส่วนฐานล้อหน้า-หลัง นี่เท่ากันเป๊ะเลย เรื่องรูปร่างหน้าตานั้นผมใช้คำว่ามากันคนละสไตล์มากกว่า
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/open-6-17.png)
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/open-7.png)
Xpeng G6 สำหรับผมจัดเป็นรถที่มีรูปร่างหน้าล้ำสมัย โดดเด่นที่ความโค้งมนของเรื่อนร่างทั้งคัน แล้วใช้รูปทรงไฟหน้า-หลังเป็นเส้นแถบยาวทรงแคบๆ แต่ให้ความสว่างดีเหลือเกิน ซึ่งพอพูดถึงเรื่องดีไซน์ของ Xpeng G6 เขาก็ไม่ธรรมดา เพราะคนออกแบบคือ Juanma Lopez ซึ่งตอนนี้นั่งตำแหน่ง Vice President of Design Center (รองประธานฝ่ายออกแบบ) ของ Xpeng อดีตเคยเป็นคนออกแบบรถระดับซูเปอร์คาร์มาก่อนทั้ง Ferrari และ Lamborghini รวมถึงรถระดับไฮเอนด์อย่าง Audi อีกด้วย มิน่าผมเห็นเจ้า G6 ครั้งแรกมันเตะตาดีเหลือเกิน และกล้าพูดได้ว่ามันเป็นรถที่ภายนอกสวยมาก แต่จะว่าไปความรู้สึกเตะตานี้มันก็เกิดขึ้นตอนที่ผมเห็น Tesla ครั้งแรกเหมือนกัน
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036986_1575x1050.jpg)
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_56_1575x1050.jpg)
ภายในห้องโดยสารถ้าเทียบกันระหว่าง Xpeng G6 กับ Tesla Model Y ส่วนตัวผมมองว่ามันไปกันคนละทางคนละแนว ห้องโดยสาร Model Y พอเปิดเข้ามานั่งแล้ว มันได้ฟิลลิ่งความสปอร์ต และผมชอบในความมินิมอลของเขาในแง่ของคอนโซล แดชบอร์ด ที่ดูเรียบๆ ไม่มีเลเยอร์อะไรมากมองไปข้างหน้าเห็นแค่แดชบอร์ดเรียบๆ มีพวงมาลัย และหน้าจอแสดงผลรวมตรงกลางขนาด 15 นิ้วเท่านั้น ไม่มีจอแสดงผลการทำงานหรือหน้าปัดหลังพวงมาลัย ซึ่งผมชอบ มันไม่เกะกะสายตาดี
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_94_1575x1050.jpg)
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_98_1575x1050.jpg)
แต่ข้อเสียคือทุกอย่างมันแสดงผลรวมอยู่ที่จอกลางทั้งหมด ถ้าอยากจะดูอะไรขณะขับก็ต้องละสายตามาที่จอกลางซึ่งไม่สะดวกเท่าไหร่ เบาะนั่งคู่หน้าก็มารูปแบบสปอร์ตถ้าถามว่ากระชับตัวดีมั้ย ตอบว่าดีครับ แต่ถ้าถามว่านั่งสบายมั้ย ตอบว่านั่งไม่สบายเอาเสียเลย ด้วยวัสดุและฟองน้ำที่ค่อนข้างแน่น ไม่น่าถูกใจคนที่ชอบเบาะนุ่มๆ สักเท่าไหร่ ส่วนเบาะหลังเรื่องความกว้างขวางก็ถือว่าใช้ได้อยู่ แต่ความสบายของเบาะหลังผมยังไม่ถูกใจสักเท่าไหร่ ดีที่ว่าสามารถพับได้ราบและเป็นระบบพับด้วยไฟฟ้า ทั้งเบาะนั่งหน้า-หลังมีระบบอุ่นเบาะมาให้ด้วย แต่คนไทยใครจะใช้หรือ?
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036990_1575x1050.jpg)
จุดวางโทรศัพท์ที่เป็น Wireless Charger เป็นลักษณะกึ่งแนวตั้งแต่อยู่ในองศาที่รถเลี้ยวแล้วโทรศัพท์ไม่ล้มง่ายๆ ผมว่าดีตรงที่ทำให้มองเห็นหน้าจอหากมีการเตือน หรือมีคนโทรเข้าก็จะเห็นได้ทันที หลังคาเป็น Panoramic Glass Roof กระจกทั้งชิ้นเคลือบฟิล์มกันความร้อนและ UV มาให้ในระดับหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่เอาไปติดฟิล์มเพิ่มแน่นอนด้วยพลังแห่งแสงอาทิตย์ประเทศไทย
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_91_1575x1050.jpg)
ในขณะที่เมื่อเข้ามานั่งใน Xpeng G6 มันให้อารมณ์ไปคนละเรื่อง G6 ได้มุมมองของความกว้างขวางหรูหราสะดวกสบาย แต่หย่อนก้นลงไปบนเบาะนั่งคนขับก็รู้สึกเลยว่าสบายกว่า Model Y เยอะ ตรงนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเพราะผมใช้เวลาอยู่กับเจ้า G6 และ Model Y พอๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนเรื่องการขับขี่นั้นอดใจรอ เดี๋ยวจะบรรยายแบบให้เห็นภาพเลยครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_81_1575x1050.jpg)
เข้ามานั่งใน G6 แล้วรู้สึกเป็นรถที่ภายในกว้างมาก เบาะนั่งก็สบายมากๆ แต่ก็ยังมีปีกข้างไว้รองรับร่ายกายเวลาขับเข้าโค้งได้ดี วัสดุเบาะนั่งคุณภาพเดียวกับรถยุโรปราคาสูงๆ และที่สำคัญเบาะนั่งคู่หน้าในสเปคที่ขายประเทศไทย มีรูให้ลมแอร์เย็นๆ ออกมาได้ด้วยโดยเป็นอุณหภูมิเดียวกันกับที่ตั้งไว้ที่ช่องแอร์ซ้าย-ขวา หรือถ้าอยากได้ระบบอุ่นที่เบาะคู่หน้าก็มีให้ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ทั้งสวิตช์ข้างเบาะ หรือจะปรับผ่านหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 14.96 นิ้ว (อีกนิดเดียวก็ 15 นิ้วแล้ว) ก็ได้ ซึ่งจอที่ว่านี้ก็คือบอร์ดควบคุมระบบทุกอย่างของรถคันนี้เลยก็ว่าได้
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036985_1575x1050.jpg)
รูปทรงพวงมาลัยของ G6 ไม่ใช่ทรงกลม แต่เป็นลักษณ์คล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอนที่เป็นมุมโค้งมน จับกระชับควบคุมง่าย และข้อดีของรูปทรงพวงมาลัยที่ตัดด้านบนก็คือมันไม่บดบังทัศนวิสัยการขับ ส่วนแนวด้านล่างของพวงมาลัยไม่ชนหัวเข่าสำหรับคนตัวสูง ชุดมาตรวัดขนาด 10.2 นิ้วหลังพวงมาลัย แสดงการทำงานระบบต่างๆ ของรถคันนี้ได้เยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะสัญญาณเตือนต่างๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นของ G6 เพราะระบบช่วยเหลือมันเยอะเหลือเกิน คอนโซลกลางเป็นแท่นวางโทรศัพท์พร้อมการเป็น Wireless Charger ไปในตัว และที่สำคัญคือทั้งสองตำแหน่งเป็นแบบ Fast Charging หรือชาร์จแบบเร็วเสียด้วย
ที่เหลือเรื่องการเปลี่ยนเกียร์หรือควบคุมระบบต่างๆ ไปอยู่ที่ด้านขวาหลังพวงมาลัยทั้งหมด ส่วนด้านซ้ายเป็นด้ามควบคุมระบบไฟส่องสว่าง และปัดน้ำฝน ซึ่งถ้าตั้งเป็น Auto ไว้ทุกอย่าง ก็แทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันแล้ว ส่วนปุ่ม Multi-function ที่พวงมาลัยก็เอาไว้ควบคุมระบบที่ต่างกันโดยเซ็ตว่าจะให้ควบคุมระบบไหนผ่านหน้าจอกลางไว้ก่อน เรียกง่ายๆ ว่าปุ่ม Short cut ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับ Model Y นั่นแหละครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036987_1575x1050.jpg)
ย้ายมาที่เบาะหลังของ Xpeng G6 โอ้โห! พูดเลยว่าในกลุ่มรถ EV ที่มีขนาดเท่าหรือใกล้เคียงกันที่ขายอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ G6 นั่งสบายที่สุดแล้ว ทั้งวัสดุที่ใช้ ความกว้างขวาง และพื้นที่วางเท้า พนักพิงเบาะนั่งหลังก็ปรับได้หลายระดับ ผมท้าเลยว่าถ้าเดินทางไกลแล้วคุณนั่งเบาะหลังของ G6 โดยปรับระดับเอนลงสุด ถ้าคุณไม่หลับผมเลี้ยงกาแฟคุณเลยเอาจริง นี่ยังไม่นับรวมบริเวณเหนือศีรษะที่โปร่งโล่งสบาย แหงนมองขึ้นไปข้างบนก็เป็นหลังคาแบบ Panoramic Glass Roof เคลือบฟิล์มกรองแสงและความร้อนแบบเดียวกับ Model Y เอาเป็นว่าภายในห้องโดยสารถ้าในแง่ของดีไซน์เรียบง่ายสบายตา เบาะนั่งให้ความกระชับและอัดฟองน้ำแน่นแบบสปอร์ต ต้องยกให้ Tesla Model Y แต่ถ้าเอาเรื่องความสบายทั้งคนขับและคนโดยสารทั้งด้านหน้า และด้านหลัง Xpeng G6 กินขาด รวมถึงเทคโนโลยีที่หน้าจอกลาง G6 ก็ได้เปรียบในเรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำกว่า แต่ก็อย่างว่า เรื่องเทคโนโลยียังไงคนที่มาทีหลังก็ย่อมได้เปรียบกว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ แล้วทาง Xpeng เขาก็เน้นเรื่องนี้มาเป็นอันดับแรก
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1037012_1575x1050.jpg)
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_60_1575x1050.jpg)
มาถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้คือเรื่องของสมรรถนะและฟิลลิ่งการขับขี่ของ Tesla Model Y และ Xpeng G6 ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร อย่างที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า บังเอิญว่าผมมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้ารถสองรุ่นนี้ในช่วงเวลาเดียวกันเป็นเวลาตอนเนื่อง ทั้งการขับในระยะทางใกล้และไกล ทั้งในจราจรกรุงเทพฯ และออกต่างจังหวัด บอกได้เลยว่าเจ้าสองคันนี้เป็นรถที่ภายนอกดูเป็นสไตล์ที่คล้ายกันคือรูปทรงล้ำยุคค่อนไปทางสปอร์ต แต่ฟิลลิ่งการขับต่างกันอย่างชัดเจน
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_78_1680x945.jpg)
ผมขับ Tesla Model Y มาหลายรอบแล้ว และครบทุกรุ่นย่อยทั้งรุ่นมอเตอร์เดี่ยว RWD ขับเคลื่อนล้อหลัง รุ่น Long Range ขับเคลื่อน 4 ล้อ และรุ่น Performance ขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ในช่วงของการขับคู่ไปขับ Xpeng G6 ผมใช้ Model Y ที่เป็น รุ่น Long Range ขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนเจ้า Xpeng G6 ผมขับในรุ่น Long Range ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งผมขอพูดถึง Tesla Model Y ก่อน ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าการเข้ามานั่งตำแหน่งคนขับใน Model Y มันได้ความรู้สึกของรถสปอร์ต เบาะนั่งแข็งๆ บีบๆ ตัวหน่อย ถ้าเป็นคนชอบอะไรแบบนี้จะชอบเลย แต่ถ้าเป็นคนชอบเบาะนั่งสบายรับรองไม่ปลื้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพนักพิงเบาะแม่จะปรับดันหลังได้ แต่ผมปรับเอาลงสุดแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันดันมากเกินไปอยู่ดี
พวงมาลัยที่เป็นทรงกลมขนาดเล็ก ให้อารมณ์ของรถสปอร์ตเช่นกัน ตัวพวงมาลัยปรับระดับสูง-ต่ำดึงเข้า-ออกด้วยไฟฟ้า แต่ครั้งแรกที่เข้าไปนั่งก็ควานหาว่ามันปรับตรงไหนหว่า หาไม่เจอ ก็ต้องเรียนรู้การปรับอุปกรณ์ต่างๆ กันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในความมินิมอลของภายในห้องโดยสารโดยปราศจากปุ่มสวิตช์ ทุกอย่างจึงต้องสั่งงานผ่านหน้าจอกลาง พูดง่ายๆ คือก่อนขับเจ้า Model Y (Tesla รุ่นอื่นๆ เหมือนกัน) ควรเรียนรู้วิธีการใช้งานให้เคยชินเสียก่อน โดยเฉพาะการปรับตั้งระบบต่างๆ คือปรับเสียให้เสร็จเสียก่อนจะเอาออกไปขับ เพราะขณะขับจะมาปรับอะไรต่ออะไรมันไม่ง่ายเลย
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1037008_1575x1050.jpg)
ในขณะที่สัมผัสแรกที่ได้ขับ Xpeng G6 มันเป็นรถที่ทำความรู้จักกับมันได้ง่ายและเร็วกว่า Tesla พูดง่ายๆ คือมันมีอุปกรณ์ที่คุ้นเคยมากกว่า หน้าจอกลางที่เป็นบอร์ดหลักควบคุมใช้งานง่ายกว่า หรือพูดกันตรงๆ คือมั่วได้ง่ายกว่า เมนูมีความชัดเจน เบาะนั่งกับกระจกมองข้างปรับเสร็จเซฟตำแหน่งตัวเองไว้เลยโดยบันทึกเป็นชื่อเท่ห์ๆเก๋ๆ ของคุณไว้ที่ฟังก์ชั่นนี้บนหน้าจอ และถ้าจะมีคนมาร่วมใช้รถคันนี้กับคุณด้วย ก็เซฟตำแหน่งเบาะนั่งกับกระจกมองข้างของแต่ละคนได้เลย ได้ทั้งหมด 6 คน
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_96_1575x1050.jpg)
Tesla Model Y เป็นรถที่พอเริ่มขับครั้งแรก ผมเซ็ตทุกอย่างให้อยู่ในโหมด Standard (การขับเจ้าคันนี้ผมก็อยู่ในโหมด Standard เป็นส่วนใหญ่) ถึงแม้จะเป็นตัวเริ่มต้นของ Model Y ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวขับเคลื่อนล้อหลัง แต่พละกำลังที่ติดตัวมา 347 แรงม้า พร้อมแรงบิด 420 นิวตันเมตร ที่มาทันทีที่เหยียบคันเร่ง ถ้าจุ่มเท้าลึกนั่นหมายความว่ารถกระโดดออกทันที ซึ่งการขับใช้งานในเมืองค่อนข้างต้องควบคุมข้อเท้าขวาพอสมควร พวงมาลัยแม้ยังอยู่ในโหมด Standard แต่ก็ให้น้ำหนักมากขึ้นจากโหมด Comfort พอสมควร ซึ่งผมว่าสุภาพสตรีน่าจะชอบโหมด Comfort มากกว่า
แต่ที่รู้สึกว่าน่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ถูกใจก็คือระบบช่วงล่างที่ผมว่ามันแข็งเกินไปสำหรับการเป็นรถขับใช้งานในเมือง มันให้ฟิลลิ่งสปอร์ตมากไปหน่อย แน่นอนว่าฟิลลิ่งช่วงล่างแน่นๆ ตึงๆ แบบนี้ถ้าเป็นคนชอบอารมณ์การขับแบบสปอร์ต ชอบแน่นอนครับ ความแข็งไม่ใช่ปัญหาขอเกาะหนึบๆ ทุกครั้งที่เปลี่ยนเลนในความเร็วสูงหรือเข้าโค้งมันส์ๆ นี่ใช่เลย แต่ถ้าเป็นคนชอบความนุ่มนวลน่าจะบ่นกันพอสมควร ยกตัวอย่างถ้าขับบนถนนในกรุงเทพฯ หลายเส้นที่เต็มไปด้วยฝาท่อ หรือสภาพพื้นผิวถนนหลังจากโครงการรถไฟฟ้าเสร็จ ถ้าต้องขับ Model Y อยู่บนสภาพถนนแบบนั้นนานๆ บวกกับเบาะนั่งที่ค่อนข้างแข็งด้วย ไม่แฮปปี้แน่นอน
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1037003_1575x1050.jpg)
ซึ่งในลักษณะการขับแบบเดียวกันเมื่ออยู่ใน Xpeng G6 มันได้ความสบายมากกว่า Model Y เริ่มตั้งแต่ความนุ่มนวลของระบบช่วงล่างที่ G6 มีมากกว่า ทัศนวิสัยการขับมองไปข้างน้า และด้านข้าง เห็นสิ่งแวดล้อมภายนอกชัดเจนกว่าด้วยกระจกบานหน้าและหน้าต่างด้านข้างที่กว้าง ส่วนกระจกหลังบอกได้เลยว่า คับแคบพอกัน G6 มองจากภายนอกก็เห็นอยู่แล้วว่าขนาดของกระจกหลังค่อนข้างเล็กและแคบ ก็ด้วยดีไซน์เพื่อให้เข้ากับตัวรถ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036983_1575x1050.jpg)
และทาง Xpeng เขาบอกว่ามุมมองด้านหลังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยกล้องคุณภาพสูงอยู่แล้ว ส่วน Model Y นั่นมันหลอกตา เพราะถ้ามองกันที่กระจกบานหลัง มันดูกว้างมาก แต่ในความกว้างนั้นมันเป็นดีไซน์องศาที่แทบจะแบนราบไปกับท้ายรถ ดังนั้นเมื่อมองจากภายในรถมันก็เหลือมุมมองแคบๆ แต่ก็เช่นกัน ใช้กล้องหลังหรือกล้องรอบคันช่วยได้ แต่ที่แน่ๆ Model Y ไม่มีก้านปัดน้ำฝนที่กระจกหลัง แต่ G6 มี
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036966_1575x1050.jpg)
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_68_1400x1050.jpg)
ฟิลลิ่งการขับตั้งแต่ออกตัว (โหมด Standard เหมือนกัน) ในความเร็วต่ำ Xpeng G6 ให้ความนุ่นนวลและสมูธกว่า Tesla Model Y อันนี้บอกก่อนเลยนะครับว่าผมใช้ลักษณะการขับเหมือนกันทุกประการ เพราะเป็นการขับสลับแบบเปรียบเทียบในเวลาเดียวกันเลย การออกตัวของ G6 ในจังหวะคันเร่งเท่ากันจะไม่กระโชกโฮกฮากออกไป แต่จะได้แรงดึงแบบสมูธต่อเนื่องให้ความสบายกับคนนั่งมากกว่า ตัวเลขพละกำลังของ G6 อยู่ที่ 285 แรงม้า ซึ่งน้อยกว่า Model Y อยู่ค่อนข้างเยอะ แต่พอดูแรงบิดของเจ้า G6 ที่ 440 นิวตันเมตร อ้าว! กลับมีแรงบิดสูงกว่า Model Y ซะอย่างงั้น ก็เลยมีคำถามว่า แรงบิดมากกว่าแต่ทำไมออกตัวหรือเร่งแซงได้ไม่จี๊ดจ๊าดเท่า Model Y ซึ่งก็ได้ถามทางวิศวกรของ Xpeng ได้คำตอบว่า G6 ได้รับการปรับตั้งซอฟท์แวร์มาให้รถมีคาแรคเตอร์ที่ขับสบายโดยเฉพาะการใช้งานในเมือง ดังนั้นลักษณะการออกตัวของรถจะมีความสมูธ แต่หากเหยียบคันเร่งต่อเนื่อง ก็จะได้แรงดึงหนักๆ อย่างต่อเนื่องเช่นกัน และที่สำคัญคือ ด้วยระบบช่วงล่างที่เซ็ตมาดี ทำให้รถเพิ่มความเร็วอย่างรวดเร็วโดยที่คนขับแทบไม่รู้ตัว ผ่านด่านทางด่วนเหยียบคันเร่งสุด รถดึงแบบสมูธๆ เหมือนจะไม่เร็ว แต่มองไปที่มาตรวัดความเร็ว แป๊บเดียวมันจะ 200 กม./ชม. แล้ว! แต่ยังไงความเร็วมันก็ขึ้นช้ากว่า Model Y ครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036978_1575x1050.jpg)
ซึ่งอีกหนึ่งอย่างที่ส่งผลต่ออัตราเร่งที่ต่างกันระหว่าง Model Y กับ G6 นอกเหนือจากแรงม้า และการปรับจูนซอฟท์แวร์แล้ว ผมว่าน้ำหนักตัวรถก็น่าจะมีส่วน เพราะ G6 หนักกว่า Model Y อยู่เกือบ 120 กก. (น้ำหนักรถเปล่า) การขับใช้งานในเมือง ฟิลลิ่งพวงมาลัยสองคันนี้ใกล้เคียงกัน แต่ในแง่ของความสบาย G6 มีมากกว่า ด้วยขนาดของวงพวงมาลัยที่ใหญ่กว่าจึงผ่อนแรงไปอีกนิด และถึงแม้จะอยู่ในโหมพวงมาลัย Comfort หรือ Standard เหมือนกันก็ตาม แต่ในแง่ของความกระชับมือโดยเฉพาะการขับบนทางด่วนที่ใช้ความเร็วได้มีทางยาวๆ โค้งกว้างๆ ผมให้คะแนนพวงมาลัย Model Y มากกว่าในแง่ของความมั่นคงและกระชับ มาถึงความสบายของช่วงล่าง เรื่องนี้ชัดเจนว่า G6 สบายกว่าเยอะในด้านความนุ่มนวลและการซับแรงสะเทือนจากด้านล่าง และต้องไม่ลืมว่า G6 มากับล้อขนาด 20 นิ้ว แต่กลับนุ่มนวลกว่า Model Y รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังที่มากับล้อขนาด 19 นิ้ว ดังนั้นบนถนนในกรุงทเพที่เต็มไปด้วยฝาท่อ แผ่นเหล็ก หลุม และอะไรต่างๆ นาๆ ที่ทำให้ถนนไม่เรียบ คนขับและคนนั่งในเจ้า G6 รู้สึกสบายกว่าเยอะครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/open-9-1.png)
Xpeng G6
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/open-8-1.png)
มาถึงฟิลลิ่งการขับระยะทางไกลๆ ออกต่างจังหวัดบ้าง ส่วนตัวผมหลังจากขับแล้วบอกเลยว่า รถสองคันนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน และน่าจะเหมาะกับคนที่มีความต้องการต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับ Xpeng G6 มันเหมาะกับการเป็นรถครอบครัวอย่างแท้จริง การขับหรือนั่งในระยะทางไกล เรื่องความกว้างขวางนั่งสบาย ดีไซน์และวัสดุเบาะนั่ง พื้นที่ใช้สอย อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ผมให้คะแนนเต็ม 10 ไม่หักเลยครับ มันเป็นรถที่ขับสบายจริงๆ ขับต่อเนื่องแบบแวะจอดแค่ทานข้าวกับชาร์จ ไม่รู้สึกเมื่อยล้าแม่แต่น้อย ผมเปิดระบบช่วยเหลือการขับขี่เกือบทั้งหมด แต่ที่ใช้งานแล้วถูกใจคือระบบ ACC (Adaptive Cruise Control) ล็อคความเร็วแปลผันตามรถคันหน้าและ LCC (Lane Centering Control) ที่ช่วยให้รถอยู่กลางเลน มันช่วยให้คนขับไม่เหนื่อย แล้วยังอุส่าห์มีสัญญาณเตือนให้อย่าปล่อยมือจากพวงมาลัยเพื่อความปลอดภัย
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036977_1575x1050.jpg)
ส่วนที่ชอบระบบ ACC ของคันนี้คือเผื่อระยะได้ดี หมายความว่าการเร่ง หรือชะลอความเร็วตามคันหน้า รถรถค่อนข้างสมูธ ไม่กระชากตามความเร็วของรถคันหน้าเหมือนระบบ ACC ของรถบางรุ่นที่เร่งจนตกใจ ส่วนการชะลอหรือเบรกก็ทำได้สมูธเช่นเดียวกัน รวมถึงไม่ได้แปรผันเฉพาะกับรถคันหน้าเท่านั้น แต่หากมีรถที่มาในเลนข้างๆ จะแซงเข้าข้างหน้า ระบบก็ช่วยระวังให้ด้วย ส่วนเรื่องการจอดก็ไม่ต้องทำอะไรมากแล้ว ขับไปเจอที่จอดตรงไหนก็กดระบบจอดอัตโนมัติแค่นั้น ถ้ามีหลายช่องก็จิ้มได้ด้วยว่าจะจอดช่องไหน ได้ทั้งจอดแบบถอยเข้าช่องจอด จอดขนานฟุตบาท และจอดช่องจอดแนวเฉียง
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036991_1575x1050.jpg)
อัตราเร่งของ G6 ในทางไกล ถ้าเป็นคนชอบอารมณ์รถไฟฟ้าแบบกดคันเร่งทีจี๊ดจ๊าด คุณอาจไม่ได้ในรถคันนี้ เพราะอย่างที่บอก ความเร็วมันจะไต่ขึ้นแบบดึงยาวๆ ไม่กระชากไม่ดึงและไม่ถึงกับกระโดด แต่ก็จะง่ายกับการควบคุม และให้ความสบายกับคนนั่ง ระบบช่วงล่างของ G6 กับการขับออกต่างจังหวัด ถือว่าทำได้ดี กระชับแต่ยังนุ่มนวล เปลี่ยนเลนมั่นใจ แต่ในโค้งที่พื้นผิวถนนดันเป็นคลื่น รถจะมีอาการโยนๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งวิธีที่ช่วยให้การขับมั่นใจมากขึ้นก็คือเปลี่ยนโหมดควบคุมพวงมาลัยไปเป็นโหมดที่หนักขึ้นมาอีกหน่อยอย่าง Medium หรือ Sport
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1037004_1575x1050.jpg)
ส่วนการปรับโหมด Regenerative ของรถที่ส่งผลกับการหน่วงของคันเร่ง การขับใช้งานทั่วไปหรือออกต่างจังหวัด ส่วนตัวผมปรับเป็น Medium เพราะให้การหน่วงนิดๆ กำลังดี ไม่ปล่อยไหลจนเกินไป แล้วก็ไม่หน่วงจนเกินไป แต่ในกรณีขึ้น-ลงทางชันหรือเข้าโค้งต่อเนื่อง ปรับไปใช้ XPedal ก็ช่วยให้การขับสบายและปลอดภัยมากขึ้น ที่สำคัญในบางกรณีก็ไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อย แค่ผ่อนคันเร่งหน่อยๆ ก็ชะลอรถได้ดีเลยครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_83_1400x1050.jpg)
ในสถานการณ์ เส้นทาง และถนนเส้นเดียวกัน Tesla Model Y ให้ความรู้สึกที่แตกต่างชัดเจน เอาว่าถ้าคุณเป็นคนชอบรถขับทางไกลแบบสนุกๆ กดคันเร่งปุ๊บรถกระโดดปั๊บ รวมถึงช่วงล่างแน่นๆ ตึงๆ และที่สำคัญขับเดินทางคนเดียวหรือมีแค่อีกคนนั่งไปข้าง Model Y ตอบโจทย์ดังกล่าวได้ครบถ้วนครับ ผมใช้คำว่ามันเป็นรถที่ทันใจดี ทั้งเร่งแซง และใช้ความเร็วในโค้ง และถ้าคุณรีบ เจ้า Model Y ให้อาการที่ดีกว่า G6 ครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_58_1680x1041.jpg)
แต่ในขณะเดียวกันต้องแลกกับความสบาย เพราะช่วงล่างมันไม่นุ่มนวลเอาเสียเลย คนขับอาจสนุก แต่คนนั่งไม่สนุกด้วยแน่ๆ ส่วนเรื่องระบบช่วยเหลือระหว่างขับขี่ก่อนอื่นเลยสำหรับ Tesla ถ้าคุณอยากได้แบบเต็มระบบ คุณต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 120,000 บาท ก็จะได้ระบบอย่างเช่น Autopilot ระบบควบคุมความเร็วแปรผันตามจราจร ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ ในขณะที่ระบบดังกล่าวเจ้า G6 มีทั้งหมดและไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่ง Model Y คันที่ผมขับมีระบบดังกล่าวมาให้จึงได้ลองบางอย่าง แต่หลักๆ ก็คือ Autopilot ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันก็ทำงานลักษณะเดียวกับพวกระบบ ACC , LKA (ช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน) อะไรพวกนั้นแหละครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_62_1400x1050.jpg)
และที่แน่ๆ ซึ่งสัมผัสได้คือ การแปรผันความเร็วตามรถคันหน้าทั้งการออกตัว เร่งความเร็ว และชะลอ ทำได้ไม่สมูธเท่า G6 โดยเฉพาะถ้าปรับโหมดการหน่วงความเร็วเพื่อชาร์จไฟฟ้า Regenerative ไปที่ Standard (มี 2 โหมด Low กับ Standard) เจ้า Model Y หน่วงแบบหัวทิ่ม เอาว่าถ้าคนขับข้อเท้าไม่นิ่งพอ คนนั่งมีอาการคลื่นเหียนเวียนศีรษะแน่นอน
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/ModelY_89_1575x1050.jpg)
สรุปสั้นๆเรื่องการขับทางไกลก็คือ Tesla Model Y จะได้เปรียบเรื่องสมรรถนะอัตราเร่ง ความหนึบแน่นช่วงล่าง ความมั่นใจในโค้ง แต่ผู้โดยสารที่รักความสบายนุ่มนวลอาจไม่ปลื้ม ในขณะที่ Xpeng G6 ได้ในเรื่องความสบายของทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร การขับขี่สมูธนุ่มนวล ระบบช่วยเหลือมีเยอะ แต่อัตราเร่งตอบสนองได้ไม่เท่า Model Y รวมถึงการใช้ความเร็วในโค้งเสียเปรียบ Model Y แต่ถ้าขับแบบปกติทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนอะไร ผมให้ Xpeng G6 เป็นรถที่เหมาะกับการขับเดินทางไกลไปพร้อมครอบครัวมากกว่า
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036981_1575x1050.jpg)
ส่วนเรื่องการชาร์จผมไม่ได้ทำการทดลองเปรียบเทียบอะไรจริงจังมากนัก ที่แน่ๆ สเปคแบตเตอรี่ 2 คันนี้มีความต่างกันไม่น้อย Tesla Model Y รุ่นมอเตอร์ตัวเดียวขับเคลื่อนล้อหลัง RWD แบตฯ มีความจุ 57.5 kWh ในขณะที่ Xpeng G6 รุ่น Long Range อยู่ที่ 87.5 kWh ดังนั้นตัวเลขระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็มของทั้งคู่ที่ทางโรงงานเคลมมาจึงต่างกัน โดยถ้ายึดตามค่ามาตรฐาน WLTP ของ Tesla Model Y RWD อยู่ที่ 455 กม. ส่วน Xpeng G6 Long Range อยู่ที่ 570 กม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับ ลักษณะเส้นทาง และอุณหภูมิความร้อนของอากาศภายนอกด้วยนะครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036975_1575x1050.jpg)
ขณะที่เรื่องการชาร์จตามสถานีระหว่างเดินทางแน่นอนว่าเราชาร์จแบบ DC Fast Charge ของ Tesla Model Y RWD รับได้เต็มที่ 250 kW ส่วน Xpeng G6 Long Range ได้เต็มที่ 280 kW แต่เอาเข้าจริงแล้วจากประสบการณ์ส่วนตัวผม ความสามรถในการชาร์จหรือสปีดความเร็วในการชาร์จตามสถานีในประเทศไทยตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรถ แต่ขึ้นกับสถานีซึ่งยังไม่สามารถจ่ายกระแสไฟได้เต็มประสิทธิภาพขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการชาร์จระหว่างการเดินทางของสองคันนี้แทบไม่มีอะไรแตกต่างครับ
![](https://carzanova.com/wp-content/uploads/2024/09/P1036971_1575x1050.jpg)
สุดท้ายเรื่องราคา Tesla Model Y ปัจจุบันค่าตัว 1,749,000 บาท แพงกว่า Xpeng G6 Long Range ที่เพิ่งเปิดตัวมา 1,599,000 บาท หมายความว่า Model Y มีค่าตัวสูงกว่า G6 อยู่ 150,000 บาท ผมบอกเลยว่า ส่วนต่างราคาก็เรื่องหนึ่ง แต่ของแบบนี้ เลือกคันที่ตอบโจทย์ที่สุดคือจบครับ