มากันอย่างไม่หยุดหย่อน จากที่เผยโฉมไปเมื่องานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กับก่อนหน้านี้ที่มีรถป้ายทะเบียน QC วิ่งให้เห็นบ้างเป็นระยะ ล่าสุดเปิดตัวเปิดราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับเจ้า Xpeng G6 รถรุ่นแรกของ Xpeng ที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย กับรูปร่างหน้าตาล้ำยุคล้ำสมัย จนหลายคนพูดว่านี่มันหุ่นยนต์ชัดๆ ก็แน่ล่ะครับ มันเป็นความตั้งใจของทาง Xpeng เขาอยู่แล้วที่จะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยียานยนตร์ และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เจ้า Xpeng G6 นี้ถูกพัฒนาและสร้างขึ้นมาเพื่อท้ารบ Tesla Model Y กันโดยเฉพาะ
พูดง่ายๆ เหมือนเอา Tesla Model Y ตั้งเป็นโจทย์ แล้วสร้างรถที่เหนือกว่าให้ได้ ซึ่งมันก็ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงกันจริงๆ นั่นแหละครับ เริ่มจากมิติตัวถังภายนอกที่ใกล้เคียงกันเหลือเกิน ความยาว ความกว้าง ความสูง ห่างกันอยู่ 2-3 มม. เอาว่ามองด้วยตาเปล่าไม่มีทางรู้ ส่วนฐานล้อหน้า-หลัง นี่เท่ากันเป๊ะเลย เรื่องรูปร่างหน้าตานั้นผมใช้คำว่ามากันคนละสไตล์มากกว่า
Xpeng G6 สำหรับผมจัดเป็นรถที่มีรูปร่างหน้าล้ำสมัย โดดเด่นที่ความโค้งมนของเรื่อนร่างทั้งคัน แล้วใช้รูปทรงไฟหน้า-หลังเป็นเส้นแถบยาวทรงแคบๆ แต่ให้ความสว่างดีเหลือเกิน ซึ่งพอพูดถึงเรื่องดีไซน์ของ Xpeng G6 เขาก็ไม่ธรรมดา เพราะคนออกแบบคือ Juanma Lopez ซึ่งตอนนี้นั่งตำแหน่ง Vice President of Design Center (รองประธานฝ่ายออกแบบ) ของ Xpeng อดีตเคยเป็นคนออกแบบรถระดับซูเปอร์คาร์มาก่อนทั้ง Ferrari และ Lamborghini รวมถึงรถระดับไฮเอนด์อย่าง Audi อีกด้วย มิน่าผมเห็นเจ้า G6 ครั้งแรกมันเตะตาดีเหลือเกิน และกล้าพูดได้ว่ามันเป็นรถที่ภายนอกสวยมาก แต่จะว่าไปความรู้สึกเตะตานี้มันก็เกิดขึ้นตอนที่ผมเห็น Tesla ครั้งแรกเหมือนกัน
ภายในห้องโดยสารถ้าเทียบกันระหว่าง Xpeng G6 กับ Tesla Model Y ส่วนตัวผมมองว่ามันไปกันคนละทางคนละแนว ห้องโดยสาร Model Y พอเปิดเข้ามานั่งแล้ว มันได้ฟิลลิ่งความสปอร์ต และผมชอบในความมินิมอลของเขาในแง่ของคอนโซล แดชบอร์ด ที่ดูเรียบๆ ไม่มีเลเยอร์อะไรมากมองไปข้างหน้าเห็นแค่แดชบอร์ดเรียบๆ มีพวงมาลัย และหน้าจอแสดงผลรวมตรงกลางขนาด 15 นิ้วเท่านั้น ไม่มีจอแสดงผลการทำงานหรือหน้าปัดหลังพวงมาลัย ซึ่งผมชอบ มันไม่เกะกะสายตาดี
แต่ข้อเสียคือทุกอย่างมันแสดงผลรวมอยู่ที่จอกลางทั้งหมด ถ้าอยากจะดูอะไรขณะขับก็ต้องละสายตามาที่จอกลางซึ่งไม่สะดวกเท่าไหร่ เบาะนั่งคู่หน้าก็มารูปแบบสปอร์ตถ้าถามว่ากระชับตัวดีมั้ย ตอบว่าดีครับ แต่ถ้าถามว่านั่งสบายมั้ย ตอบว่านั่งไม่สบายเอาเสียเลย ด้วยวัสดุและฟองน้ำที่ค่อนข้างแน่น ไม่น่าถูกใจคนที่ชอบเบาะนุ่มๆ สักเท่าไหร่ ส่วนเบาะหลังเรื่องความกว้างขวางก็ถือว่าใช้ได้อยู่ แต่ความสบายของเบาะหลังผมยังไม่ถูกใจสักเท่าไหร่ ดีที่ว่าสามารถพับได้ราบและเป็นระบบพับด้วยไฟฟ้า ทั้งเบาะนั่งหน้า-หลังมีระบบอุ่นเบาะมาให้ด้วย แต่คนไทยใครจะใช้หรือ?
จุดวางโทรศัพท์ที่เป็น Wireless Charger เป็นลักษณะกึ่งแนวตั้งแต่อยู่ในองศาที่รถเลี้ยวแล้วโทรศัพท์ไม่ล้มง่ายๆ ผมว่าดีตรงที่ทำให้มองเห็นหน้าจอหากมีการเตือน หรือมีคนโทรเข้าก็จะเห็นได้ทันที หลังคาเป็น Panoramic Glass Roof กระจกทั้งชิ้นเคลือบฟิล์มกันความร้อนและ UV มาให้ในระดับหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่เอาไปติดฟิล์มเพิ่มแน่นอนด้วยพลังแห่งแสงอาทิตย์ประเทศไทย
ในขณะที่เมื่อเข้ามานั่งใน Xpeng G6 มันให้อารมณ์ไปคนละเรื่อง G6 ได้มุมมองของความกว้างขวางหรูหราสะดวกสบาย แต่หย่อนก้นลงไปบนเบาะนั่งคนขับก็รู้สึกเลยว่าสบายกว่า Model Y เยอะ ตรงนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเพราะผมใช้เวลาอยู่กับเจ้า G6 และ Model Y พอๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนเรื่องการขับขี่นั้นอดใจรอ เดี๋ยวจะบรรยายแบบให้เห็นภาพเลยครับ
เข้ามานั่งใน G6 แล้วรู้สึกเป็นรถที่ภายในกว้างมาก เบาะนั่งก็สบายมากๆ แต่ก็ยังมีปีกข้างไว้รองรับร่ายกายเวลาขับเข้าโค้งได้ดี วัสดุเบาะนั่งคุณภาพเดียวกับรถยุโรปราคาสูงๆ และที่สำคัญเบาะนั่งคู่หน้าในสเปคที่ขายประเทศไทย มีรูให้ลมแอร์เย็นๆ ออกมาได้ด้วยโดยเป็นอุณหภูมิเดียวกันกับที่ตั้งไว้ที่ช่องแอร์ซ้าย-ขวา หรือถ้าอยากได้ระบบอุ่นที่เบาะคู่หน้าก็มีให้ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ทั้งสวิตช์ข้างเบาะ หรือจะปรับผ่านหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 14.96 นิ้ว (อีกนิดเดียวก็ 15 นิ้วแล้ว) ก็ได้ ซึ่งจอที่ว่านี้ก็คือบอร์ดควบคุมระบบทุกอย่างของรถคันนี้เลยก็ว่าได้
รูปทรงพวงมาลัยของ G6 ไม่ใช่ทรงกลม แต่เป็นลักษณ์คล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอนที่เป็นมุมโค้งมน จับกระชับควบคุมง่าย และข้อดีของรูปทรงพวงมาลัยที่ตัดด้านบนก็คือมันไม่บดบังทัศนวิสัยการขับ ส่วนแนวด้านล่างของพวงมาลัยไม่ชนหัวเข่าสำหรับคนตัวสูง ชุดมาตรวัดขนาด 10.2 นิ้วหลังพวงมาลัย แสดงการทำงานระบบต่างๆ ของรถคันนี้ได้เยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะสัญญาณเตือนต่างๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นของ G6 เพราะระบบช่วยเหลือมันเยอะเหลือเกิน คอนโซลกลางเป็นแท่นวางโทรศัพท์พร้อมการเป็น Wireless Charger ไปในตัว และที่สำคัญคือทั้งสองตำแหน่งเป็นแบบ Fast Charging หรือชาร์จแบบเร็วเสียด้วย
ที่เหลือเรื่องการเปลี่ยนเกียร์หรือควบคุมระบบต่างๆ ไปอยู่ที่ด้านขวาหลังพวงมาลัยทั้งหมด ส่วนด้านซ้ายเป็นด้ามควบคุมระบบไฟส่องสว่าง และปัดน้ำฝน ซึ่งถ้าตั้งเป็น Auto ไว้ทุกอย่าง ก็แทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันแล้ว ส่วนปุ่ม Multi-function ที่พวงมาลัยก็เอาไว้ควบคุมระบบที่ต่างกันโดยเซ็ตว่าจะให้ควบคุมระบบไหนผ่านหน้าจอกลางไว้ก่อน เรียกง่ายๆ ว่าปุ่ม Short cut ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับ Model Y นั่นแหละครับ
ย้ายมาที่เบาะหลังของ Xpeng G6 โอ้โห! พูดเลยว่าในกลุ่มรถ EV ที่มีขนาดเท่าหรือใกล้เคียงกันที่ขายอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ G6 นั่งสบายที่สุดแล้ว ทั้งวัสดุที่ใช้ ความกว้างขวาง และพื้นที่วางเท้า พนักพิงเบาะนั่งหลังก็ปรับได้หลายระดับ ผมท้าเลยว่าถ้าเดินทางไกลแล้วคุณนั่งเบาะหลังของ G6 โดยปรับระดับเอนลงสุด ถ้าคุณไม่หลับผมเลี้ยงกาแฟคุณเลยเอาจริง นี่ยังไม่นับรวมบริเวณเหนือศีรษะที่โปร่งโล่งสบาย แหงนมองขึ้นไปข้างบนก็เป็นหลังคาแบบ Panoramic Glass Roof เคลือบฟิล์มกรองแสงและความร้อนแบบเดียวกับ Model Y เอาเป็นว่าภายในห้องโดยสารถ้าในแง่ของดีไซน์เรียบง่ายสบายตา เบาะนั่งให้ความกระชับและอัดฟองน้ำแน่นแบบสปอร์ต ต้องยกให้ Tesla Model Y แต่ถ้าเอาเรื่องความสบายทั้งคนขับและคนโดยสารทั้งด้านหน้า และด้านหลัง Xpeng G6 กินขาด รวมถึงเทคโนโลยีที่หน้าจอกลาง G6 ก็ได้เปรียบในเรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำกว่า แต่ก็อย่างว่า เรื่องเทคโนโลยียังไงคนที่มาทีหลังก็ย่อมได้เปรียบกว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ แล้วทาง Xpeng เขาก็เน้นเรื่องนี้มาเป็นอันดับแรก
มาถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้คือเรื่องของสมรรถนะและฟิลลิ่งการขับขี่ของ Tesla Model Y และ Xpeng G6 ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร อย่างที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า บังเอิญว่าผมมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้ารถสองรุ่นนี้ในช่วงเวลาเดียวกันเป็นเวลาตอนเนื่อง ทั้งการขับในระยะทางใกล้และไกล ทั้งในจราจรกรุงเทพฯ และออกต่างจังหวัด บอกได้เลยว่าเจ้าสองคันนี้เป็นรถที่ภายนอกดูเป็นสไตล์ที่คล้ายกันคือรูปทรงล้ำยุคค่อนไปทางสปอร์ต แต่ฟิลลิ่งการขับต่างกันอย่างชัดเจน
ผมขับ Tesla Model Y มาหลายรอบแล้ว และครบทุกรุ่นย่อยทั้งรุ่นมอเตอร์เดี่ยว RWD ขับเคลื่อนล้อหลัง รุ่น Long Range ขับเคลื่อน 4 ล้อ และรุ่น Performance ขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ในช่วงของการขับคู่ไปขับ Xpeng G6 ผมใช้ Model Y ที่เป็น รุ่น Long Range ขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนเจ้า Xpeng G6 ผมขับในรุ่น Long Range ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งผมขอพูดถึง Tesla Model Y ก่อน ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าการเข้ามานั่งตำแหน่งคนขับใน Model Y มันได้ความรู้สึกของรถสปอร์ต เบาะนั่งแข็งๆ บีบๆ ตัวหน่อย ถ้าเป็นคนชอบอะไรแบบนี้จะชอบเลย แต่ถ้าเป็นคนชอบเบาะนั่งสบายรับรองไม่ปลื้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวพนักพิงเบาะแม่จะปรับดันหลังได้ แต่ผมปรับเอาลงสุดแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันดันมากเกินไปอยู่ดี
พวงมาลัยที่เป็นทรงกลมขนาดเล็ก ให้อารมณ์ของรถสปอร์ตเช่นกัน ตัวพวงมาลัยปรับระดับสูง-ต่ำดึงเข้า-ออกด้วยไฟฟ้า แต่ครั้งแรกที่เข้าไปนั่งก็ควานหาว่ามันปรับตรงไหนหว่า หาไม่เจอ ก็ต้องเรียนรู้การปรับอุปกรณ์ต่างๆ กันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในความมินิมอลของภายในห้องโดยสารโดยปราศจากปุ่มสวิตช์ ทุกอย่างจึงต้องสั่งงานผ่านหน้าจอกลาง พูดง่ายๆ คือก่อนขับเจ้า Model Y (Tesla รุ่นอื่นๆ เหมือนกัน) ควรเรียนรู้วิธีการใช้งานให้เคยชินเสียก่อน โดยเฉพาะการปรับตั้งระบบต่างๆ คือปรับเสียให้เสร็จเสียก่อนจะเอาออกไปขับ เพราะขณะขับจะมาปรับอะไรต่ออะไรมันไม่ง่ายเลย
ในขณะที่สัมผัสแรกที่ได้ขับ Xpeng G6 มันเป็นรถที่ทำความรู้จักกับมันได้ง่ายและเร็วกว่า Tesla พูดง่ายๆ คือมันมีอุปกรณ์ที่คุ้นเคยมากกว่า หน้าจอกลางที่เป็นบอร์ดหลักควบคุมใช้งานง่ายกว่า หรือพูดกันตรงๆ คือมั่วได้ง่ายกว่า เมนูมีความชัดเจน เบาะนั่งกับกระจกมองข้างปรับเสร็จเซฟตำแหน่งตัวเองไว้เลยโดยบันทึกเป็นชื่อเท่ห์ๆเก๋ๆ ของคุณไว้ที่ฟังก์ชั่นนี้บนหน้าจอ และถ้าจะมีคนมาร่วมใช้รถคันนี้กับคุณด้วย ก็เซฟตำแหน่งเบาะนั่งกับกระจกมองข้างของแต่ละคนได้เลย ได้ทั้งหมด 6 คน
Tesla Model Y เป็นรถที่พอเริ่มขับครั้งแรก ผมเซ็ตทุกอย่างให้อยู่ในโหมด Standard (การขับเจ้าคันนี้ผมก็อยู่ในโหมด Standard เป็นส่วนใหญ่) ถึงแม้จะเป็นตัวเริ่มต้นของ Model Y ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวขับเคลื่อนล้อหลัง แต่พละกำลังที่ติดตัวมา 347 แรงม้า พร้อมแรงบิด 420 นิวตันเมตร ที่มาทันทีที่เหยียบคันเร่ง ถ้าจุ่มเท้าลึกนั่นหมายความว่ารถกระโดดออกทันที ซึ่งการขับใช้งานในเมืองค่อนข้างต้องควบคุมข้อเท้าขวาพอสมควร พวงมาลัยแม้ยังอยู่ในโหมด Standard แต่ก็ให้น้ำหนักมากขึ้นจากโหมด Comfort พอสมควร ซึ่งผมว่าสุภาพสตรีน่าจะชอบโหมด Comfort มากกว่า
แต่ที่รู้สึกว่าน่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ถูกใจก็คือระบบช่วงล่างที่ผมว่ามันแข็งเกินไปสำหรับการเป็นรถขับใช้งานในเมือง มันให้ฟิลลิ่งสปอร์ตมากไปหน่อย แน่นอนว่าฟิลลิ่งช่วงล่างแน่นๆ ตึงๆ แบบนี้ถ้าเป็นคนชอบอารมณ์การขับแบบสปอร์ต ชอบแน่นอนครับ ความแข็งไม่ใช่ปัญหาขอเกาะหนึบๆ ทุกครั้งที่เปลี่ยนเลนในความเร็วสูงหรือเข้าโค้งมันส์ๆ นี่ใช่เลย แต่ถ้าเป็นคนชอบความนุ่มนวลน่าจะบ่นกันพอสมควร ยกตัวอย่างถ้าขับบนถนนในกรุงเทพฯ หลายเส้นที่เต็มไปด้วยฝาท่อ หรือสภาพพื้นผิวถนนหลังจากโครงการรถไฟฟ้าเสร็จ ถ้าต้องขับ Model Y อยู่บนสภาพถนนแบบนั้นนานๆ บวกกับเบาะนั่งที่ค่อนข้างแข็งด้วย ไม่แฮปปี้แน่นอน
ซึ่งในลักษณะการขับแบบเดียวกันเมื่ออยู่ใน Xpeng G6 มันได้ความสบายมากกว่า Model Y เริ่มตั้งแต่ความนุ่มนวลของระบบช่วงล่างที่ G6 มีมากกว่า ทัศนวิสัยการขับมองไปข้างน้า และด้านข้าง เห็นสิ่งแวดล้อมภายนอกชัดเจนกว่าด้วยกระจกบานหน้าและหน้าต่างด้านข้างที่กว้าง ส่วนกระจกหลังบอกได้เลยว่า คับแคบพอกัน G6 มองจากภายนอกก็เห็นอยู่แล้วว่าขนาดของกระจกหลังค่อนข้างเล็กและแคบ ก็ด้วยดีไซน์เพื่อให้เข้ากับตัวรถ
และทาง Xpeng เขาบอกว่ามุมมองด้านหลังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยกล้องคุณภาพสูงอยู่แล้ว ส่วน Model Y นั่นมันหลอกตา เพราะถ้ามองกันที่กระจกบานหลัง มันดูกว้างมาก แต่ในความกว้างนั้นมันเป็นดีไซน์องศาที่แทบจะแบนราบไปกับท้ายรถ ดังนั้นเมื่อมองจากภายในรถมันก็เหลือมุมมองแคบๆ แต่ก็เช่นกัน ใช้กล้องหลังหรือกล้องรอบคันช่วยได้ แต่ที่แน่ๆ Model Y ไม่มีก้านปัดน้ำฝนที่กระจกหลัง แต่ G6 มี
ฟิลลิ่งการขับตั้งแต่ออกตัว (โหมด Standard เหมือนกัน) ในความเร็วต่ำ Xpeng G6 ให้ความนุ่นนวลและสมูธกว่า Tesla Model Y อันนี้บอกก่อนเลยนะครับว่าผมใช้ลักษณะการขับเหมือนกันทุกประการ เพราะเป็นการขับสลับแบบเปรียบเทียบในเวลาเดียวกันเลย การออกตัวของ G6 ในจังหวะคันเร่งเท่ากันจะไม่กระโชกโฮกฮากออกไป แต่จะได้แรงดึงแบบสมูธต่อเนื่องให้ความสบายกับคนนั่งมากกว่า ตัวเลขพละกำลังของ G6 อยู่ที่ 285 แรงม้า ซึ่งน้อยกว่า Model Y อยู่ค่อนข้างเยอะ แต่พอดูแรงบิดของเจ้า G6 ที่ 440 นิวตันเมตร อ้าว! กลับมีแรงบิดสูงกว่า Model Y ซะอย่างงั้น ก็เลยมีคำถามว่า แรงบิดมากกว่าแต่ทำไมออกตัวหรือเร่งแซงได้ไม่จี๊ดจ๊าดเท่า Model Y ซึ่งก็ได้ถามทางวิศวกรของ Xpeng ได้คำตอบว่า G6 ได้รับการปรับตั้งซอฟท์แวร์มาให้รถมีคาแรคเตอร์ที่ขับสบายโดยเฉพาะการใช้งานในเมือง ดังนั้นลักษณะการออกตัวของรถจะมีความสมูธ แต่หากเหยียบคันเร่งต่อเนื่อง ก็จะได้แรงดึงหนักๆ อย่างต่อเนื่องเช่นกัน และที่สำคัญคือ ด้วยระบบช่วงล่างที่เซ็ตมาดี ทำให้รถเพิ่มความเร็วอย่างรวดเร็วโดยที่คนขับแทบไม่รู้ตัว ผ่านด่านทางด่วนเหยียบคันเร่งสุด รถดึงแบบสมูธๆ เหมือนจะไม่เร็ว แต่มองไปที่มาตรวัดความเร็ว แป๊บเดียวมันจะ 200 กม./ชม. แล้ว! แต่ยังไงความเร็วมันก็ขึ้นช้ากว่า Model Y ครับ
ซึ่งอีกหนึ่งอย่างที่ส่งผลต่ออัตราเร่งที่ต่างกันระหว่าง Model Y กับ G6 นอกเหนือจากแรงม้า และการปรับจูนซอฟท์แวร์แล้ว ผมว่าน้ำหนักตัวรถก็น่าจะมีส่วน เพราะ G6 หนักกว่า Model Y อยู่เกือบ 120 กก. (น้ำหนักรถเปล่า) การขับใช้งานในเมือง ฟิลลิ่งพวงมาลัยสองคันนี้ใกล้เคียงกัน แต่ในแง่ของความสบาย G6 มีมากกว่า ด้วยขนาดของวงพวงมาลัยที่ใหญ่กว่าจึงผ่อนแรงไปอีกนิด และถึงแม้จะอยู่ในโหมพวงมาลัย Comfort หรือ Standard เหมือนกันก็ตาม แต่ในแง่ของความกระชับมือโดยเฉพาะการขับบนทางด่วนที่ใช้ความเร็วได้มีทางยาวๆ โค้งกว้างๆ ผมให้คะแนนพวงมาลัย Model Y มากกว่าในแง่ของความมั่นคงและกระชับ มาถึงความสบายของช่วงล่าง เรื่องนี้ชัดเจนว่า G6 สบายกว่าเยอะในด้านความนุ่มนวลและการซับแรงสะเทือนจากด้านล่าง และต้องไม่ลืมว่า G6 มากับล้อขนาด 20 นิ้ว แต่กลับนุ่มนวลกว่า Model Y รุ่นขับเคลื่อนล้อหลังที่มากับล้อขนาด 19 นิ้ว ดังนั้นบนถนนในกรุงทเพที่เต็มไปด้วยฝาท่อ แผ่นเหล็ก หลุม และอะไรต่างๆ นาๆ ที่ทำให้ถนนไม่เรียบ คนขับและคนนั่งในเจ้า G6 รู้สึกสบายกว่าเยอะครับ
มาถึงฟิลลิ่งการขับระยะทางไกลๆ ออกต่างจังหวัดบ้าง ส่วนตัวผมหลังจากขับแล้วบอกเลยว่า รถสองคันนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน และน่าจะเหมาะกับคนที่มีความต้องการต่างกันอย่างชัดเจน สำหรับ Xpeng G6 มันเหมาะกับการเป็นรถครอบครัวอย่างแท้จริง การขับหรือนั่งในระยะทางไกล เรื่องความกว้างขวางนั่งสบาย ดีไซน์และวัสดุเบาะนั่ง พื้นที่ใช้สอย อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ผมให้คะแนนเต็ม 10 ไม่หักเลยครับ มันเป็นรถที่ขับสบายจริงๆ ขับต่อเนื่องแบบแวะจอดแค่ทานข้าวกับชาร์จ ไม่รู้สึกเมื่อยล้าแม่แต่น้อย ผมเปิดระบบช่วยเหลือการขับขี่เกือบทั้งหมด แต่ที่ใช้งานแล้วถูกใจคือระบบ ACC (Adaptive Cruise Control) ล็อคความเร็วแปลผันตามรถคันหน้าและ LCC (Lane Centering Control) ที่ช่วยให้รถอยู่กลางเลน มันช่วยให้คนขับไม่เหนื่อย แล้วยังอุส่าห์มีสัญญาณเตือนให้อย่าปล่อยมือจากพวงมาลัยเพื่อความปลอดภัย
ส่วนที่ชอบระบบ ACC ของคันนี้คือเผื่อระยะได้ดี หมายความว่าการเร่ง หรือชะลอความเร็วตามคันหน้า รถรถค่อนข้างสมูธ ไม่กระชากตามความเร็วของรถคันหน้าเหมือนระบบ ACC ของรถบางรุ่นที่เร่งจนตกใจ ส่วนการชะลอหรือเบรกก็ทำได้สมูธเช่นเดียวกัน รวมถึงไม่ได้แปรผันเฉพาะกับรถคันหน้าเท่านั้น แต่หากมีรถที่มาในเลนข้างๆ จะแซงเข้าข้างหน้า ระบบก็ช่วยระวังให้ด้วย ส่วนเรื่องการจอดก็ไม่ต้องทำอะไรมากแล้ว ขับไปเจอที่จอดตรงไหนก็กดระบบจอดอัตโนมัติแค่นั้น ถ้ามีหลายช่องก็จิ้มได้ด้วยว่าจะจอดช่องไหน ได้ทั้งจอดแบบถอยเข้าช่องจอด จอดขนานฟุตบาท และจอดช่องจอดแนวเฉียง
อัตราเร่งของ G6 ในทางไกล ถ้าเป็นคนชอบอารมณ์รถไฟฟ้าแบบกดคันเร่งทีจี๊ดจ๊าด คุณอาจไม่ได้ในรถคันนี้ เพราะอย่างที่บอก ความเร็วมันจะไต่ขึ้นแบบดึงยาวๆ ไม่กระชากไม่ดึงและไม่ถึงกับกระโดด แต่ก็จะง่ายกับการควบคุม และให้ความสบายกับคนนั่ง ระบบช่วงล่างของ G6 กับการขับออกต่างจังหวัด ถือว่าทำได้ดี กระชับแต่ยังนุ่มนวล เปลี่ยนเลนมั่นใจ แต่ในโค้งที่พื้นผิวถนนดันเป็นคลื่น รถจะมีอาการโยนๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งวิธีที่ช่วยให้การขับมั่นใจมากขึ้นก็คือเปลี่ยนโหมดควบคุมพวงมาลัยไปเป็นโหมดที่หนักขึ้นมาอีกหน่อยอย่าง Medium หรือ Sport
ส่วนการปรับโหมด Regenerative ของรถที่ส่งผลกับการหน่วงของคันเร่ง การขับใช้งานทั่วไปหรือออกต่างจังหวัด ส่วนตัวผมปรับเป็น Medium เพราะให้การหน่วงนิดๆ กำลังดี ไม่ปล่อยไหลจนเกินไป แล้วก็ไม่หน่วงจนเกินไป แต่ในกรณีขึ้น-ลงทางชันหรือเข้าโค้งต่อเนื่อง ปรับไปใช้ XPedal ก็ช่วยให้การขับสบายและปลอดภัยมากขึ้น ที่สำคัญในบางกรณีก็ไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อย แค่ผ่อนคันเร่งหน่อยๆ ก็ชะลอรถได้ดีเลยครับ
ในสถานการณ์ เส้นทาง และถนนเส้นเดียวกัน Tesla Model Y ให้ความรู้สึกที่แตกต่างชัดเจน เอาว่าถ้าคุณเป็นคนชอบรถขับทางไกลแบบสนุกๆ กดคันเร่งปุ๊บรถกระโดดปั๊บ รวมถึงช่วงล่างแน่นๆ ตึงๆ และที่สำคัญขับเดินทางคนเดียวหรือมีแค่อีกคนนั่งไปข้าง Model Y ตอบโจทย์ดังกล่าวได้ครบถ้วนครับ ผมใช้คำว่ามันเป็นรถที่ทันใจดี ทั้งเร่งแซง และใช้ความเร็วในโค้ง และถ้าคุณรีบ เจ้า Model Y ให้อาการที่ดีกว่า G6 ครับ
แต่ในขณะเดียวกันต้องแลกกับความสบาย เพราะช่วงล่างมันไม่นุ่มนวลเอาเสียเลย คนขับอาจสนุก แต่คนนั่งไม่สนุกด้วยแน่ๆ ส่วนเรื่องระบบช่วยเหลือระหว่างขับขี่ก่อนอื่นเลยสำหรับ Tesla ถ้าคุณอยากได้แบบเต็มระบบ คุณต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 120,000 บาท ก็จะได้ระบบอย่างเช่น Autopilot ระบบควบคุมความเร็วแปรผันตามจราจร ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ ในขณะที่ระบบดังกล่าวเจ้า G6 มีทั้งหมดและไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่ง Model Y คันที่ผมขับมีระบบดังกล่าวมาให้จึงได้ลองบางอย่าง แต่หลักๆ ก็คือ Autopilot ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันก็ทำงานลักษณะเดียวกับพวกระบบ ACC , LKA (ช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน) อะไรพวกนั้นแหละครับ
และที่แน่ๆ ซึ่งสัมผัสได้คือ การแปรผันความเร็วตามรถคันหน้าทั้งการออกตัว เร่งความเร็ว และชะลอ ทำได้ไม่สมูธเท่า G6 โดยเฉพาะถ้าปรับโหมดการหน่วงความเร็วเพื่อชาร์จไฟฟ้า Regenerative ไปที่ Standard (มี 2 โหมด Low กับ Standard) เจ้า Model Y หน่วงแบบหัวทิ่ม เอาว่าถ้าคนขับข้อเท้าไม่นิ่งพอ คนนั่งมีอาการคลื่นเหียนเวียนศีรษะแน่นอน
สรุปสั้นๆเรื่องการขับทางไกลก็คือ Tesla Model Y จะได้เปรียบเรื่องสมรรถนะอัตราเร่ง ความหนึบแน่นช่วงล่าง ความมั่นใจในโค้ง แต่ผู้โดยสารที่รักความสบายนุ่มนวลอาจไม่ปลื้ม ในขณะที่ Xpeng G6 ได้ในเรื่องความสบายของทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร การขับขี่สมูธนุ่มนวล ระบบช่วยเหลือมีเยอะ แต่อัตราเร่งตอบสนองได้ไม่เท่า Model Y รวมถึงการใช้ความเร็วในโค้งเสียเปรียบ Model Y แต่ถ้าขับแบบปกติทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนอะไร ผมให้ Xpeng G6 เป็นรถที่เหมาะกับการขับเดินทางไกลไปพร้อมครอบครัวมากกว่า
ส่วนเรื่องการชาร์จผมไม่ได้ทำการทดลองเปรียบเทียบอะไรจริงจังมากนัก ที่แน่ๆ สเปคแบตเตอรี่ 2 คันนี้มีความต่างกันไม่น้อย Tesla Model Y รุ่นมอเตอร์ตัวเดียวขับเคลื่อนล้อหลัง RWD แบตฯ มีความจุ 57.5 kWh ในขณะที่ Xpeng G6 รุ่น Long Range อยู่ที่ 87.5 kWh ดังนั้นตัวเลขระยะทางวิ่งต่อการชาร์จเต็มของทั้งคู่ที่ทางโรงงานเคลมมาจึงต่างกัน โดยถ้ายึดตามค่ามาตรฐาน WLTP ของ Tesla Model Y RWD อยู่ที่ 455 กม. ส่วน Xpeng G6 Long Range อยู่ที่ 570 กม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับ ลักษณะเส้นทาง และอุณหภูมิความร้อนของอากาศภายนอกด้วยนะครับ
ขณะที่เรื่องการชาร์จตามสถานีระหว่างเดินทางแน่นอนว่าเราชาร์จแบบ DC Fast Charge ของ Tesla Model Y RWD รับได้เต็มที่ 250 kW ส่วน Xpeng G6 Long Range ได้เต็มที่ 280 kW แต่เอาเข้าจริงแล้วจากประสบการณ์ส่วนตัวผม ความสามรถในการชาร์จหรือสปีดความเร็วในการชาร์จตามสถานีในประเทศไทยตอนนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรถ แต่ขึ้นกับสถานีซึ่งยังไม่สามารถจ่ายกระแสไฟได้เต็มประสิทธิภาพขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการชาร์จระหว่างการเดินทางของสองคันนี้แทบไม่มีอะไรแตกต่างครับ
สุดท้ายเรื่องราคา Tesla Model Y ปัจจุบันค่าตัว 1,749,000 บาท แพงกว่า Xpeng G6 Long Range ที่เพิ่งเปิดตัวมา 1,599,000 บาท หมายความว่า Model Y มีค่าตัวสูงกว่า G6 อยู่ 150,000 บาท ผมบอกเลยว่า ส่วนต่างราคาก็เรื่องหนึ่ง แต่ของแบบนี้ เลือกคันที่ตอบโจทย์ที่สุดคือจบครับ