ต้องบอกว่า Ford เป็นกระบะ ที่ไม่ทำตลาดเหมือนเจ้าอื่นๆ ที่เน้นออกไลน์อัพจับกลุ่มแมส แต่ Ford จะเน้นออกตัวไลน์อัพตัวบนหรือตัวพรีเมี่ยม เริ่มจากตอนแรก ที่มีแค่ตัว Wildtrak ต่อมาขยับเปิดไลน์อัพที่สูงขึ้นอย่าง Stormtrak และล่าสุดเปิดตัว Wildtrak V6 ดีเซล 3.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า กับราคาค่าตัว 1,519,000 บาท ซึ่งเครื่องยนต์บล็อคนี้จะเป็นอย่างไรเราไปพิสูจน์กัน
Ford Ranger Wildtrak V6 3.0 เป็นไลน์อัพที่แทรกกลางระหว่าง Stormtrak 2.0L Bi-Turbo 4×4 ค่าตัว 1,414,000 บาท กับ Raptor 2.0L Bi-Turbo 4WD ค่าตัว 1,799,000 บาท ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร Bi-Turbo กำลังสูงสุด 210 แรงม้า โดยหากใครจะหวังว่า Ford จะจับเอาเครื่องยนต์บล็อคนี้มาใส่ในกระบะ Performance อย่าง Raptor บอกเลยว่าไม่มีสิทธิ์ เพราะทาง Ford บอกมาแล้วว่า จะไม่เอาเครื่องยนต์บล็อคนี้ไปใส่ในกระบะ Raptor ถึงตรงนี้คงต้องเลือกแล้วว่าจะขับ Ford Ranger Raptor ที่มีเครื่องยนต์ 2 บล็อคให้เลือกกับตัวแรง เบนซิน V6 ที่แรงทะลุเดือด แต่กินน้ำมันซะเหลือกเกิน หรือจะขับแค่ตัวดีเซล 2 ลิตร 4 สูบ ที่ความแรงอาจไม่ทันใจ แต่ประหยัดน้ำมัน หากถ้าต้องการเครื่องยนต์ที่แรงดี แถมประหยัดน้ำมัน คงต้องหันมามอง Ford Ranger Wildtrack ดีเซล V6 คันที่ผมกำลังจะรีวิวนี้
ดีไซน์ภายนอก-ภายใน ยกมาจาก Wildtrak
Ford Ranger Wildtrak V6 มีการตกแต่งภายนอกและภายในห้องตามแบบฉบับ Wildtrak เพราะเป็นการยกรุ่น Wildtrak มาอัพเกรด แต่ครั้นจะไม่ใส่ฟีเจอร์อะไรเพิ่มมาให้เลยนั้นก็ดูจะไม่เข้าท่า เลยจับยัดฟีเจอร์เพิ่มจากเดิมนิดหน่อย ได้แก่ ระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน (Zone Lighting) ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าคือฟีเจอร์อะไร ขออธิบายสั้นๆ ว่าเจ้า Zone Lighting นี้ มันจะการทำให้รถเหมือนเป็นดังตะเกียง ที่สามารถให้แสงสว่างรอบรถได้ แต่ไฮไลท์อยู่ที่มันสามารถเลือกได้ว่าจะให้ส่องสว่างโซนไหน ไม่ว่าจะหน้ารถ หลังรถ หรือข้างรถ สามารถเลือกเปิดได้หมดจุดต่อไปก็จะเป็น สัญลักษณ์ V6 บริเวณแก้มข้างด้านหน้า ซึ่งตรงนี้ผมชอบความไม่ตะโกนด้วยตัวสัญลักษณ์ตัวใหญ่โต แต่มีไว้เล็กๆ เพียงแค่บอกว่าข้านี่คือ V6 กระบะคันละล้านห้า อะไรแค่นี้ … และปิดท้ายด้วย ล้ออัลลอยสีทูโทน ขนาด 20 นิ้ว หุ้มยางขนาด 225/55 R20
ส่วนภายในห้องโดยสารก็อย่างที่บอกตกแต่งสไตล์ Wildtrak เน้นโทนสีดำแต่เล่นตะเข็บสีส้ม หน้าจอกลางเป็น SYNC 4A แบบ Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto พร้อม ลำโพง 6 ตำแหน่ง รวมถึงมีที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายมาให้
สมรรถนะเต็มสูบกับขุมพลังดีเซล V6 สูบ 3.0 ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5
มาถึงไฮไลท์สำคัญของรถคันนี้ ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องของเครื่องยนต์ดีเซล V6 ความจุ 3.0 ลิตร ที่ถูกประกอบจากโรงงานในประเทศอังกฤษ โดยเครื่องยนต์บล็อกนี้ เคยถูกใช้ใน Ford F-150 Series รุ่นปี 2018 และ Everest ที่ขายในออสเตรเลีย มาดูสเปคของขุมพลังบล็อกนี้ที่ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า ที่ 3,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,250 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รองรับน้ำมัน B20 ได้ และที่สำคัญผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 ตามมาตรฐานรถเพื่อการพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4A AWD ที่ต้องบอกว่าเป็นระบบขับเคลื่อนที่ฉลาดดีเหลือกเกิน ซึ่งมันจะสั่งการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ว่าจะให้ Transfer กำลังไปที่ล้อไหนเท่าไหร่ เหมาะกับคนที่ไม่ได้คล่องเรื่องระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หากขับเข้าทางทุรกันดาร หรือทางออฟโรดเข้าโหมดนี้ก็มีหน้าที่แค่ขับ ที่เหลือรถมันจัดการให้ อีกทั้งยังมาพร้อม 6 โหมดให้เลือกใช้งาน Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery, Mud/Ruts และ Sand เรียกได้ว่าสบายสุดๆ ไปเลย
มาถึงช่วงทดลองขับ ต้องบอกว่าเจ้า Ranger Wildtrak V6 ที่ดูจะโชว์จุดขายด้านความแรง แต่พอขับจริงๆ พละกำลัง 250 แรงม้า และแรงบิด 600 นิวตัน-เมตร มันไม่ได้แรงกระโชกใจอะไรขนาดนั้น โดยเฉพาะช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง อัตราเร่งมันมาแบบค่อยๆ มาตามสไตล์เครื่อง V6 แต่พอลอยตัวคราวนี้ เรียกอัตราเร่งเมื่อไหร่ มีแรงม้า แรงบิด พร้อมให้ใช้งาน โดยฟิลลิ่งของเครื่องบล็อคนี้ผมว่ามันเป็นเครื่องยนต์ที่แรงแบบสุภาพเป็นสไตล์กระบะผู้ดี แถมเสียงเครื่องยนต์ถ้าไม่บอกว่าเป็นดีเซล แทบจะไม่เชื่อ เพราะเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามาในห้องโดยสารมันเงียบดีเสียเหลือเกิน บวกกับได้เกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด ที่สามารถเปลี่ยนอัตราทดได้ราบลื่นไหล ยิ่งรู้สึกสมูทเข้าไปอีก สรุปโดยรวมแล้วเครื่องยนต์ของ Ranger Wildtrak V6 ผมถือว่าโอเคเลย เป็นเครื่องที่เน้นการตอบสนองแบบนุ่มนวลแต่ทรงพลัง และอัตราการกินน้ำมันก็รับได้หากใช้ในชีวิตประจำวัน โดยตัวเลขก็วิ่งอยู่ที่ 10 กม./ลิตร บวกลบ แล้วแต่การขับขี่ ซึ่งถือว่ารับได้
ระบบช่วงล่าง เด่นที่ช็อค Monotube
ขณะที่ช่วงล่างของ Ranger Wildtrak V6 ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง โดยมากับช็อคอัพแบบ Monotube ส่วนด้านหลังแบบแหนบซ้อน พร้อมช็อคแบบ Monotube เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างไปจาก Ranger รุ่นอื่น ก็คือจะมีการเสริมด้วยคอม้าที่ทำจากวัสดุอะลูมิเนียมเพื่อรองรับน้ำหนักเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญมาพร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ และระบบดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า
สำหรับฟิลลิ่งการขับขี่การควบคุม ต้องยอมรับว่าทาง Ford เซ็ตอัพช่วงล่างมาได้ดีมากๆ ขับแล้วถ้าไม่มองกระจกหลังไปเห็นท้ายกระบะ นึกว่ากำลังขับเอสยูวีอยู่ ประกอบกับการได้พวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วและมีความแม่นยำสูงเข้าไปด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รถกระบะคันนี้ เป็นรถกระบะที่ขับง่าย ขับสนุกก และขับสบาย ไม่แพ้รถเอสยูวี
ระบบความปลอดภัยมีให้เพียบ
ด้านระบบความปลอดภัยของ Ranger Wildtrak V6 ประกอบด้วย ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop & Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Alert) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด (Blind Spot Information System – BLIS® with cross-traffic alert) กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive Steering Assist)
ขณะที่ระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ ระบบกล้องมองรอบคัน 360 องศา พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง, ระบบควบคุมการทรงตัว ESP, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบเบรก ABS / EBD, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HLA, ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll-Over Mitigation), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) และถุงลมนิรภัย 7 จุด (คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่า)
สรุป
ปิดท้ายที่ค่าตัว 1,519,000 บาท หลายคนอาจจะมองว่า จะบ้าไปแล้วเหรอ แต่ก่อนกระบะคันละล้าน ก็โคตรแพงแล้ว มาตอนนี้ซื้อรถกระบะทีคันละล้านห้า แม่เจ้า!! แต่เชื่อเถอะครับว่าแฟนคลับ Ford Ranger ไม่บ่นซักคำ และถ้ายิ่งได้ลองขับแล้ว ผมเชื่อว่า ราคานี้ ไม่แพง … แต่แอบเสียดายที่เครื่องยนต์บล็อกนี้ไม่ถูกจับใส่ใน Ford Ranger Raptor ไม่งั้นสำหรับผม ตัดสินใจง่ายเลยครับ