ที่ผมขึ้นหัวเรื่องมาแบบนี้หลายท่านอาจจะงงหรือสงสัยว่าคุณมรึงต้องการจะสื่อสารถึงอะไรครับ?? ต้องบอกอย่างนี้ว่าตั้งแต่ผมยืมรถมาทดสอบ และขับเจ้าสปอร์ตคูเป้แกรนด์ทัวร์ริ่ง Mercedes-AMG SL 43 รหัสตัวถัง R232 สีเหลืองอ๋อยนี้ ขึ้นทางด่วนทีไร ต้องมีเพื่อนๆ สาย Performance อยากลองของกับเจ้า SL43 คันนี้เสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น RS ของค่ายอาวดี้ M จากฝั่ง BMW หรือแม้กระทั่ง AMG พี่น้องเพื่อนร่วมค่ายก็เอากะเค้าด้วยเหมือนกัน รวมไปถึงฝั่งญี่ปุ่นอย่าง Civic Type R ของค่ายฮอนด้า หรือ GR จากฝั่งโตโยต้า เห็นมะครับว่าขับเจ้า SL43 ตัวแรร์ไอเทมคันนี้ เพื่อนบนถนนช่างเยอะเสียเหลือเกิน แต่ผมก็ต้องขออภัยนะตรงนี้ด้วยนะครับ ที่ทำให้เพื่อนๆ เสียใจ ไม่ได้ลองกดกันซักยกสองยก เพราะมันไม่ใช่รถผมครับ แต่ถ้าได้มีโอกาสเป็นเจ้าของรถเมื่อไหร่ รับรองจะไม่ทำให้เพื่อนๆ ต้องผิดหวังแน่นอน

สำหรับ Mercedes-AMG SL ถือเป็นเรือธงสำหรับเปิดประทุนของค่ายเมอร์เซเดส โดยตัวถัง SL นี้ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 7 ทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 1950 และใครพอจะรู้บ้างว่าโมเดล SL นั้นมีที่มาจากอะไร ผมเฉลยให้เลยครับ ว่ามีที่มาจากคำย่อว่า Sport Light นั่นเอง โดย SL43 โมเดลนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลังคาโลหะพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้าที่ได้รับการพัฒนาให้ช่วยลดเสียงรบกวนเข้ามาในรถ (แต่ก็ยังมีเสียงลมเข้าอยู่ดีตามสไตล์รถเปิดประทุน) รวมถึงมีการลดน้ำหนักของตัวหลังคาผ้าลงให้เบากว่ารุ่นเดิม ในขณะที่แพลตฟอร์มสร้างขึ้นใหม่โดยใช้ร่วมกับ Mercedes-AMG GT, GTC และ GTR

Mercedes-AMG SL43 คันสีเหลืองนี้ ได้รับการอัพเกรดแพ็กเกจเสริมเป็น AMG Dynamic Plus โดยสิ่งที่เพิ่มเติมจากตัวสแตนดาร์ดนั้นก็จะมี ตัวยึดแท่นเครื่องยนต์แบบไดนามิก เฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป มีการลดความสูงตัวรถให้ต่ำลง 10 มิลลิเมตร คาลิเปอร์เบรก AMG เป็นแบบ 6 พอต สีเหลือง ซึ่งเมื่อเบรกเป็นไซส์ใหญ่ขึ้นแล้ว ล้อก็ขอขยับตามขึ้นเป็นล้อของ AMG ขอบ 21 นิ้ว

มาดูด้านพละกำลังกันบ้าง ต้องบอกว่า Mercedes-AMG SL43 ถือเป็นน้องเล็กในอนุกรม SL เพราะใช้เพียงเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบชาร์จเจอร์ไฟฟ้า Mild Hybrid 48 V ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส M139 ที่เคยวางอยู่ใน Mercedes-AMG ตระกูล 45 ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น A45, CLA45 หรือ GLA45 ซึ่งให้พละกำลังสูงสุด 381 แรงม้า ที่ 6,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ระหว่าง 3,250 – 5,000 รอบต่อนาที โดยสามารถเพิ่มพละกำลังได้อีกเล็กน้อยประมาณ 14 แรงม้า จากมอเตอร์ RSG เจนฯ 2 ที่ทำหน้าที่เป็นระบบไฮบริด ทั้ง Regen Braking และการ Start -Stop เครื่องยนต์ ขณะที่ระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G (Multi-Clutch Transmission) ใช้คลัตช์เปียก แทนที่ทอร์กคอนเวอร์เตอร์ ช่วยลดน้ำหนัก และมีแรงเฉื่อยต่ำ ทำให้การต่อเกียร์แต่ละเกียร์ใช้เวลาสั้นขึ้น ซึ่งกำลังทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดลงสู่ล้อคู่หลังตามสไตล์ SL รุ่นก่อนหน้านี้

ฟิลลิ่งของขุมพลังตัวนี้ อย่างที่บอกว่า SL43 เป็นน้องเล็ก ดูตัวเลข 381 แรงม้า กับแรงบิด 480 นิวตัน-เมตร อาจจะรู้สึกว่าเยอะ แต่พอได้ลองขับเข้าจริงๆ แล้ว ด้วยตัวรถที่มีขนาดใหญ่ แถมน้ำหนักตัวเยอะ ทำให้เวลาขับแล้วรู้สึกว่ามันยังแรงไม่สุดเท่าไหร่ อย่างตัวเลข 0-100 กม./ชม. ก็อยู่ประมาณ 5 วินาที ความเร็วสูงสุดก็อยู่ที่ 275 กม./ชม. ถามว่าขับสนุกไหม บอกเลย อารมณ์ของตัวรถมันได้ แถมขับหลังเวลากระแทกคันเร่งต้องออกตัวมีท้ายปัดนิดๆ ให้คุมได้สนุก แต่พอจะฟัดกันจริงๆ แล้วล่ะก็พละกำลัง กับสุ่มเสียงมันยังดูจะไม่เพียงพอสำหรับใครที่เป็นพวกรักความแรง ซึ่งทาง Mercedes-AMG ก็เหมือนจะรู้ เพราะมีรุ่นที่เหนือกว่าทั้ง SL55 และ SL63 ไว้รอพวกเท้าหนักอยู่แล้ว โดยขุมพลังของตัว 55 นั้นจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ 476 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic ในขณะที่ตัว 63 นั้นจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ เทอร์โบคู่ ขนาดความจุ 4.0 ลิตร 585 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Matic + เช่นเดียวกัน

แต่จุดที่ผมชอบสำหรับตัวเครื่อง SL43 คือเรื่องการใช้ มอเตอร์ไฟฟ้าตัวเล็ก หรือที่เราเรียกมันว่า Mild Hybrid ทำงานพ่วงกับเทอร์โบชาร์จเจอร์ไฟฟ้า เทคโนโลยีที่เอามาจาก F1 มันช่วยลดดอาการเทอร์โบรอรอบได้อย่างชัดเจน ทำให้เวลากดคันเร่งแบบกะทันหัน มันเหมือนมีบูสต์มีแรงบิดติดมาที่คันเร่งตลอดเวลา แม้จะไม่ดึงหลังให้ติดเบาะหัวติดพนักเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยทำให้รถคันนี้ขับสนุกขึ้นได้พอสมควร โดยหลักการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ไฟฟ้า คือจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กติดตั้งตรงบนแกนเทอร์โบร์ระหว่างเทอร์ไบน์ที่ด้านไอเสียและคอมเพรสเซอร์ที่ด้านไอดี ซึ่งจะขับเคลื่อนแกนเทอร์ไบน์ด้วยการหมุนอย่างเร็ว ก่อนที่ไอเสียจะเริ่มขับเคลื่อนครีบเทอร์ไบน์ ช่วยให้แรงบิดสูงขึ้นที่รอบต่ำ

มาถึงเรื่องของการควบคุมกันบ้าง จุดแรกของพูดถึงเรื่องการตอบสนองของพวงมาลัยไฟฟ้าที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามโหมดของการขับขี่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งโหมดการขับสามารถปรับได้ง่ายๆ ด้วยปุ่มหมุนที่พวงมาลัย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Comfort ที่น้ำหนักพวงมาลัยจะเบาที่สุด Sport ก็จะหนักขึ้นมาหน่อย Sport + อันนี้กำลังเหมาะมือหากวิ่งทางไกลๆ ส่วน Individual ก็แล้วแต่เราจะตั้ง ขณะที่ในโหมดโหดสุด RACE น้ำหนักก็จะค่อนข้างตึงมือ ต้องใช้แรงในการควบคุมมากหน่อย แต่ให้ฟิลลิ่งการขับที่มั่นใจดี ซึ่งนอกจากน้ำหนักของพวงมาลัยแล้ว ยังมีอีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่ช่วยให้เข้าโค้งได้คมและแม่นยำขึ้น นั่นก็คือ ระบบช่วยทรงตัว ESP ซึ่งจะแทรกแซงการขับขี่ในยามที่จำเป็นเท่านั้น โดยหากเข้าโค้งด้วยความเร็วที่สูงเกินไป ระบบจะแทรกแซงการเบรกอัตโนมัติในระยะสั้นที่ล้อหลังขณะเลี้ยว เพื่อให้เข้าโค้งได้แม่นยำ และควบคุมทิศทางได้ง่ายขึ้น

มาที่ระบบช่วงล่างกันบ้าง ต้องบอกว่าฟิลลิ่งของ SL43 มันเป็นรถสปอร์ตแบบ100% ถ้าจะถามฟิลนุ่มนวลไม่ต้องพูดถึง แม้กระทั่งโหมด Comfort ยิ่งไปโหมด Sport หรือข้ามไปโหมด Race อันนี้ฟิลอย่างกับรถแข่งในสนาม Mercedes-AMG SL 43 มาพร้อมระบบกันสะเทือน AMG RIDE CONTROL ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ช็อคอัพทำจากอลูมิเนียม และที่สำคัญคือการใช้คอยล์สปริงที่มีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม 200 กรัม ช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังเลือกใช้แบบอิสระมัลติลิงค์ซึ่งเราไม่เคยเห็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงของ AMG เลือกใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบนี้ แต่ข้อดีคือมันช่วยเพิ่มของการยึดเกาะถนนที่ได้ดีมากกว่าเดิม บอกได้เลยว่าวิ่งความเร็วสูงทางตรงยาวๆ พวงมาลัยนิ่งมากๆ รวมไปถึงเวลาเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้ง อาการหน้ารถบอกเลยเกาะสุดๆ ฟิลขับนี่มัน แต่ด้วยช่วงล่างลักษณะนี้มันก็ส่งความรู้สึกจากพื้นถนนมาถึงคนขับได้แบบเต็มๆ เช่นเดียวกัน แล้วยิ่งถนนเมืองไทยเป็นถนนที่โคตรขรุชระขับคันนี้แล้ว บอกเลยแทบรู้ทุกตารางนิ้วของถนน

เมื่อพูดถึงพละกำลัง ช่วงล่าง แล้วจะลืมพูดถึงเรื่องการควบคุมเรื่องการหยุดรถคงไม่ได้ ต้องบอกว่าเจ้า SL43 ฟิลลิ่งของเบรกคือ ดีมากๆ เอาพละกำลังที่ให้มาเกือบ 400 แรงม้า แบบอยู่หมัด แถมฟิลลิ่งการให้น้ำหนักเบรกเซ็ตติ้งมาให้เหมือนกับรถสนาม ไม่มีฟิลแบบเบรกดูดให้หัวทิ่ม ฟิลคือเท้าป้อนน้ำหนักเท่าไหร่ คาลิปเปอร์จับให้เท่านั้นอะไรประมาณนี้ บอกเลยชอบสุดๆ เอ้าอินกับฟิลเบรกมาซะนาน มาดูสเปคเบรกเทพของเจ้า SL43 กันหน่อย ซึ่งมากับจานเบรกหน้าแบบเจาะรูระบายความร้อน ขนาด 390 มิลลิเมตร กับคาลิปเปอร์ 6 พอต สีเหลืองดูดุดัน และดิสก์เบรกหลังแบบเจาะรูขนาด 360 มิลลิเมตร ที่ด้านหลังมาพร้อมคาลิปเปอร์สีเหลืองแต่เป็นแบบพอร์ตเดียว

เอาล่ะ!! พูดถึงเรื่องสมรรถนะไปแล้ว คราวนี้มาลงรายละเอียดเรื่องภายนอกภายในรถกันบ้างดีกว่า สำหรับภายนอก SL43 เป็นรถสปอร์ตคูเป้แกรนด์ทัวร์ริ่งที่ดูมีความสปอร์ตลงตัวด้วยฐานล้อที่ยาว โอเวอร์แฮงก์รถสั้น ฝากระโปรงหน้ายาว ห้องโดยสารที่จัดวางไว้ตรงกลาง กระจกบังลมลาดเอียง ส่วนท้ายโค้งมน ด้านหน้าโดดเด่นกับกันชนหน้าที่มาพร้อม Flics ขนาดใหญ่ ชุดไฟหน้าเป็น LED เต็มระบบ แถมมีระบบออโต้ทั้งไฟสูงต่ำ และตัดสลับไฟต่ำให้กับรถที่สวนมา ขณะที่ด้านท้ายโดดเด่นด้วยกันชนหลังที่มาพร้อม Flics ขนาดใหญ่ ท่อไอเสียทรงกลมของ AMG ที่มีมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง แบบพ่นไอเสียจริง ไม่ได้ติดตั้งหลอกไว้แต่อย่างใด แถมยังมีสปอยเลอร์หลังไฟฟ้ามาช่วยเพิ่มแรงกดอากาศเวลาขับที่ความเร็วสูงอีกด้วย โดยเจ้าสปอยเลอร์หลังไฟฟ้านี้เวลาเปิดมันจะทำมุมที่ค่อนข้างสูงด้วยองศาที่ตั้งถึง 26.5 องศา เลยดีเดียว ส่วนด้านข้างมากับล้อแม็กขนาดใหญ่ 21 นิ้ว ที่ด้านหน้าใช้ยางขนาด 275/35 ZR21 ส่วนด้านหลังใช้ยางขนาด 305/30 ZR21 โดยเป็นยางของมิชลิน Sport 4 s

มาที่ภายในห้องโดยสารกันบ้าง จุดแรกที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้เพราะนี่คือรถเปิดประทุน นั่นก็คือหลังคา ที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า โดยใช้เวลาเพียง 15 วินาที แต่สิ่งที่สังเกตได้คือการสั่งการควบคุม จะมีปุ่ม Shortcut ที่คอนโซลหน้าตรงกลาง แต่ไม่ใช่ว่าจะกดปุ่มนี้เพียงทีเดียวแล้วหลังคาจะกางหรือเก็บอัตโนมัติ แต่ต้องเข้าไปสั่งการที่หน้าจอทัชสกรีนอีกที และที่สำคัญจะจ้องเลื่อนค้างไว้จนกว่าหลังคาจะกางหรือเก็บเสร็จ ซึ่งเอาจริงๆ ผมว่ายังไม่ค่อยเฟรนด์ลี่กับการใช้งานเท่าไหร่ โดยหลังคานี่สามารถเปิด-ปิดได้ที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ด้วยนะ

ในส่วนของพื้นที่ในห้องโดยสาร SL43 มีระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น ทำให้สามารถวางเบาะหลังขนาดเล็กได้ (แต่เอาจริงๆ คนก็คงนั่งไม่ได้ คงเป็นแค่ Dog Seat ซะมากกว่า) และอีกจุดที่หลายคนที่ยังไม่เคยขับรถเปิดหลังคา คือเรื่องความแข็งแรงเวลาเกิดอุบัติเหตุ ต้องบอกว่า Mercedes-AMG SL 43 มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะเป็น ขอบกระจกบังลมทำจากอะลูมิเนียม แมกนีเซียม วัสดุผสมไฟเบอร์ และเหล็ก แชสซีทำจากอะลูมิเนียม และวัสดุคอมโพสิตน้ำหนักเบา ประกอบด้วยสเปซเฟรมอะลูมิเนียมออกแบบใหม่ รวมไปถึงแพลตฟอร์มใหม่ที่เข้ามาช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการต้านทานแรงบิดตัวที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม

ด้านเบาะนั่งอันนี้เลิศสุดๆ เพราะตัวที่ผมเอามาทดลองขับเป็นเบาะนั่ง AMG Performance ปรับไฟฟ้า วัสดุผ้า ARTICO ผสมกับหนัง NAPPA มีดีไซน์คล้ายเบาะรถซุปเปอร์คาร์ ส่วนเรื่องการตกแต่งภายใน SL 43 ผสานความสปอร์ต คลาสสิก และทันสมัย ไว้รวมกัน โดยระบบอินโฟเทนเมนต์มี MBUX เวอร์ชั่นล่าสุด ที่นำเสนอรูปแบบการแสดงผลที่มีความคมชัดสูงสุด เรียกดูข้อมูลได้ง่ายดาย แผงแดชบอร์ดมีขนาดกำลังพอดี แถมจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว ยังสามารถปรับระดับความเอียงได้อีกต่างหาก ช่องแอร์เป็นทรงเทอร์ไบน์คล้ายบนเครื่องบิน ซึ่งผมชอบแบบนี้เพราะมันปรับทิศทางลมได้ง่ายนั่นเอง ส่วนเครื่องเสียงมากับแบรนด์ Burmester 3D surround sound system

ปิดท้ายที่เรื่องราคา Mercedes-AMG SL43 เปิดราคาเริ่มต้นมา 11.7 ล้านบาท ถือว่าสูงเอาเรื่อง ถ้าถามเรื่องความหล่อ ความเท่ และฟิลลิ่งการขับที่ยกเทคโนโลยีมาจาก F1 อันนี้ไม่เถียงว่ามันเลิศ แต่สุดท้ายด้วย Branding ของรถสปอร์ต ที่หลายคนยังเทใจไปให้กับแบรนด์ปอร์เช่ ที่ตัว 911 ราคาก็ใกล้เคียงกันนี้ อันนี้แหล่ะเป็นโจทย์ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะต้องทำการบ้านให้คนหันมาขับ Mercedes-AMG กันบ้าง หลังจากที่เห็นปอร์เช่ ขับกันเต็มบ้านเต็มเมือง



