Mercedes-Benz EQE 350 4MATIC SUV Electric Art รถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ All-Wheel Drive พละกำลังมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Permanently Excited Synchronous Motors (PSM) ที่มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที ด้านแบตเตอรี่แรงดันสูงเป็นแบบลิเธียมไอออน (Li-Ion) ความจุ 89 kWh ช่วยให้ขับได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง DC Charge สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% เพียง 31 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ AC Charge รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที

ด้วยความอเนกประสงค์ของรถเอสยูวี บวกกับความใหญ่โตของตัวถังในไซส์ E-Class โดย EQE มาพร้อมมิติตัวถังขนาดความยาว 4,863 มม. ความกว้าง 1,940 มม. ความสูง 1,685 มม. และระยะฐานล้อ 3,030 มม. โดย EQE SUV จะมีด้วยกัน 3 รุ่น Electric Art รุ่นเริ่มต้น AMG Line รุ่นกลางที่มาพร้อมชุดแต่ง AMG และ AMG Dynamic รุ่นท็อป ที่สำคัญด้วยช่วงล่างแบบถุงลม

โดยในรุ่น Electric Art ที่เรานำมาทดสอบนี้ ไฟหน้าจะไม่เหมือนรุ่น AMG ที่เป็นแบบ DIGITAL LIGHT ให้ความละเอียดสูงสุด 1.3 ล้านพิกเซล แบบ HD System พร้อมเทคโนโลยี Ultra Range High beam ส่องสว่างได้ไกลถึง 650 เมตร และสามารถปรับการส่องสว่างระหว่างการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างต่อเนื่องตามสภาพการจราจรและสภาพอากาศ โดยในรุ่น Electric Art จะเป็นไฟหน้าแบบ LED ที่มีระบบปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติมาให้

ส่วนด้านหลังมาพร้อมดีไซน์ไฟท้ายแบบ 3D Helix Design แบบสมัยนิยมคาดยาวตลอดช่วงท้ายรถ ด้านข้างติดตั้งล้ออัลลอยด์ ขนาด 20 นิ้ว กับยางขนาด 255/45 R20 เท่ากันทั้งหน้าและหลัง ผสานการทำงานด้วยระบบกันสะเทือนแบบ Comfort Suspension หรือพูดง่ายๆ คือไม่ใช่ถุงลม AIRMATIC เหมือนตัวท็อป นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO พร้อมมือจับประตูแบบไร้รอยต่อ Seamless Door Handles


เข้ามาภายในห้องโดยสาร ดูกว้างขวางตามแบบฉบับของไซส์ E-Class ขณะที่ความหรูหราได้ Active Ambient Lighting กว่า 64 เฉดสีเข้ามาช่วยเติมเต็ม พวงมาลัยมัลติเป็นฟังก์ชั่นหุ้มหนังธรรมดา ไม่ได้เป็นหนัง Nappa เหมือนรุ่น AMG รวมไปถึงเบาะคู่หน้าก็จะไม่ใช่ทรง Sport แต่ปรับระดับด้วยไฟฟ้าและเสริมด้วยฟังก์ชั่นหน่วยความจำแบบ Memory Seat


นอกจากนี้จอแสดงผลบริเวณแผงคอนโซลกลางไม่ได้เป็น MBUX Hyperscreen แต่เป็นหน้าจอ LED Touchscreen พร้อมจอ LED แสดงผลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว สำหรับผู้ขับขี่ สามารถควบคุมระบบการขับขี่ด้วยการสัมผัสบริเวณจอกลางผ่านฟังก์ชั่น DYNAMIC SELECTED ปรับโหมดการขับขี่ได้ทั้งแบบ ECO, COMFORT, SPORT, INDIVIDUAL และโหมด OFFROAD ซึ่งเป็นโหมดสำหรับการขับขี่ในรูปแบบ Off-Road โดยเฉพาะ

ด้านเทคโนโลยี EQE SUV ติดตั้งมาไม่ว่าจะเป็นระบบแผนที่นำทางแบบ Hard-Disc Navigation ด้วยแผนที่แบบ 3 มิติ ระบบสแกนลายนิ้วมือและ Face ID ยืนยันผู้ใช้งาน อุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ LTE สำหรับบริการ Mercedes Me Connect

ผสานการทำงานกับระบบมัลติมีเดียแบบ MBUX ระบบความบันเทิงรุ่นนี้ไม่ได้ติดตั้งระบบเสียงรอบทิศทางของ Burmester 3D Surround Sound System ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูง 15 ตัว รอบห้องโดยสารที่มีกำลังขับขนาด 710 วัตต์ และเทคโนโลยี Dolby Atmos อย่างกับรุ่นท็อป แต่ชุดลำโพง In House ที่ติดตั้งมาให้คุณภาพเสียงก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

มาถึงในเรื่องความปลอดภัยติดตั้งระบบ Active Safety อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร ระบบช่วยเบรกแบบแอ็คทีฟ ระบบช่วยจำกัดความเร็วแบบแอ็คทีฟ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน ในกรณีที่คนขับไม่ตอบสนองต่อการขับขี่เป็นเวลานาน แต่ไม่ได้ติดตั้งกล้องรอบคัน 360 องศา มาให้ รวมถึงไม่มีการแสดงผลแบบ Transparent Bonnet ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นภาพจริงในจุดอับสายตาบริเวณหน้ารถและใต้ท้องรถขณะขับขี่ด้วยโหมด OFFROAD อย่างในตัวท็อป แต่ก็มีกล้องหลังมาให้ และด้านหน้ากับสัญญาณเซ็นเซอร์กะระยะ ที่แสดงผลได้บนหน้าจอกลาง
รีวิวหลังขับ
Mercedes-Benz EQE 350 4MATIC SUV Electric Art คันนี้ 4.85 ล้านบาท กับระยะทางที่สามารถวิ่งได้ไกลเกิน 600 กิโลเมตร ถือเป็นกลุ่มรถไฟฟ้าที่วิ่งได้ระยะทางไกลสำหรับรถไฟฟ้าที่ขายในเมืองไทยขณะนี้ ด้านความความหรูหราภายในห้องโดยสารผมอาจไม่ให้เต็ม 10 เหมือนรุ่น AMG แต่ถ้ามองรวมๆ ถือว่าใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นไฟ Ambient Light ที่ล้อมไปรอบห้องโดยสาร แถมยังมีดวงดาวประดับที่คอนโซลหน้าในฝั่งคนนั่งก็ดูหรูหราดี อีกทั้งเจ้าไฟ LED ยังช่วยเรื่องความปลอดภัย โดยฝั่งไหนที่มีรถหรือวัตถุเข้ามาใกล้ ไฟ LED ในรถก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อีกนอกจากความสวยงาม
แถมคอนโซลหน้าก็จะเต็มไปด้วยหน้าจอ แยกเป็นจอใหญ่ซึ่งให้การมองแผนที่เห็นได้อย่างชัดเจน แถมยังมีกราฟิก 3D สวยงาม แต่ติดอยู่หน่อยตรงที่เสิร์ชหาสถานที่ไม่ค่อยเจอ หรือผมอาจจะพิมพ์ชื่อสถานที่ไม่ถูกอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ
สำหรับขุมพลังที่เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ออกตัวดี ทันใจ แม้จะรถจะใหญ่ไซส์นี้ก็ตาม โดยอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ตามสเปคทำได้ที่ 6.6 วินาที แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นในรุ่นท็อป แต่สำหรับตัว Electric Art ผมลองแล้ว ใช้เวลาแค่ 6.21 วินาทีเท่านั้น ในโหมด Sport
ส่วนระบบกันสะเทือน ต้องบอกว่าเอสยูวีพลังไฟฟ้าคันนี้ ไม่ได้มีช่วงล่างนิ่มอย่างที่หลายคนคาด แต่ฟิลลิ่งมันกลับเป็นแบบสปอร์ตที่ออกแนวตึงตังเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ กับช่วงล่างแบบ Comfort ซึ่งไม่ได้เป็นช็อคอัพแบบถุงลม โดยฟิลลิ่งของช่วงล่างที่เค้าเซ็ตมาสไตล์นี้ ก็เข้าใจได้ว่าหากเซ็ตช่วงล่างมาแบบนิ่ม หากในช่วงความเร็ว น่าจะเอาตัวถังที่หนักเอาเรื่องของ EQE SUV ไม่อยู่ จึงต้องเซ็ตอัพช่วงล่างออกมาในสไตล์นี้นั่นเอง





