ยุคนี้ถ้าพูดถึงรถยนต์อย่างน้อยต้องเครื่องยนต์ไฮบริดกันแล้ว จะมาสันดาปล้วนดูจะเชยไปซักหน่อย และเมื่อผมเอาตัว HONDA CR-V MY2024เจเนอเรชั่นล่าสุด มาขับ แม้จะมีขุมพลัง 2 แบบ เบนซินเทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร VTEC TURBO กับขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว พูดเกริ่นมาขนาดนี้ แน่นอนครับ ผมต้องเอาตัวขุมพลังฟูลไฮบริดมาทดลองขับอย่างแน่นอน
แต่เดี๋ยวก่อน ในส่วนของขุมพลังฟูลไฮบริดนั้น ก็มีตัวเลือกให้ 2 รุ่น รุ่นท็อป RS ขับเคลื่อน 4 ล้อ กับรุ่น ES รองท็อป ที่ต้องบอกว่าถ้าใครไม่ได้สนใจเรื่องของรูปร่างหน้าตาที่ดูสปอร์ตล้ำมากนัก บวกกับไม่ได้เดินทางสมบุกสมบันต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD เอาจริงตัว ES รุ่นรองท็อปขับเคลื่อน 2 ล้อก็เพียงพอแล้ง และสำคัญประหยัดเงินกว่ารุ่น RS ไปถึง 140,000 บาท โดยสนนราคาค่าตัวรุ่น ES อยู่ที่ 1,589,000 บาท
ดีไซน์ภายนอก
เรื่องของรูปร่างหน้าตา โดยรวมถือว่าใหม่หมดทั้งคัน แต่มองยังไงก็ยังมีเค้าโครงของความเป็น CR-V อยู่ แม้จะเน้นความดุดันมากขึ้นจากกระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีดำ Piano Black ขนาดใหญ่ พร้อมโลโก้ตัว H ขอบสีฟ้าเพื่อบ่งบอกความเป็นรถไฮบริด ด้านชุดไฟมาเต็มกับระบบ LED ทั้งไฟฟน้า ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟตัดหมอกคู่หน้า และชุดไฟท้ายก็เป็นแบบ LED
ขยับมาที่หลังคาขาดไม่ได้กับ Panoramic Sunroof แบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-Free Power Tailgate with Walk Away Close) และติดตั้งล้ออัลลอยสีดำเงาดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/60R18
ดีไซน์ภายใน
ภายในห้องโดยสารยังคงความกว้างขวาง โปร่งสบาย พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน การตกแต่งดูยังขัดๆ เขิลๆ หน่อย กับการคุมโทนให้ดูสปอร์ต แต่กลับมีลายไม้สีเข้มเข้ามาตกแต่ง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายถือว่าอยู่ในระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็น ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่, ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ได้รับการติดตั้งในหลายตำแหน่ง อาทิ ถาดคอนโซลกลาง แผงประตูหน้าและหลัง และที่วางแก้ว, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบ Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto, มาตรวัดความเร็วพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT, อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายซึ่งเอาจริงๆ ก็ยังหาค่ายรถที่ทำ Wireless Charger ที่สามารถใช้งานจริงๆ ได้น้อยมาก, ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง, เบาะนั่งด้านหลังเลื่อนและแยกพับแบบ 60:40 และสามารถปรับพับลงแนวราบได้เรียบ
ขุมพลัง
HONDA CR-V e:HEV ES พื้นฐานเป็นขุมพลังฟูลไฮบริด จะผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์เบนซินใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 148 แรงม้า ที่ 6,100 รอบต่อาที่ แรงบิด 183 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองทันใจด้วยมอเตอร์ 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที ซึ่งเมื่อทำงานรวมกันจะให้แรงม้าสูงสุดถึง 207 แรงม้า โดยเคลมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 20.8 กม./ลิตร (แต่เมื่อลองใช้งานจริง จะได้เท่าไหร่ เดี๋ยวไปลองกัน) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 113 กรัม/กิโลเมตร โดยรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง
ด้านระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ โดยมีให้เลือก 3 โหมด โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) พร้อมสวิตซ์โหมดการขับขี่ ที่มีให้ทั้ง Sport Mode, Normal Mode และ Econ Mode
ระบบควบคุม
ด้านระบบการควบคุมของ HONDA CR-V e:HEV ES ใช้ระบบพวงมาลัยแบบดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (DP-EPS) โดยมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.5 เมตร ขณะที่ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบความปลอดภัย
ปิดท้ายที่ระบบความปลอดภัย HONDA CR-V เจเนอเรชั่นล่าสุด มากับระบบเบรกแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ โดยด้านหน้ามีช่องระบายความร้อน และยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (RDM with LDW), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB), ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (LCDN)
นอกจากนี้ยังมีระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (MVCS) พร้อมเซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC), ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (ACL), ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน, ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ และระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย
บทสรุปหลังทดลองขับ
ก่อนอื่นขออธิบายหลักการทำงานเบื้องต้นของระบบฟูลไฮบริดใน HONDA CR-V e:HEV ES กันซักหน่อย เริ่มต้นกันที่เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ หากแบตเตอรี่มีปริมาณมากพอ เครื่องยนต์จะยังไม่ทำงาน โดยจะปล่อยหน้าที่ให้แบตเตอรี่ไฟฟ้ารับหน้าที่ทำงานก่อน รวมถึงระบบแอร์ก็จะทำงานโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่หากไฟในแบตเตอรี่ไม่พอ คราวนี้ล่ะเครื่องยนต์จะรับบทบาททำงานขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
การขับขี่ หากเป็นการออกตัวแบบช้าๆ มอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่ด้วยนะครับ ซึ่งเมื่อเริ่มใช้ความเร็ว เครื่องยนต์จะเข้ามาทำงาน และมีการชาร์จไฟกลับในขณะถอนคันเร่ง และเหยียบเบรค และในช่วงเร่งแซงเครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเค้นสมรรถนะออกมาเต็มกำลัง
มาถึงเรื่องฟิลลิ่งการขับขี่กันบ้าง โดยรวมชอบเรื่องของขุมพลัง ที่ให้การตัดต่อกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ได้แบบเนียนมากๆ ซึ่งถ้าไม่ดูที่หน้าจอ และไม่ได้ฟังเสียงเครื่องยนต์ บอกได้เลยว่าไม่รู้ว่านี่เป็นการทำงานของอะไร ส่วนเรื่องของความแรงอาจจะไม่ได้เป็นสไตล์แรงปรู๊ดปร๊าดอะไรมากนัก ตัวเลข 207 แรงม้า เป็นอัตราเร่งที่มาในแบบนุ่มนวล ค่อยๆ ขึ้นแบบละมุนๆ การควบคุมด้วยพวงมาลัยที่เป็นแบบดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ต้องบอกว่าให้ความแม่นยำดี แต่ในส่วนของระบบช่วงล่างโดยส่วนตัวยังไม่ค่อยประทับใจซักเท่าไหร่ แม้การเกาะถนนจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่การซับแรงสั่นสะเทือนยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ขึ้นเนิน ตกหลุม นั่งแล้วยังไม่ค่อยนุ่มนวล มีอารมณ์ตึงตังไปหน่อย
ปิดท้ายที่เรื่องอัตราการประหยัดน้ำมัน เท่าที่ได้ลองวิ่งทั้งในเมืองและนอกเมือง ทำได้อยู่ที่ประมาณ 15 – 16 กม./ลิตร ซึ่งก็ต่างจากตัวเลขที่ทางโรงงานเคลมไว้อยู่ไม่มาก ถ้าจะถามว่าประหยัดน้ำมันมากไหม ผมจะตอบว่าไม่มาก เพราะเดี๋ยวนี้รถไฮบริด วิ่งกันทะลุ 20 กม./ลิตร กันไปแล้ว แต่นั่นเป็นพวกครอสโอเวอร์ ไซส์ไม่ใหญ่เท่านี้ แต่หากเป็นเอสยูวีไซส์นี้ ก็ต้องถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ซึ่งใครที่เคยแหยงกับอัตราการบริโภคน้ำมันของ CR-V ในเจนฯ แรก บอกได้เลยว่า มาถึงตัวนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว
ส่วนราคาค่าตัว HONDA CR-V เจเนอเรชั่นที่ 6 ที่เป็นขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV มีให้เลือก 2 รุ่น e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,729,000 บาท กับ e:HEV ES 5 ที่นั่ง ราคา 1,589,000 บาท ก็อย่างที่บอกหากไม่เน้นเรื่องรูปร่างหน้าตากับสไตล์ RS หรือระบบขับเคลื่อนที่เป็นแบบ AWD ไว้ตะลุยเส้นทาง ผมว่า HONDA CR-V e:HEV ES ก็เพียงพอแล้ว ประหยัดเงินในกระเป๋าไปตั้ง 1.4 แสนบาท ไว้เติมน้ำมันสบายๆ