เมื่อพูดถึงรถยนต์อเนกประสงค์ในกลุ่ม C-SUV ฮอนด้า เอชอาร์-วี (Honda CR-V) ถือเป็นเอสยูวีขวัญใจคนไทย โดยเปิดตัวรุ่นแรกเมื่อปี 1996 และปัจจุบันทำตลาดมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 6 ซึ่งก่อนหน้านี้ CR-V เรื่องยอดขายถือว่ามาแบบแบเบอร์ ลอยลำ ขายแบบชิวๆ ยังไงก็กวาดแชมป์ในเซกเมนต์นี้ได้อย่างสบายๆ ไม่เคยมีคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นรถสัญชาติเดียวกันอย่าง นิสสัน ที่ก็ไม่ทำตลาดตัว X-Trail ไปแล้ว หรือมาสด้า ที่ตัว CX-5 ก็ยังขายรูปโฉมเดิมๆ เครื่องยนต์เดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ให้น่าสนใจ
ซึ่งในปัจจุบันตำแหน่งแชมป์ของเซกเมนต์นี้ ต้องบอกว่ามันเริ่มจะไม่ชิวซะแล้ว เมื่อแบรนด์จีนเข้ามาบุกตลาดเมืองไทย ขนทัพ C-SUV เข้ามาทำตลาดกันเพียบ หลากหลายแบรนด์ ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มาพร้อมกันดีไซน์ที่โดดเด่น และเทคโนโลยีที่จับยัดมาแบบไม่ยั้ง เล่นเอา C-SUV สัญชาติญี่ปุ่นที่ไม่มีอะไรใหม่เป๋ไปเหมือนกัน แต่สำหรับ Honda CR-V นั้นยังมีดีพอที่จะต่อกรสู้กับทัพรถจีน แม้จะมีสลับตำแหน่งแชมป์กันบ้างในบางเดือน แต่เดือนไหนพลาดพลั้ง อีกเดือนก็กลับมายึดตำแหน่งแชมป์คืน ซึ่งถ้าให้มองถึงเหตุผลหลักๆ แล้ว ก็คงเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นในตัวรถ รวมถึงชื่อชั้นแบรนด์ฮอนด้าที่ยังเชื่อถือได้ นอกจากนี้แล้วนั้น ยังรวมไปถึงฟิลลิ่งการขับ มาตรฐานการผลิตที่ไว้ใจได้ และทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง
อย่าง Honda CR-V เจนฯ นี้ ก็มีทั้งเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV เบนซิน 2.0 ลิตร Hybrid i-MMD และเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร VTEC เทอร์โบ อีกทั้งยังถูกอัพเกรดให้แจ่มขึ้นในหลายๆ ด้าน เพื่อต่อสู้กับ C-SUV ฝั่งจีนที่กำลังมาแรง โดย Honda CR-V ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 6 มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ดังนี้
- 1.5 Turbo E 5 ที่นั่ง ราคา 1,419,000 บาท
- 1.5 Turbo ES 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,599,000 บาท
- 1.5 Turbo EL 4WD 7 ที่นั่ง ราคา 1,649,000 บาท
- e:HEV ES 5 ที่นั่ง ราคา 1,589,000 บาท
- e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,729,000 บาท
สำหรับ Honda CR-V ใหม่ เจนฯ 6 ถูกอัพไซส์ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยมีมิติตัวถังยาว 4,691 มิลลิเมตร กว้าง 1,866 มิลลิเมตร สูง 1,681-1,691 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร Ground Clearance 198-208 มิลลิเมตร ในขณะที่น้ำหนักตัวอยู่ที่ 1,606- 1,815 กิโลกรัม ดีไซน์ภายนอกถ้าเทียบกับตัวก่อน ต้องถือว่าสวยงามดูดุดันกว่าเดิมเยอะ ทั้งรูปทรงของชุดไฟหน้า พร้อมไฟเลี้ยว Sequential และที่เด่นสุดเห็นจะเป็นกระจังหน้าสีดำเงา รวมไปถึงกรอบกระจกหน้าต่างด้านข้าง ชุดไฟท้าย หรือแม้กระทั่งปลายท่อไอเสียแบบคู่ ในขณะที่ล้อแมกซ์อัลลอยเป็นลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว ซึ่งอาจจะเล็กกว่าค่ายจีน ที่ส่วนใหญ่จะไปใช้ขอบ 19 นิ้วกันหมดแล้ว แต่ข้อดีคือเวลาเปลี่ยนยางทีก็ไม่ถึงกับกระเป๋าแฟบกันเลยทีเดียว
มาที่ภายในห้องโดยสารกับระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ มีให้ไม่ว่าจะเป็นระบบกุญแจรีโมท Honda Smart Key System ที่เมื่อถือกุญแจเดินเข้าใกล้ รถจะเปิดล็อคประตูให้เลยทันที แต่หากต้องการล็อกประตู ทำได้หลายวิธี ทั้งใช้การสัมผัสที่มือจับประตู หรือจะเดินออกห่างจากตัวรถระบบก็ล็อคประตูให้ ซึ่งเค้าเรียกระบบนี้ว่า Walk Away Auto Lock และที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ Remote Engine Start ที่สามารถสตาร์ทรถได้จากรีโมทรถ เพื่อสั่งสตาร์ทและเปิดเครื่องปรับอากาศ เหมาะจริงๆ กับสภาพอากาศเมืองไทย
นอกจากนี้ ในทุกรุ่นยกเว้น 1.5 Turbo E ยังมาพร้อมระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT สามารถตรวจสอบสถานะตัวรถ ติดตามตัวรถ และสั่งล็อก – ปลกล็อก และสตาร์ทเครื่องยนต์ผ่านแอปพลิเคชั่นได้จากทั่วทุกมุมโลกที่มีอินเตอร์เน็ต ด้านเบาะนั่งดีไซน์ก็เป็นแบบนั่งสบายไม่ได้มาสไตล์สปงสปอร์ตอะไร ฝั่งคนขับ เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง มี Lumbar Support พร้อม Memory 2 ตำแหน่ง ส่วนเบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า ก็เป็นปรับไฟฟ้าได้แต่ทำได้แค่ 4 ทิศทางเท่านั้น
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามารถปรับระยะได้ 4 ทิศทาง มี Adaptive Cruise Control พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ Low Speed Following โดยในรุ่น 1.5 Turbo จะมีแป้น Paddle Shifter มาเพิ่มให้อีกต่างหาก รวมไปถึงหน้าจอมาตรวัดจะเป็นอนาล็อกผสมดิจิตอล ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ส่วนด้านขวาเป็นมาตรวัดความเร็วแบบเข็ม ส่วนรุ่นอื่นๆ จะเป็นหน้าจอชุดมาตรวัดแบบสี TFT ขนาด 10 นิ้ว และพิเศษสำหรับรุ่น e:HEV RS จะมีจอแสดงข้อมูลบนกระจกบังลมหน้า Head-up Display มาให้อีกด้วย
ซึ่งนอกจากการแสดงผลความบันเทิงแล้ว หน้าจอนี้ยังแสดงกล้องมองภาพรองทิศทาง ซึ่งติดตั้งมาให้ตั้งแต่รุ่น 1.5 Turbo ES ด้านความบันเทิงทุกรุ่นจะติดตั้งหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และรองรับการเชื่อมต่อ Android Auto / Apple CarPlay แบบไร้สาย ลำโพงให้มาทั้งหมด 8 ตำแหน่ง ในส่วนของระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ มีกรองฝุ่น PM2.5 ระบบฟอกอากาศ Plasma cluster ที่สามารถปล่อยอนุภาคไฟฟ้าที่จะทำลายผนังเซลล์ของเชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรียในอากาศ ทําให้อากาศในห้องโดยสารสะอาดมากยิ่งขึ้น
ขยับลงมาที่คอนโซลกลางบ้าง สะดุดตากับคันเกียร์ที่ดูโบราณไปซักนิดนึงกับด้านเกียร์ค่อนข้างสูง ทำให้รู้สึกเกะกะสายตาไปซักหน่อย แต่ก็ช่วยให้เข้าเกียร์ได้ง่าย เพราะไม่ต้องเอื้อมมือไปไกล แต่ถ้าถามเรื่องดีไซน์อาจไม่ค่อยถูกใจผม ส่วนปุ่มควบคุมอื่นๆ ก็มีมาให้ทั้ง สวิตช์ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Decent Control) เบรกมือไฟฟ้า Auto Brake Hold พ่วงด้วยฟังก์ชั่นปลดเบรกมืออัตโนมัติ Auto Release ซึ่งมีเงื่อนไขการทำงานคือผู้ขับขี่จะต้องต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
ปิดท้ายเรื่องห้องโดยสารกันที่ที่นั่งตอนหลัง เริ่มกันตั้งแต่บานประตูคู่หลัง CR-V ใหม่ สามารถเปิดได้กว้างเกือบ 90 องศาเหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ อันนี้เลิศ เพราะทำให้ขึ้นลงรถได้ง่าย แถมพนักพิงยังปรับระดับการเอนได้อีก ส่วนระยะวางขาก็มีพื้นที่ ทำให้นั่งนานๆ แล้วไม่เมื่อย ขณะที่รุ่น 7 ที่นั่ง เบาะนั่งแถว 3 ก็ยังเหมาะกับเด็กหรือคนตัวเล็ก แต่ดีที่มีช่องแอร์แถว 3 มาให้ และเมื่อพับเรียบแล้ว ก็สามารถช่วยให้เก็บสัมภาระด้านหลังได้มากขึ้น โดยฝาท้ายของ CR-V เป็นแบบช็อคอัพไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเปิดปิด
มาที่เรื่องสมรรถนะกันบ้าง สำหรับขุมพลังของ Honda CR-V เจเนอเรชั่นที่ 6 อย่างที่บอกมีให้เลือก 2 รูปแบบ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo และเบนซิน 2.0 ลิตร Hybrid โดยก่อนหน้านี้เราเทสรุ่นไฮบริดไปแล้ว คราวนี้ขอมาโฟกัสที่รุ่นเบนซิน 1.5 ลิตร Turbo ที่มากับรหัส L15C2 ความจุ 1,498 ซีซี Direct-injection หัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VTEC พ่วง Turbocharger แบบ Single-Scroll ที่ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 1,700 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ Real Time AWD โดยเครื่องยนต์ตัวนี้รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดถึงระดับ Gasohol E85
โดยฟิลลิ่งการขับต้องบอกว่าไม่อืดอาดอะไร แถมยังดูตอบสนองไวกว่าเดิม โดยมีโหมดให้เลือกขับทั้งแบบ ECON และแบบ Normal เกียร์โนมัติ CVT ได้รับการปรับปรุงให้การตอบสนองที่นุ่มนวล และที่สำคัญมีที่เสียงเบาลง ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรุ่น 4WD มีการการกระจายกำลังไปยังล้อคู่หลังมากขึ้น ในยามวิ่งทางตรงหรือถนนแห้งจะเป็นแบบ 60 : 40 แต่เมื่อเข้าโค้งหรือมีอาการลื่นจะปรับการกระจายกำลังเป็น 50 : 50 อัตโนมัติ
ด้านระบบกันสะเทือนเหมือนเดิม ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบอิสระ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลง แต่มีการปรับปรุงซับเฟรมที่มีโครงเป็นแบบ Diecast Aluminum ทำให้เบาลง อีกทั้งยังใช้บูชยางที่มีความแข็งขึ้น ซึ่งองค์ประกอบโดยรวมทำให้ช่วงล่างของ CR-V ดูกระชับ สปอร์ตขึ้นกว่าตัวเดิม แต่ยังไงก็ยังเอียงไปทางนุ่มอยู่ แต่มันเป็นความนุ่มที่หนึบมากยิ่งขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ตัวปีกนกหลังยังเป็นวัสดุอะลูมินัมอัลลอยที่มีน้ำหนักเบา ส่วนระบบเบรก เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ โดยจานหน้ามีคลีบระบายความร้อน
ส่วนฟีเจอร์ความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือ ติดตั้งมาให้ครบกับ Honda Sensing ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงรู้กันแล้วว่ามีอะไรบ้าง ขอข้ามไปพูดถึงเรื่องที่หลายคนเรียกร้องอยากให้มีซะทีกับ Blind Spot แต่ฮอนด้าก็ยืนยันว่ามี Honda Lane
ซึ่งนี่เป็นการที่ได้รีวิวทดลองขับ ส่วนสาเหตุที่มองว่าทำไม Honda CR-V ถึงยังรั้งหัวแถวยอดขายได้ตลอดทั้งๆ ที่มีผู้เล่นหน้าใหม่ จากจีนถาโถมเข้ามามากมายขนาดนี้ จากเหตุผลที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นแล้วว่า ความเชื่อมั่นในตัวรถ ชื่อชั้นของแบรนด์ฮอนด้า มาตรฐานการผลิต และทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง เรียกว่าใครชอบแบบไหนก็เลือกซื้อเลือกช็อปเอาได้เลย และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ Honda CR-V ไม่เคยหลุดขบวนหัวแถวยอดขายของรถ C-SUV ในแต่ละเดือน … ว่ามะครับ??