ก่อนหน้านี้ รถปิกอัพถือเป็นรถยอดนิยมของคนไทยที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ด้วยการใช้งานแบบอเนกประสงค์ ยิ่งในเชิงธุรกิจไม่ว่าจะเป็น พ่อค้าแม่ขาย ชาวนา ชาวสวน หรืองานก่อสร้าง รถปิกอัพสามารถตอบทุกโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว

ที่สำคัญรถปิกอัพ ยังมีความทนทาน ดูแลรักษาง่าย อะไหล่มีให้ช็อปอย่างทั่วถึง ค่าใช้จ่ายก็ไม่แรงแถมราคาขายยังไปต่อได้ง่าย เมื่อเทียบความคุ้มค่ากับราคาค่าตัว ทำให้รถปิกอัพกลายเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนที่บ้านเราค่ายญี่ปุ่นทั้งโตโยต้า และอีซูซุ ยึดครองส่วนแบ่งตลาดในลำดับต้นๆ ต่อเนื่องมานานหลายสิบปี

แต่ด้วยความหอมหวนของตลาดรถปิกอัพซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 60% ของตลาดรถยนต์บ้านเราที่มีวอลลุ่ม 8-9 แสนคันต่อปี ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์จำนวนไม่น้อยต่างจะขอเข้ามาแชร์ตลาด โดยมองว่าหากสามารถเบียดแชร์มาได้เพียง 1-2% ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

แต่ส่วนใหญ่มักจะลืมความยากของตลาดปิกอัพ โดยเฉพาะความแข็งแกร่งของแบรนด์ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ยงคงกระพันมายาวนาน ทำให้หลายแบรนด์ที่เผลอตัวเข้าตลาดปิกอัพต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน แม้จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น แบรนด์เชฟโรเลต ที่หายไปจากตลาดบ้านเราหลังเข้ามาทำตลาดได้ไม่นาน

ล่าสุดเมื่อรถยนต์จีนมีความจำเป็นต้องแผ่อิทธิพลมาโซนอาเซียน ประกอบกับรัฐบาลไทยอ้าแขนรับ ทำให้รถยนต์จีนหลายหลายแบรนด์ทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยประกาศตัวพร้อมบุกตลาดปิกอัพไม่ว่าจะเป็น Great Wall Motor, Gilly รวมถึง BYD

โดยเฉพาะ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ปืนไวกว่าคนอื่นส่ง GWM Poer Sahar HEV รถกระบะไฮบริดรุ่นแรกในตลาดประเทศไทย อาศัยความเชี่ยวชาญ มีประวัติอันยาวนาน กับการครองตำแหน่งผู้นำตลาดในประเทศจีนมากถึง 26 ปี (ปี 2541-2566) มีส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบันเกือบ 50 % และมียอดขายสะสมมากถึง 2.54 ล้านคันทั่วโลก

โดยยืนยันว่ารถกระบะ Poer จะไม่ใช่พาหนะสำหรับการใช้งานเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะเป็นรถเพื่อการพักผ่อน และท่องเที่ยวในคันเดียวกัน สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถือเป็น “โอกาส” และ “จุดสร้างความแตกต่าง” ที่ทำให้เราโดดเด่น และแตกต่างจากรถกระบะอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดในปัจจุบัน

GWM POER SAHAR HEV มาพร้อมคำจำกัดความ “The First-Class Intelligent Pickup” ใช้เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ระบบอัดอากาศ VGT Turbocharged ให้พละกำลัง 244 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ผสานขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 106 แรงม้า แรงบิด 268 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9HAT) ให้พละกำลังรวม 350 แรงม้า แรงบิด 616 นิวตัน-เมตร

ภายในเน้นความกว้างขวาง สะดวกสบายในทุกๆ ที่นั่ง ออปชั่นเพียบ ตั้งแต่ลำโพง Infinity 10 ตำแหน่ง คุณภาพเสียงระดับสูงใสกิ๊ก หน้าจอมัลติมีเดีย 12.3 นิ้ว มีระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay, Android Auto, Bluetooth, MP5, online music, online radio, มาพร้อมระบบนำทาง และระบบกรองอากาศ N95

ด้านเบาะนั่งเป็นหนังแท้ปรับไฟฟ้าได้สูงถึง 8 ทิศทาง พร้อมดันหลังไฟฟ้าที่ปรับได้ถึง 4 ทิศทาง และระบบเป่าลมเบาะ โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับเอนได้ถึง 33 องศา ให้ความรู้สึกเสมือนการเดินทางในที่นั่งระดับเฟิร์สคลาส โดยตั้งราคาขาย 1.189 ล้านบาท ไปจนถึงตัวท็อป 1.389 ล้านบาท

เคาะราคาออกมาแบบนี้ นักการตลาดหลายคนมองงว่า น่าจะขายยาก เพราะน้องใหม่เข้าตลาดถ้าอยากเติบโตจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย ซึ่งมีทั้งด้านการแข่งขัน ความต้องการของตลาด และกลยุทธ์ ตัวโปรดักต์แม้อาจจะได้เปรียบเรื่องความหรูหรา แต่ความคุ้มค่าเพียงพอหรือไม่ และที่สำคัญเข้าใจตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภครถปิกอัพชาวไทยดีแค่ไหน

เท่านั้นยังไม่พอ โจทย์หินที่ต้องเผชิญ คือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ญี่ปุ่นที่อยู่ในตลาด เช่น โตโยต้า และอีซูซุ หนำซ้ำที่น่าเป็นห่วง คือการที่ เกรทวอลล์ เลือกสร้างความแตกต่าง ด้วยการใช้ขุมพลังที่เป็นเครื่องยนต์เบนซินผสมมอเตอร์ไฟฟ้า (ไฮบริด) หากดูจากพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยที่นิยมใช้รถปิกอัพ ส่วนใหญ่ยังเลือกเครื่องยนต์ดีเซล มากกว่าเครื่องยนต์เบนซินด้วยเหตุผลว่าลงตัวกับสภาพการใช้งานจริง และความคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งแรงบิดที่สูงกว่า เหมาะกับงานบรรทุก-ลากจูง ประหยัดน้ำมันกว่า

รถกระบะดีเซลสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 14-17 กม./ลิตร ขณะที่เบนซินอย่างมากก็ราวๆ 10-12 กม./ลิตร เห็นชัดว่า ดีเซลคุ้มกว่าในระยะยาว แถมราคาน้ำมันดีเซลยังถูกกว่าด้วย

ถ้าจะให้วิเคราะห์กันแบบฟันธง วันนี้ปิกอัพ POER SAHAR HEV ราคาทะลุล้านของเกรทวอลล์ ถ้าถามดีลเลอร์น่าจะพูดตรงกันว่า “ยอดขายยังไม่เดินเท่าที่ควร” ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้น

หากจะอ่านเกมของผู้บริหารสำหรับการวางโปรดักต์ตัวนี้ คงเป็นแค่ตัวเลือกที่เอามาสร้างสีสัน หรือลึกๆ อาจจะอยู่ในเงื่อนไขที่บริษัทแม่จีนบังคับให้เกรทวอลล์ประเทศไทยต้องช่วยกันขยายตลาด

ดังนั้นถ้าอยากจะไปต่อไม่ใช่พอเพียงแค่นี้ ผู้บริหารคงต้องปรับแนวรุกอย่างรวดเร็ว อย่างแรก เครื่องยนต์ดีเซลต้องเข้ามาเสริม ซึ่งสูตรนี้เกรทวอลล์เคยทำสำเร็จมาแล้วกับ Tank 300 และ Tank 500 หลังจากยัดเครื่องดีเซลเวอร์ชั่นใหม่เข้าไป ใส่วอร์แรนตีระยะทางวิ่งถึง 1 ล้านกม. สามารถพลิกยอดขายจากเดือนละหลักร้อยได้ไม่ยาก แถมผลิตไม่พอขาย พร้อมกันนี้ก็ปรับราคาขายลงให้สมเหตุสมผลมากขึ้น แค่นี้คงพอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วล่ะครับ
