ถึงวันนี้หลายคนคงยอมรับแล้วนะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีราคาขายรถยนต์ EV ถูกกว่ารถยนต์สันดาป และเชื่อว่าจะถูกลงไปอีกเรื่อยๆ หากดูจากการแข่งขันที่ดุเดือดเลือดพล่านอย่างทุกวันนี้ แต่หลายคนลืมพูดถึงเรื่องของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ที่กลับพุ่งขึ้นสวนทางกัน

สาเหตุและปัญหา มาจากอะไรไปดูกัน … จากการสำรวจพบว่า ประกันภัยรถยนต์ EV ในปัจจุบันมีมากถึง 1.66 แสนคัน คิดเป็นเบี้ยประกันภัย ราวๆ 5,500-6,000 ล้านบาท จากเบี้ยประกันรถยนต์ทั้งระบบเกือบ 3 แสนล้านบาท และยังพบอีกว่ารถยนต์ EV ระยะหลัง มีอัตราการเคลมพุ่งสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเข้าใจได้ว่ามาจากปริมาณรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น แต่ดันมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เพิ่มขึ้นจากเจ้าของรถจงใจเคลมประกัน

ปัญหาที่ตามมาตอนนี้ คือธุรกิจประกันแทบไม่มีกำไร บางรายขาดทุนด้วยซ้ำไป “ค่าสินไหม+ค่าใช้จ่ายรวม” พุ่งทะลุ 100% เรียกได้ว่า ภาพรวมการรับประกันภัยรถยนต์ EV วันนี้ค่อนข้าง เปราะบาง!! ดังนั้นสิ่งที่จะตามมา คือ บริษัทประกันภัยเริ่มส่งสัญญาณ “ปรับขึ้นเบี้ยประกันภัย”

ผู้บริหารบริษัทวิริยะประกันภัย ซึ่งมีพอร์ตรถยนต์ EV เยอะสุด ยอมรับว่าผลการรับประกันรถยนต์ EV ขาดทุน เพราะค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน อาทิ ค่าคอมมิชชั่น ค่าบริการตรวจสอบอุบัติเหตุ ค่าซ่อม ค่าอะไหล่สูงกว่าเบี้ยประกันที่ได้รับ

โดยเฉพาะค่าซ่อมและค่าอะไหล่สูงกว่าการรับประกันรถยนต์สันดาปถึง 50% ในขณะเบี้ยประกันรถยนต์ EV แพงกว่ารถสันดาปแค่ 15% เท่านั้น ดังนั้นปี 2568 นี้จำเป็นต้องปรับขึ้นเบี้ยประกันรถยนต์ EV ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างคำนวณหาอัตราเบี้ยที่เหมาะสม นอกจากนี้จะเพิ่มประกันรถยนต์ EV แบบ 2 พลัสซ่อมห้าง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เอาประกันที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกประเด็นหนึ่ง ที่บริษัทประกันภัยค่อนข้างเป็นห่วงคือ ผลพวงการที่ค่ายรถยนต์ EV ทุบราคารถใหม่แบบน่าตกใจเกรงว่า จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงจากการจงใจเคลมประกันของผู้เอาประกัน แม้สัญญาณยังไม่ชัดเจน แต่ต้องเตือนให้วงการประกันภัยระมัดระวังมากขึ้น เพราะตอนนี้รถEV มือสองขายต่อยาก ไม่ค่อยมีคนซื้อ เพราะฉะนั้นอาจเกิดเหตุการณ์หลายอย่างสำหรับรถที่ใช้งานมาสักระยะ เช่น ตั้งใจเอารถไปจมน้ำ หรือกรณีฝนตกน้ำท่วมจงใจปล่อยแบตเตอรี่แช่นำเพื่อหวังเคลมประกันแบบ Total Loss

เห็นปรากฎการณ์แบบนี้ ใครที่ตั้งใจซื้อรถยนต์ EV มือสอง อาจจะต้องกัดฟันยอมจ่ายเบี้ยประกันที่แพงจนแทบรับไม่ได้
