ประเทศไทยจัดเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่การเติบโตของตลาดรถยนต์ EV เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ EV Eco System หลายๆ อย่างตามไม่ทัน โดยเฉพาะสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station)


ข้อมูลการเติบโตและศักยภาพของตลาดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อสิ้นปี 2567 พบว่าประเทศไทยมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแค่ 3,400 สถานี (หัวจ่ายรวมราว 11,467 หัวชาร์จ) เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งกวาดยอดสะสมมากกว่า 203,000 คัน (ตัวเลขถึง มิย. 2568) แสดงให้เห็นว่าตลาดยังมี “ช่องว่าง” และสามารถเติบโตได้อีกมาก
นิติพัศวร์ พนิชย์สกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดนาโวลต์ เทค (ประเทศไทย) จำกัด (DYNAVOLT) ให้สัมภาษณ์ทีมงาน CARZANOVA ว่า “ทิศทางการเติบโตของธุรกิจสถานีชาร์จอยู่ในช่วงที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกหลายเท่าตัว ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราส่วนสถานีชาร์จแบบเร็ว (DC Fast Charge) ต่อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 1:9 ตัวเลขนี้ถือว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน เรากำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายอัตราส่วน 1:5 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น นอร์เวย์และสวีเดนทำได้ ดังนั้นตลาดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรา ยังสามารถ เติบโตได้อีกหลายเท่าตัว


โดยปัจจุบันสถานีชาร์จรถยนต์ EV มีผู้เล่นจำนวนมาก แต่ DYNAVOLT จัดเป็นโมเดลธุรกิจสถานีชาร์จที่น่าลงทุนมากที่สุด เนื่องจากมีระยะเวลาคืนทุนสั้น และราคาค่าชาร์จสามารถกำหนดได้เอง ยกตัวอย่างเครื่องชาร์จ 240 kWh มีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2 ปี โดยคำนวณจากความสามารถในการชาร์จเพียงวันละ 6 ชั่วโมง

ทิศทางของตลาดสถานีชาร์จของรถยนต์ EV ในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่มาตรฐานด้านเทคโนโลยี การสนับสนุนจากภาครัฐ และการจัดการต้นทุน ซึ่งของ DYNAVOLT ร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) มี PEA Platform ดังนั้นผู้ลงทุนจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( PEA) ซึ่งจะได้รับค่าไฟฟ้าในอัตราพิเศษทันทีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายไฟ ซึ่งอัตรานี้จะต่ำกว่าราคาปกติประมาณ 50% ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.xx บาทต่อหน่วย
จุดขายเราคือความง่ายในการขออนุญาต รวมถึงการประสานงานต่างๆ รวดเร็วกว่าการดำเนินการด้วยตนเอง นอกจากนี้เรายังมีแหล่งเงินทุนมีการจัดหาสินเชื่อพิเศษที่เป็น Green Loan จากธนาคารชั้นนำ โดยมีกระบวนการอนุมัติที่รวดเร็ว ภายใน 2 อาทิตย์ และมีจุดเด่นคือ ไม่ตรวจสอบประวัติเครดิตบูโรด้วย


สำหรับเครื่องชาร์จของเรามีขนาด 240 kWh เน้นตลาดภาคขนส่งขนาดใหญ่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของภาคขนส่งและรถบรรทุกโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถรองรับ DC Charge ได้สูงถึง 200 kWh ล่าสุดเพิ่งเปิดสถานีชาร์จใหม่ DYNAVOLT EV Station HUB นครปฐม (ฝั่งขาเข้ากรุงเทพ) ชาร์จเร็ว แรง ด้วยเครื่องชาร์จกำลังสูงสุด 240 kW จำนวน 4 เครื่อง หัวชาร์จ DC CCS2 จำนวน 8 หัวจ่าย
จริงๆ แล้วตัวเครื่องชาร์จ ที่เป็นฮาร์ดแวร์มีมาตรฐานใกล้เคียงกันหมด ที่แตกต่างและการทำงานที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการ Software กับ Platform ซึ่งของเราจะได้เปรียบเจ้าอื่นมาก นอกจากนี้ยังเป็นระบบ Wallet ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของ PEA ซึ่งเป็นระบบที่เหนือกว่าระบบออโตชาร์จอื่นๆ ในแง่ของความปลอดภัย การเก็บเงินสำหรับผู้ประกอบการ และต้องผ่านการตรวจสอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง
สำหรับนักลงทุนที่ห่วงความเสี่ยงหรือการถูกดีสรัปต์ในอนาคต มั่นใจว่าธุรกิจสถานีชาร์จจะดำเนินต่อไปได้ ยกเว้นความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหยุดนิ่งหรือไม่เป็นไปตามทิศทางในปัจจุบัน รวมถึงหากมีพลังงานรูปแบบอื่น เช่น ไฮโดรเจน เข้ามาแทนที่พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด อีกอย่างที่หลายคนกังวล อย่างเทรนด์การสวอปแบตเตอรี่ (Battery Swapping) กำลังมาอาจจะกระทบต่อสถานีชาร์จ แต่เรามั่นใจระบบนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เนื่องจากยังขาดมาตรฐานขนาดแบตเตอรี่ และผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายไม่ยอมรับมาตรฐานของคู่แข่ง ถ้าจะเกิดน่ากับรถบรรทุกมากกว่า
นอกจากนี้เรายังมีโปรเจ็กต์ใหม่ที่น่าลงทุนเป็นโมเดลขนาดเล็ก เครื่องชาร์จ DC 30 kWh โมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อย หรือพนักงานประจำที่มีเงินเดือนประมาณ 30,000 บาทขึ้นไปสามารถเป็นเจ้าของสถานีชาร์จได้เพื่อสร้างรายได้เสริม
โดยเครื่องชาร์จ DC ขนาด 30 กิโลวัตต์ ของเรานั้นสามารถรองรับรถยนต์ EV ทุกคันที่สามารถรับกระแสได้เต็ม 30 กิโลวัตต์ กลุ่มเป้าหมายมุ่งไปที่ร้านคาเฟ่ ร้านอาหาร คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ สำหรับการลงทุนเบื้องต้นราวๆ 2 แสนกว่าบาท แบ่งเป็นค่าเครื่อง 150,000 บาท และค่าติดตั้ง 66,000 บาท โดยรวมค่าใช้จ่ายสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 250,000 บาท กำไรสุทธิประมาณ 21,600 บาท ต่อเดือน คำนวณจากความสามารถในการชาร์จวันละ 6 ชั่วโมง และกำไร 4 บาท/หน่วย ระยะเวลาคืนทุน เพียง 11 เดือนครึ่งเท่านั้น
จุดเด่นของโปรเจ็กต์นี้ เข้าถึงง่ายสามารถรูดบัตรเครดิตได้หากวงเงินเพียงพอ และไม่ต้องติดตั้งหม้อแปลงใหม่ หากติดตั้งเพียง 1-2 เครื่อง ต้องแยกมิเตอร์เพื่อขอค่าไฟแบบ Low Priority Rate ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก เริ่มจากดูทำเลและกลุ่มเป้าหมาย สถานที่เหมาะสมแนะนำสำหรับธุรกิจที่ลูกค้าใช้เวลานั่งรอพักผ่อน เช่น คาเฟ่ ร้านอาหาร คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ หรือสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากเครื่องนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ควรมีพื้นที่จอดรถสำหรับชาร์จอย่างน้อย 2 ช่องจอด หากติดตั้งเพียง 1-2 เครื่อง โดยทั่วไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการลงทุนได้มาก แต่ต้องแยกมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อใช้สำหรับตู้ชาร์จโดยเฉพาะ มิฉะนั้นจะไม่สามารถขอค่าไฟราคาพิเศษได้
นักลงทุนที่สนใจ สามารถติดต่อโดยตรงที่ DYNAVOLT ส่งโลเคชั่นแชร์ตำแหน่งที่ตั้งให้ผู้ขายประเมินเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นเราจะลงไปสำรวจพื้นที่จริง ตรวจเช็กโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น รวมถึงขนาดสายไฟและตู้เบรกเกอร์ว่าเหมาะสมกับการติดตั้งหรือไม่ ถ้าไม่มีเงินลงทุนทางบริษัทจะจัดหาแหล่งเงินทุน จากธนาคารชั้นนำให้ ซึ่งเรามีเครือข่ายทั้ง กสิกร, ออมสิน, ธนชาติ จุดเด่นสินเชื่อเหล่านี้จะใช้เวลาอนุมัติเร็ว ราวๆ 2 อาทิตย์ หรือเร็วสุด 3 วัน และไม่ตรวจสอบประวัติเครดิตบูโรด้วย

ขั้นตอนต่อไป วางมัดจำ และออกแบบ เมื่อตกลงราคาและขนาดเครื่องได้แล้ว จะมีการวางมัดจำ โดยปกติ 50% ของต้นทุน เราก็ดำเนินการออกแบบระบบทั้งหมดและจัดการเรื่องการขออนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐให้ทั้งหมด หลังจากนั้นจะติดตั้งและขอสิทธิ์ค่าไฟราคาพิเศษ ในระหว่างที่รอการอนุมัติ ทางผู้ขายจะสั่งผลิตหม้อแปลง และดำเนินการติดตั้ง เครื่อง 30 kWh ซึ่งมีสต็อกอยู่พอสมควร สั่งทำตู้ชาร์จและสายไฟ อาจใช้เวลาประมาณ 1 เดือนถึง 45 วัน

พอติดตั้งเครื่องเสร็จสิ้น จะประสานงานกับการไฟฟ้าเพื่อเข้ามารับรองระบบ ลูกค้าจะได้รับค่าไฟฟ้าพิเศษทันทีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายไฟ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อหน่วย หลังจากนั้นชำระค่าใช้จ่ายที่เหลือ 40% เมื่อติดตั้งเสร็จและอีก 10% เมื่อระบบขายไฟเรียบร้อย จัดเป็นอีกโปรเจ็กที่น่าสนใจมาก ยิ่งถ้าไม่เสียค่าเช่าที่จะเบาตัวมากเลย มีกำไรต่อเดือน 2 หมื่นกว่าบาท และที่สำคัญลงทุนแค่ 2 แสนกว่าบาท สามารถคืนทุนได้ภายใน 11 เดือนเท่านั้นเอง” คุณนิติพัศวร์ กล่าวปิดท้าย













