แนวทางการส่งเสริม และต่อยอดให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ หลายหลายประเภท ทั้งไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และ EV เพื่อสร้างมาตรฐาน และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะช่วงการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทสันดาปภายในไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ทำให้รัฐบาลพยายามปรับปรุงหลักเกณฑ์ ปรับปรุงพิกัดโครงสร้างภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ตอบสนองต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากเครื่องยนต์เพียวๆ มาสู่การเสริมทัพด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าครั้งนี้จะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ของประเทศลดมหาศาล เม็ดเงินจากภาษีสรรพสามิตรถยนต์ปีละแสนล้านหายไปเกือบครึ่ง แต่รัฐบาลกล้าที่จะพูดว่าเป็น “ความท้าทาย” เพื่อแลกกับความยั่งยืนใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมรวมถึงธรรมาภิบาล
ทีนี้มาดูว่า อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ที่จะเริ่มใช้ปี 2569 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
เริ่มจาก 1. รถยนต์สันดาปภายใน (ICE) เสียภาษี 13-37% แล้วแต่ปริมาณการปล่อย CO2 ในระดับใด จากเดิมเสีย 25-40% ส่วนรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,000 ซี.ซี.จะเสียภาษีในอัตรา 40% จากเดิมที่เสีย 50%
2. รถยนต์ประเภท Hybrid เสียภาษี 6-24% แล้วแต่ปริมาณการปล่อย CO2 ในระดับใด จากเดิมเสีย 4-13% ส่วนรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,000 ซี.ซี. จะเสียภาษีในอัตรา 40% ซึ่งยังคงเป็นอัตราเดิม
3. รถประเภท Plug-in Hybrid พิจารณาจากระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า มากกว่า 80 กม. ต่อการประจุไฟฟ้า 1 คร้ัง เสีย 5% วิ่งได้น้อยกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 คร้ัง เสีย 10% ส่วนขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,000 ซี.ซี. จะเสียภาษีในอัตรา 30%
4. รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ยังใช้อัตราภาษีสรรพสามิตที่ 2% ซึ่งจริงๆ จะต้องไปอยู่ที่อัตรา 10% แต่รัฐบาลยังซัพพอร์ตต่อไปอีก
5. รถเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ปรับลดลงจากเดิม 5% ลงมาเหลือ 1%

ทีมงาน Carzanova พาไปดูว่า หากซื้อรถหลังปี 2568 หลังภาษีใหม่มีผลบังคับใช้รถกลุ่มไหนแพงขึ้น และรถกลุ่มไหนถูกลง
เริ่มจากรถกลุ่มซูเปอร์คาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถนำเข้า ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด ทั้งเรื่องการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และการติดตั้งระบบความปลอดภัย รวมถึงส่วนใหญ่มีเครื่องยนต์เกิน 3,000 ซี.ซี. ไม่ว่าจะเป็น ปอร์เช่,ลัมโบร์กินี, เฟอร์รารี่, เอสตัน มาร์ติน หรือแมคราเลน ถ้ายังเป็นเครื่องยนต์ล้วนๆ ภาษีจะขยับขึ้นจาก 40% เป็น 50% ราคาแพงขึ้นแน่นอน


แต่ถ้าขยับมาเป็นไฮบริด หามอเตอร์ไฟฟ้ามาใส่จะยังเสียเท่าเดิม ทางที่ดีต้องเลือกนำเข้าที่เป็นกลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริด ถูกลงแน่นอน เพราะมีเกณฑ์พิจารณาจากระยะทางการวิ่ง กรณีวิ่งด้วยไฟฟ้าได้มากกว่า 80 กม. เสียแค่ 10% แต่ถ้าน้อยกว่า 80 กม. ก็ต้องยอมเสีย 15% ซึ่งราคาจะถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ อินช์เคป ประเทศไทย ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ระบุชัดเจนว่า ตั้งแต่ในวันที่ 1 ม.ค. 2569 ประเทศไทยได้บังคับใช้ภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่จัดเก็บภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดตามขนาดและประเภทของเครื่องยนต์และการปล่อยค่าไอเสีย (CO2) ส่งผลให้รถยนต์แลนด์โรเวอร์ต้องปรับขึ้นราคาขายตามโครงสร้างภาษีใหม่ โดยเพิ่มจากราคาปัจจุบันอย่างน้อย 10% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่าล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากรถยนต์แลนด์โรเวอร์ที่จำหน่ายในปัจจุบันนั้นกว่า 95% เป็นรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซี.ซี. ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีครั้งนี้ จากปัจจุบันถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 8% จะปรับเพิ่มเป็น 15%


โดยราคาจำหน่ายรถยนต์แลนด์โรเวอร์ DEFENDER ราคาปัจจุบัน 6.299 ล้านบาท คาดการณ์ใหม่ 6.999 ล้าน บาท, RANGE ROVER VELAR ราคาปัจจุบัน 4,999 ล้านบาท คาดการณ์ใหม่ 5.499 ล้านบาท, RANGE ROVER SPORT ราคาปัจจุบัน 7.899 ล้านบาท คาดการณ์ใหม่ 8.499 ล้านบาท, RANGE ROVER ราคาปัจจุบัน 12.499 ล้านบาท คาดการณ์ใหม่ 13.799 ล้านบาท ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อก่อนปรับภาษีใหม่


อีกกลุ่มที่น่าตกใจ คือ กลุ่มอีโคคาร์ ด้วยความที่รัฐบาลอยากให้ค่ายรถเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทสันดาปภายในล้วนๆ ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคตเน้นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้อีโคคาร์ซึ่งเดิมเคยได้รับการส่งเสริมเสียภาษีแค่ 12% ต้องขยับขึ้นมาเป็น 13%
ดังนั้นราคาขายเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน ตัวอย่างเช่น มาสด้า 2 ที่ไม่มีมอเตอร์ไฟฟ้า ราคาหน้าโรงงาน 6 แสนบาท หากต้องเสียเพิ่มอีก 1% ของ 6 แสนบาท ตกราวๆ 6 พันบาท ค่ายรถจีนคงได้เวลาเอามือลูบปาก แต่ระยะหลังรถกลุ่มอีโคคาร์หนีไปใช้ระบบไฮบริดกันหมดแล้ว เช่น โตโยต้า ยาริส, โตโยต้า ยาริส เอทีฟ, ฮอนด้า ซิตี้ ทั้งซีดานและแฮชต์แบ็ก สามารถเสียภาษีเพียง 6% โดยเพิ่มจากเดิมที่เสียแค่ 4% เรียกว่า ถูกลงเยอะมาก แต่อัตรานี้ต้องเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดทุก 2 ปี จนถึงปี 2573
ยังโชคดีที่ในยุคนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน มีความพยายามลบข้อกล่าวหาว่าอุ้มจีนมากกว่าญี่ปุ่น จึงปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตให้อยู่ในระดับคงที่ ตั้งแต่ช่วง 2571-2575 เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก โดยต้องมีการลงทุนจริงเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2567-2570 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทย โดยรถไฮบริดที่จะขอรับสิทธิ์ต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในไทย ตั้งแต่ปี 2569 และใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป
ดังนั้นกลุ่มรถอีโคคาร์ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าหรือไฮบริดที่ซื้อในปี 2569 มีราคาถูกลงแน่ (จากหมวดอีโคคาร์ 12% มาเป็นหมวดไฮบริด 6%) ยกเว้นรถไฮบริดที่ทำคลอดก่อนปี 2569 เคยเสียภาษี 4%หรือ 8% ตามปริมาณ CO2 แต่ต้องขยับมาเป็น 6% หรือ 9% ตามปริมาณ CO2 ต้องปรับราคาขึ้นแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัลติส คัมรี่ ซีวิค และแอคคอร์ด


ถัดมากลุ่มปิกอัพ และปิกอัพดัดแปลง (PPV) กลุ่มนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก อัตรายังเท่าของเดิม ยกเว้นถ้าค่ายรถผลิตรถที่สามารถใช้เชื้อเพลิง B20 ก็จะได้แต้มต่ออีกนิดหน่อย แต่ถ้าเครื่องยนต์เกิน 3,200 ซีซี จะเสียภาษีเพิ่มอีก 10% (จาก 40% เป็น50%)

ขณะที่กลุ่ม PPV ไม่ว่าจะเป็น ฟอร์จูนเนอร์ , มิว-เอ็กซ์ รวมถึงปาเจโรสปอร์ต อาจจะต้องวางแผนกันดีๆ สักหน่อยเพราะถ้าค่ายรถเลือกนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาเสริมจะเสียแค่ 5% ยิ่งถ้าเป็นไฟฟ้าล้วนจะเสียแค่ 2% เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์เกิน 3,200 ซีซี จะเสียภาษีเพิ่มอีก 10% (จาก 40%เป็น50%) เช่นเดียวกัน เห็นราคารถแต่ละกลุ่มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างภาษีใหม่ครั้งนี้ งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2025 ที่กำลังจะเดินทางมาถึงช่วงปลายปีนี้ คงเป็นช่วงเวลาระบายสต็อก “ลอตใหญ่” ของค่ายรถอีกวาระหนึ่งก็เป็นได้













