มาถึงรถยนต์คันที่ 3 ที่เรานำเข้ามาในซีรีส์โมเดลเดียวขายเกิน 10 ปี ที่ต้องบอกเลยว่า คันนี้มันเป็นตำนาน เป็นที่ปรารถณา เป็นฮีโร่ เอาว่าเป็นทุกอย่างเลยแล้วกันครับ และที่สำคัญระยะเวลาที่มันอยู่ในตลาดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของการผลิต ปาเข้าไป 18 ปี! โอ้วโห!!! 18 ปี กันเลยทีเดียว รถโมเดลเดียวขายเข้าไปได้ไงตั้ง 18 ปี แถมยังเป็นที่ต้องการของตลาด
นอกจากที่มันจะเป็นดาราดังตัวสำคัญในวงการรถสมรรถนะสูงแล้ว มันเป็นรถที่มีเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่ก่อนคันแรกจะออกมาขายเสียอีก เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ผมจะไล่เลียงไปตามปีย้อนหลังไปตั้งแต่โครงการเจ้า GT-R (R35) ได้เริ่มขึ้นที่ห้องประชุม Nissan สำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นจนมาถึงวันสุดท้ายที่ GT-R (R35) คันสุดท้ายก้าวออกจากโรงงานก่อนที่การผลิตจะหยุดลงอย่างถาวร แม้ว่ารูปร่างหน้าตาภายในระยะเวลา 18 ปีแทบจะไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่การอัพเดท (ผมไม่อยากเรียกว่าไมเนอร์เชนจ์เพราะจะดูเป็นรถตลาดเกินไป) แต่ละครั้งบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ยอดขายรวมตั้งแต่คันแรกจนถึงคันสุดท้ายอยู่ที่ 48,000 คันทั่วโลก!
ก่อนอื่นเลย สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่า GT-R ย่อมาจากอะไร มันมาจาก “Gran Turismo – Racing” และสำหรับผู้ที่ชอบรถยนต์โดยเฉพาะในกลุ่มของรถสมรรถนะสูง ก็รู้กันอยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้ GT-R เป็นรุ่นอัพเกรดความแรงในโมเดลหลักอย่าง Skyline ที่มีมาตั้งแต่ปี 1969 ซึ่งก็ใช้รูปแบบ Skyline GT-R นี้มาจนถึง BNR34 หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า R34 แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่า การมาของเจ้ารถคันที่เราคุยกันครั้งนี้มันไม่ธรรมดา
เพราะมันถูกแยกออกมาจาก Skyline ซึ่งอยู่ในแผนการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์แบบใหม่ของ Nissan ณ ตอนนั้นให้ชัดเจนไปเลยว่า Skyline อยู่ในประเภทของรถสไตล์ Touring หรูหราภูมิฐานสมรรถนะสูง แต่ GT-R (R35) อยู่ในประเภทตัวโหดดุดันรุนแรนตั้งแต่เกิด โดยเป้าหมายหลักในการสร้าง GT-R (R35) ก็คือให้มันเป็นรถสปอร์ตที่นั่งแบบ 2+2 (เบาะนั่งคู่หน้า + เบาะนั่งหลังขนาดจิ๋ว) ตำแหน่งเครื่องวางด้านหน้าแต่ค่อนไปกลางตัวรถ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งจะว่าไปมันก็ยังคงคนเซ็ปต์ของ Skyline GT-R รุ่นก่อนๆ เอาไว้นั่นแหละ แต่ที่แน่ๆ โครงการเจ้า GT-R (R35) ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อจะสร้างรถสมรรถนะสูงของค่ายเท่านั้น แต่มันอยู่ใน Revival Plan หรือแผนฟื้นคืนชีพของแบรนด์ Nissan
โดย Carlos Ghosn ประธานใหญ่ที่เพิ่งมาใหม่ ณ เวลานั้น Nissan กำลังอยู่ในภาวะหนี้สินท่วมหัว เอาง่ายๆ คือใกล้จะเจ๊ง คุณ Ghosn แกได้รับมอบหมายมาให้ช่วยกอบกู้สถานการณ์นั้นไว้ ซึ่ง 1 ในโปรเจ็คต์สำคัญก็คือการสร้างรถสมรรถนะสูงให้โลกตะลึง มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะออกมาเป็นคู่แข่งสำคัญของซูเปอร์คาร์ทั้งจากอิตาลีและเยอรมัน แต่มีค่าตัวต่ำกว่ารถเหล่านั้นครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นรถที่ขายดีทั่วโลก และทำให้คนทั่วโลกหันกลับมาสนใน Nissan อีกครั้ง แต่คุโณปการครั้งนั้นกลับไม่ช่วยอะไรเมื่อภายหลังมีดราม่ามากมายเกี่ยวกับเขาและ Nissan จนกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์รวมถึงแผนการหนีที่อย่างกับพล็อตหนังฮอลลิวู้ดซึ่งผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นนะครับ
กลับมาที่เจ้า GT-R กันต่อดีกว่า แผนการสร้างเจ้าคันนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2000 โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นรถสปอร์ตคู่แข่งสำคัญของ Porsche , Lamborghini และ Ferrari แต่อย่างที่บอกไปว่า ต้องทำราคาให้อยู่ในระดับที่เป็นเจ้าของได้ง่ายกว่ารถพวกนั้น และที่สำคัญยังต้องรักษาเอกลักษณ์ของ GT-R ตั้งแต่อดีตไว้ดังที่เราเห็นได้ชัดๆ จากไฟท้ายทรงกลม 4 อัน การออกแบบไม่ได้ทำโดยใครคนใดคนหนึ่งใน Nissan ประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นการรวบรวมนักออกแบบระดับหัวกะทิจาก Nissan ทั่วโลกทั้งญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป


โดยเริ่มแรกมีโครงร่างของรถออกมาบนกระดาษถึง 50 แบบ ซึ่งกว่าจะฟันธงกันออกมาได้ว่าจะเอาอันไหนก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเพราะโจทย์หลักไม่ได้อยู่แค่การเป็นรถสปอร์ตรุ่นใหม่ แต่ต้องยังมีเอกลักษณ์หน้าตาความเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มตัวด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จนในที่สุดรถต้นแบบของ GT-R (R35) คันแรกก็ได้เผยโฉมออกมาให้คนทั่วโลกได้เห็นในงาน Tokyo Motor Show ปี 2001 ซึ่งหลังจากนั้นโปรเจ็คต์นี้ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้ปัญหามากมายโดยเฉพาะเรื่องของแพลทฟอร์มที่จะใช้กับรถรุ่นนี้ มันต้องเป็นแพลทฟอร์มที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยไม่สามารถใช้ของเดิมที่มีอยู่ได้


จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปและดำเนินการต่อตามแผน จนในงาน Tokyo Motor Show ปี 2003 คุณ Ghosn ที่ผมเรียกได้ว่าเป็นพ่อของ GT-R (R35) ได้ยืนยันบนเวทีเลยว่า GT-R (R35) จะพร้อมออกขายในปี 2007 ซึ่งในตอนนั้นรถต้นแบบกำลังถูกปรับปรุงพัฒนาอยู่ที่ Lotus Engineering ทั้งในเรื่องของความแข็งแกร่งโครงสร้างรถ และจุดยึดระบบช่วงล่าง ที่ต้องสามารถรองรับพลังมหาศาลของเครื่องยนต์ได้ ส่วนการทดสอบระบบต่างๆ ก็ไม่ใช่ว่าทำกันแค่ในโรงงาน แต่เอาไปทดลองกันในสนามแข่งระดับโลกอย่าง Sendai Hi-Land Raceway และ Nurburgring

และที่สำคัญหัวหน้าวิศวกรกำหนดไว้เลยว่า เจ้าคันนี้ต้องเป็นรถที่ขับและนั่งสบาย คนขับสามารถพูดคุยกับคนนั่งได้ตามปกติที่ความเร็ว 300 กม./ชม. ตรงนี้สำหรับผมมันเป็นไอเดียที่ “โคตรเจ๋ง” และต้องไม่ลืมเป้าหมายสำคัญคือการเอาชนะซูเปอร์คาร์ฝั่งยุโรปด้วยการทำเวลาต่อรอบที่สนามแข่งสุดโหด Nurburgring ให้ได้เร็วกว่า 8 นาที ซึ่งตอนแรกวางแผนกันไว้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง (Straight-6) แบบเดียวกับ Skyline GT-R รุ่นก่อนๆ
แต่ด้วยประเด็นเรื่องการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์แบบของรถ จึงเปลี่ยนดีไซน์มาใช้เครื่องยนต์ V6 แทน ด้วยตัวเครื่องที่สั้นกว่า ส่งผลให้ตำแหน่งการติดตั้งเครื่องยนต์เข้ามาใกล้กึ่งกลางตัวรถได้มากขึ้น ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวก็เป็นเครื่องที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดใช้รหัส VR38DETT เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 Twin-Turbo ถือเป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาต่อยอดมาจากรหัส VQ นั่นเอง

นอกจากความแรงแล้ว ประสิทธิภาพการเกาะถนนก็สำคัญไม่แพ้กัน ทีมวิศวกรให้ความใส่ใจในเรื่องของแอโรไดนามิคไม่แพ้เรื่องเครื่องยนต์ คือรถมันแรงอย่างเดียวไม่ได้มันก็ต้องเกาะถนนด้วย ดังนั้นการออกแบบรูปทรงตัวถังของรถจึงต้องเน้นให้มีค่าแรงต้านอากาศน้อยที่สุด และที่สำคัญรถต้องไม่เตี้ยจนเกินไป เพราะถ้าระยะห่างจากพื้นรถถึงพื้นถนนน้อยเกินไปก็จะทำให้การขับใช้งานยากลำบากเกินไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเลือกวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบรถคุณภาพสูงแต่ราคาต้องไม่สูงจนเกินไป ไม่งั้นจะส่งผลให้ต้องขายแพง หลุดคอนเซ็ปต์อีก
งานนี้ไม่หมูบอกเลย แต่ในความยากลำบากมันก็มีความสนุกซ่อนอยู่ เพราะในขั้นตอนการพัฒนามันเป็นเหมือนการระดมความคิดและไอเดียจากยอดฝีมือของ Nissan ต่างคนก็ต่างไปคิดแบบร่างแบบกันมา แล้วเอามาประชุมร่วมกันว่าแบบไหนดีที่สุด และเอาไปทดสอบในอุโมงค์ลม โดยทีมงานพัฒนาได้ตั้งเป้าว่ารถคันนี้จะต้องมีค่าแรงต้านอากาศ (Cd) ที่ 0.28 หรือต่ำกว่านั้น รวมถึงต้องมีค่าแรงกด Downforce ทั้งด้านหน้าและด้านหลังในความเร็วสูงมากกว่าทุกๆ คันที่เคยมีมา ซึ่งกว่าจะได้ตัวเลขดังกล่าวก็ใช้เวลาปรับปรุงพัฒนากันอยู่ปีครึ่ง ผ่านการทดสอบในอุโมงค์ลมทั้งหมด 2000 ครั้ง จนสุดท้ายได้ผลออกมาที่ Cd = 0.27 ทะลุเป้า พร้อมแรงกดด้านหน้าและท้ายที่สมบูรณ์แบบ
โดยในระหว่างนั้น Nissan ก็ได้โชว์ความคืบหน้าของโปรเจ็คต์ GT-R (R35) เป็นระยะโดยมีการเผยโฉมให้เห็นพัฒนาการของโปรเจ็คต์ผ่านรถต้นแบบที่จอดโชว์ในงาน Tokyo Motor Show ในปี 2001 และต่อมาในปี 2005 โดยรถต้นแบบสองคันนั้นมีรูปร่างหน้าตาภายนอกที่ต่างกันพอสมควร ส่วนเรื่องการทดสอบวิ่งบนถนนก็ได้ไปกันหลายที่ทั่วโลกในรูปแบบและสภาวะที่ต่างกัน ทั้งในเรื่องของสภาพถนน และสภาพอากาศ เพื่อให้รถสมบูรณ์พร้อมขายทั่วโลก ซึ่งมีคนแอบเห็นและถ่ายรูปการขับทดสอบ GT-R โดยมี Porsche 911 Turbo วิ่งร่วมไปด้วย
ซึ่งในการทดสอบบางสถานที่ คุณ Ghosn มาร่วมขับด้วยอีกต่างหาก จนช่วงสุดท้ายของการทดสอบก่อนผลิตออกขาย ทางทีมทดสอบได้นำเจ้า GT-R R35 คันต้นแบบเวอร์ชั่นสุดท้ายไปวิ่งจับเวลาต่อรอบที่ Nurburgring ทำเวลาได้ 7:38.54 นาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก และเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ต่ำกว่า 8 วินาที (ณ เวลานั้น Porsche 911 Turbo วิ่งอยู่ 7:40 นาที) รวมระยะเวลาทั้งหมดในการพัฒนารถต้นแบบ GT-R (R35) 6 ปี
โดยทาง Nissan ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า GT-R (R35) จะเปิดตัวเวอร์ชั่นพร้อมขายในงาน Tokyo Motor Show ปี 2007 โดยวางแผนการตลาดให้ GT-R ที่จะขายทั่วโลกอยู่ภายใต้แบรนด์ Nissan เท่านั้น โดยก่อนหน้านั้นมีการเดาว่า GT-R ที่จะขายในทวีปอเมริกาเหนืออาจอยู่ภายใต้แบรนด์ Infiniti ซึ่งเป็นการคาดเดาที่ผิด


การเปิดตัว GT-R (R35) เวอร์ชั่นพร้อมขายอย่างเป็นทางการมีขึ้นที่งาน Tokyo Motor Show ปี 2007 อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมภาพวีดีโอการวิ่งทำเวลาต่อรอบที่ Nurburgring Nordschleife ประเทศเยอรมนี บนสภาพพื้นผิวแทร็คที่เปียกกับเวลาที่ทำได้ 7:38.54 นาที เป็นสิ่งที่เรียกเสียงฮือฮากันทั้งฮอลจัดงาน ซึ่งทาง Nissan ยืนยันว่าเวลาดังกล่าวทำด้วยรถเวอร์ชั่นที่จะออกขายสำหรับลูกค้าทั่วโลก โดยให้คอนเซ็ปต์ในการเปิดตัวว่าเป็นรถซูเปอร์คาร์สำหรับทุกคน ไปไหนก็ได้ทุกที่ทุกเวลา จึงไม่แปลกที่ภายในเวลาอันสั้นยอดจองของเจ้า GT-R ปาเข้าไปมากกว่า 3,000 คัน เฉลี่ยเดือนละ 200 คัน

Nissan GT-R (R35) เวอร์ชั่นแรกที่ออกขายภายใต้รหัสรุ่น CBA-R35 มีความน่าสนใจในทุกๆ ด้านของตัวรถ เริ่มจากภายนอกทางผู้ออกแบบบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก “หุ่นยนต์กันดั้ม” โดยเน้นย้ำว่ารูปทรงมีความแตกต่างจากบรรดาซูเปอร์คาร์จากยุโรปโดยสิ้นเชิง โดยเป็นการผสมผสานความคิดจากนักออกแบบของ Nissan ทั้งจากยุโรปและอเมริกา หมายความว่าดีไซน์ภายนอกไม่ได้ออกแบบโดยคนคนเดียว หรือแม้กระทั่งสีภายนอกตัวรถที่เป็นออริจินัลอย่างสีเงิน Super Silver ก็มีขั้นตอนการพ่นที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วๆ ไป ทำให้สีมีความเงาวาวลึก และยังป้องกันการกะเทาะจากเศษหินได้ดีกว่าสีทั่วไปอีกด้วย
รูปทรงตัวถังมีความบึกบึน แต่ให้การลู่ลมที่ดี มีแรงกดสูงเมื่อใช้ความเร็ว โดยที่ตัวถังมีช่องรับลมต่างๆ ในหลายๆ จุดเพื่อการระบายความร้อนเครื่องยนต์และระบบเบรก และถึงแม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรถซูเปอร์คาร์ แต่ภายในห้องโดยสารและบริเวณพื้นที่เก็บของท้ายรถก็กว้างขวาง วัสดุน้ำหนักเบาอย่างอลูมีเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบตัวถังหลายจุดเพื่อน้ำหนักที่เบาและแข็งแกร่ง


ส่วนภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่ขับสบายในทุกๆ สถานการณ์ เลือกใช้วัสดุที่หรูหราทั้งหนังแท้ หรือคอนโซลกลางที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งชิ้น หน้าจอดิจิทัลทันสมัยแสดงข้อมูลอย่างละเอียด แต่ที่เป็นไฮไลท์สำคัญของภายใน GT-R (R35) ก็คือหน้าจอกลางมัลติฟังก์ชั่นที่ได้รับความร่วมมือในการออกแบบสร้างโดย Polyphony ผู้สร้างเกมส์แข่งรถ Gran Turismo ที่โด่งดังไปทั่วโลก มันแสดงผลการทำงานของรถคันนี้ได้สารพัดอย่างเหมือนเอาเกจ์วัดทุกอย่างมารวมไว้ในหน้าจอนี้จอเดียว แล้วยังเลือกได้ด้วยว่าจะให้แสดงค่าอะไรบ้างในหน้าจอหลัก ถ้าให้อธิบายว่ามีฟังก์ชั่นอะไรให้เล่นบ้างคงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ระบบเครื่องเสียงไม่ธรรมดาเพราะลำโพงที่ให้มาคือ Bose®

แน่นอนว่าหัวใจสำคัญของเจ้า GT-R (R35) คือเรื่องสมรรถนะที่ถูกตั้งโจทย์มาให้เป็นรถที่ออกมาปราบซูเปอร์คาร์จากฝั่งยุโรป ดังนั้นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และระบบต่างๆ ต้องเป็นที่สุด หัวใจของ GT-R (R35) เป็นเครื่องยนต์ V ตัวใหม่ของ Nissan รหัส VR38DETT ความจุ 3,799 ซีซี รูปแบบ V โดยตัวเครื่องยนต์มีขนาดสั้นกว่าเครื่อง V ทั่วๆไป มีการนำระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์แบบใหม่มาใช้เป็นทั้งแบบ Wet Sump และ Dry Sump ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นลูกสูบหรือเสื้อสูบผ่านกรรมวิธีการผลิตเพื่อให้ทำงานได้อย่างไหลลื่นที่สุด ติดตั้งเทอร์โบชาร์จสองตัวแบบ Parallel จาก IHI รุ่น RHF55 ที่ทดสอบแล้วว่าเหมาะกับเครื่องตัวนี้ที่สุด
ซึ่งพละกำลังของเครื่องยนต์เทอร์โบตัวนี้ออกมาที่ 473 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 583 นิวตันเมตรที่ 3,200 – 5,200 รอบ/นาที ซึ่ง ณ เวลานั้นถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ติดรถออกมาจากโรงงานที่แรงที่สุดแล้ว เครื่องยนต์แรงอย่างเดียวไม่ได้ ระบบส่งกำลังก็สำคัญไม่แพ้กัน และถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการรถยนต์เลยก็ว่าได้ที่ GT-R (R35) มีการติดตั้งชุดเกียร์ไว้ที่ด้านหลังของรถต่อกับเพลาของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งการติดตั้งชุดเกียร์ไว้ด้านหลังก็เพื่อการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังที่สมบูรณ์ที่สุดนั่นเอง โดยระบบเกียร์เป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ 6 สปีด Dual-Clutch (คลัทช์คู่) ซึ่งทั้งเครื่องและเกียร์ถูกประกอบโดยช่างฝีมือคนเดียวเท่านั้น โดยตำแหน่งนี้ถูกเรียกกันว่า “ทาคูมิ” หมายความว่าสุดยอดช่างฝีมือแต่ละคนจะรับผิดชอบเครื่องยนต์และเกียร์ของรถคันนี้ไปเลยคนเดียว ซึ่งตำแหน่งนี้ในโรงงานมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น

มีหลายคนถามว่าทำไมถึงไม่ใช้ระบบเกียร์แมนวล หรือเกียร์ธรรมดา คำตอบจาก Nissan ก็คือ เกียร์กึ่งอัตโนมัติคลัทช์คู่ตัวนี้มันมีการเปลี่ยนที่รวดเร็วว่องไวกว่า ต่อเนื่องกว่า สามารถขับสบายๆ ได้เหมือนเกียร์อัตโนมัติทั่วไป มันเหมาะกับเทคโนโลยีขั้นสูงของรถคันนี้ที่สุดแล้ว และที่สำคัญยังช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและช่วยให้ค่าการปล่อยไอเสียตรงตามกฎของทุกประเทศทั่วโลกด้วย ซึ่งผมเดาว่า Nissan ตั้งใจพัฒนาระบบเกียร์นี้มาเพื่อสู้กับเกียร์ PDK ของ Porsche นั่นแหละ
ต่อจากเรื่องเกียร์ก็คือระบบขับเคลื่อน โดยใช้เป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel-Drive ภายใต้ชื่อ ATTESA E-TS Pro กระจายแรงม้าจากเครื่องยนต์ที่ส่งผ่านระบบเกียร์ไปยังล้อทั้ง 4 อย่างเหมาะสมในทุกๆ สถานการณ์ โดยตัวเพลากลางผลิตขึ้นจากวัสดุ Carbon-Composite ที่ได้ทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบากว่าโลหะค่อนข้างมาก ระบบช่วงล่างเป็นแบบ Active โดยใช้ชื่อเรียกว่า DampTronic โช้คอัพสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ส่วนกลางประเมินผลขณะขับขี่ ซึ่งผู้ขับก็สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบช่วงล่างตามโหมดได้เองอีกด้วย
ปิดท้ายเรื่องสมรรถนะ (แบบคร่าวๆ) ด้วยระบบเบรกจาก Brembo ด้านหน้า 6-Pot ด้านหลัง 4-Pot เกือบลืมบอกไปว่าเจ้า GT-R (R35) ถือเป็นรถคันแรกๆ ที่มีระบบ Launch Control (ช่วยการออกตัวอย่างรวดเร็วรุนแรงโดยไม่เสียการทรงตัว) ติดตั้งมาให้ด้วย และทั้งหมดนี้ก็คืออุปกรณ์สแตนดาร์ดที่ติดตั้งมาใน GT-R (R35) ที่เปิดตัวสู่ตลาดในปี 2007 นั่นเอง
นี่เป็นเพียงแค่ปฐมบทของตำนานซูเปอร์คาร์จากประเทศญี่ปุ่น และเป็นเรื่องยากที่จะทำให้จบภายในตอนเดียว ยังมีเรื่องราวการปรับปรุงพัฒนาในรุ่นและเวอร์ชั่นต่างๆ ออกมาอีกมากมายในช่วงเวลา 18 ปีก่อนจะถึงคันสุดท้ายที่ก้าวออกจากโรงงานและปิดสายการผลิต จะมีอะไรบ้างนั้น พบกันในภาค 2 ครับ
To be continued…
Photo credit: https://www.netcarshow.com/nissan/2005-gt-r_proto_concept/
https://www.autoevolution.com/news/the-r35-nissan-gtr-humbled-its-haters-and-earned-my-respect-it-should-have-yours-too-218778.html https://www.carbodydesign.com/gallery/2007/11/09-nissan-gt-r/13/













