• Home
  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle
CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์
No Result
View All Result
  • Home
  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle
CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์
No Result
View All Result
CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์
No Result
View All Result

ตำนานรถยนต์โมเดลเดียวขายเกิน 10 ปี EP3: Nissan GT-R (R35)Part 1

Admin by Admin
October 26, 2025
in Review
1
SHARES
6
VIEWS
Share on FacebookShare on Twitter

มาถึงรถยนต์คันที่ 3 ที่เรานำเข้ามาในซีรีส์โมเดลเดียวขายเกิน 10 ปี ที่ต้องบอกเลยว่า คันนี้มันเป็นตำนาน เป็นที่ปรารถณา เป็นฮีโร่ เอาว่าเป็นทุกอย่างเลยแล้วกันครับ และที่สำคัญระยะเวลาที่มันอยู่ในตลาดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของการผลิต ปาเข้าไป 18 ปี! โอ้วโห!!! 18 ปี กันเลยทีเดียว รถโมเดลเดียวขายเข้าไปได้ไงตั้ง 18 ปี แถมยังเป็นที่ต้องการของตลาด

นอกจากที่มันจะเป็นดาราดังตัวสำคัญในวงการรถสมรรถนะสูงแล้ว มันเป็นรถที่มีเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่ก่อนคันแรกจะออกมาขายเสียอีก เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ผมจะไล่เลียงไปตามปีย้อนหลังไปตั้งแต่โครงการเจ้า GT-R (R35) ได้เริ่มขึ้นที่ห้องประชุม Nissan สำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นจนมาถึงวันสุดท้ายที่ GT-R (R35) คันสุดท้ายก้าวออกจากโรงงานก่อนที่การผลิตจะหยุดลงอย่างถาวร แม้ว่ารูปร่างหน้าตาภายในระยะเวลา 18 ปีแทบจะไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่การอัพเดท (ผมไม่อยากเรียกว่าไมเนอร์เชนจ์เพราะจะดูเป็นรถตลาดเกินไป) แต่ละครั้งบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ยอดขายรวมตั้งแต่คันแรกจนถึงคันสุดท้ายอยู่ที่ 48,000 คันทั่วโลก!

ก่อนอื่นเลย สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่า GT-R ย่อมาจากอะไร มันมาจาก “Gran Turismo – Racing” และสำหรับผู้ที่ชอบรถยนต์โดยเฉพาะในกลุ่มของรถสมรรถนะสูง ก็รู้กันอยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้ GT-R เป็นรุ่นอัพเกรดความแรงในโมเดลหลักอย่าง Skyline ที่มีมาตั้งแต่ปี 1969 ซึ่งก็ใช้รูปแบบ Skyline GT-R นี้มาจนถึง BNR34 หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า R34 แต่อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่า การมาของเจ้ารถคันที่เราคุยกันครั้งนี้มันไม่ธรรมดา

เพราะมันถูกแยกออกมาจาก Skyline ซึ่งอยู่ในแผนการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์แบบใหม่ของ Nissan ณ ตอนนั้นให้ชัดเจนไปเลยว่า Skyline อยู่ในประเภทของรถสไตล์ Touring หรูหราภูมิฐานสมรรถนะสูง แต่ GT-R (R35) อยู่ในประเภทตัวโหดดุดันรุนแรนตั้งแต่เกิด โดยเป้าหมายหลักในการสร้าง GT-R (R35) ก็คือให้มันเป็นรถสปอร์ตที่นั่งแบบ 2+2 (เบาะนั่งคู่หน้า + เบาะนั่งหลังขนาดจิ๋ว) ตำแหน่งเครื่องวางด้านหน้าแต่ค่อนไปกลางตัวรถ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งจะว่าไปมันก็ยังคงคนเซ็ปต์ของ Skyline GT-R รุ่นก่อนๆ เอาไว้นั่นแหละ แต่ที่แน่ๆ โครงการเจ้า GT-R (R35) ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อจะสร้างรถสมรรถนะสูงของค่ายเท่านั้น แต่มันอยู่ใน Revival Plan หรือแผนฟื้นคืนชีพของแบรนด์ Nissan

โดย Carlos Ghosn ประธานใหญ่ที่เพิ่งมาใหม่ ณ เวลานั้น Nissan กำลังอยู่ในภาวะหนี้สินท่วมหัว เอาง่ายๆ คือใกล้จะเจ๊ง คุณ Ghosn แกได้รับมอบหมายมาให้ช่วยกอบกู้สถานการณ์นั้นไว้ ซึ่ง 1 ในโปรเจ็คต์สำคัญก็คือการสร้างรถสมรรถนะสูงให้โลกตะลึง มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะออกมาเป็นคู่แข่งสำคัญของซูเปอร์คาร์ทั้งจากอิตาลีและเยอรมัน แต่มีค่าตัวต่ำกว่ารถเหล่านั้นครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นรถที่ขายดีทั่วโลก และทำให้คนทั่วโลกหันกลับมาสนใน Nissan อีกครั้ง แต่คุโณปการครั้งนั้นกลับไม่ช่วยอะไรเมื่อภายหลังมีดราม่ามากมายเกี่ยวกับเขาและ Nissan จนกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์รวมถึงแผนการหนีที่อย่างกับพล็อตหนังฮอลลิวู้ดซึ่งผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นนะครับ

กลับมาที่เจ้า GT-R กันต่อดีกว่า แผนการสร้างเจ้าคันนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2000 โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นรถสปอร์ตคู่แข่งสำคัญของ Porsche , Lamborghini และ Ferrari แต่อย่างที่บอกไปว่า ต้องทำราคาให้อยู่ในระดับที่เป็นเจ้าของได้ง่ายกว่ารถพวกนั้น และที่สำคัญยังต้องรักษาเอกลักษณ์ของ GT-R ตั้งแต่อดีตไว้ดังที่เราเห็นได้ชัดๆ จากไฟท้ายทรงกลม 4 อัน การออกแบบไม่ได้ทำโดยใครคนใดคนหนึ่งใน Nissan ประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นการรวบรวมนักออกแบบระดับหัวกะทิจาก Nissan ทั่วโลกทั้งญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป

โดยเริ่มแรกมีโครงร่างของรถออกมาบนกระดาษถึง 50 แบบ ซึ่งกว่าจะฟันธงกันออกมาได้ว่าจะเอาอันไหนก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเพราะโจทย์หลักไม่ได้อยู่แค่การเป็นรถสปอร์ตรุ่นใหม่ แต่ต้องยังมีเอกลักษณ์หน้าตาความเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มตัวด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จนในที่สุดรถต้นแบบของ GT-R (R35) คันแรกก็ได้เผยโฉมออกมาให้คนทั่วโลกได้เห็นในงาน Tokyo Motor Show ปี 2001 ซึ่งหลังจากนั้นโปรเจ็คต์นี้ก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้ปัญหามากมายโดยเฉพาะเรื่องของแพลทฟอร์มที่จะใช้กับรถรุ่นนี้ มันต้องเป็นแพลทฟอร์มที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยไม่สามารถใช้ของเดิมที่มีอยู่ได้

จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปและดำเนินการต่อตามแผน จนในงาน Tokyo Motor Show ปี 2003 คุณ Ghosn ที่ผมเรียกได้ว่าเป็นพ่อของ GT-R (R35) ได้ยืนยันบนเวทีเลยว่า GT-R (R35) จะพร้อมออกขายในปี 2007 ซึ่งในตอนนั้นรถต้นแบบกำลังถูกปรับปรุงพัฒนาอยู่ที่ Lotus Engineering ทั้งในเรื่องของความแข็งแกร่งโครงสร้างรถ และจุดยึดระบบช่วงล่าง ที่ต้องสามารถรองรับพลังมหาศาลของเครื่องยนต์ได้ ส่วนการทดสอบระบบต่างๆ ก็ไม่ใช่ว่าทำกันแค่ในโรงงาน แต่เอาไปทดลองกันในสนามแข่งระดับโลกอย่าง Sendai Hi-Land Raceway และ Nurburgring

และที่สำคัญหัวหน้าวิศวกรกำหนดไว้เลยว่า เจ้าคันนี้ต้องเป็นรถที่ขับและนั่งสบาย คนขับสามารถพูดคุยกับคนนั่งได้ตามปกติที่ความเร็ว 300 กม./ชม. ตรงนี้สำหรับผมมันเป็นไอเดียที่ “โคตรเจ๋ง” และต้องไม่ลืมเป้าหมายสำคัญคือการเอาชนะซูเปอร์คาร์ฝั่งยุโรปด้วยการทำเวลาต่อรอบที่สนามแข่งสุดโหด Nurburgring ให้ได้เร็วกว่า 8 นาที ซึ่งตอนแรกวางแผนกันไว้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง (Straight-6) แบบเดียวกับ Skyline GT-R รุ่นก่อนๆ

แต่ด้วยประเด็นเรื่องการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์แบบของรถ จึงเปลี่ยนดีไซน์มาใช้เครื่องยนต์ V6 แทน ด้วยตัวเครื่องที่สั้นกว่า ส่งผลให้ตำแหน่งการติดตั้งเครื่องยนต์เข้ามาใกล้กึ่งกลางตัวรถได้มากขึ้น ซึ่งเครื่องยนต์ดังกล่าวก็เป็นเครื่องที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดใช้รหัส VR38DETT เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 Twin-Turbo ถือเป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาต่อยอดมาจากรหัส VQ นั่นเอง

นอกจากความแรงแล้ว ประสิทธิภาพการเกาะถนนก็สำคัญไม่แพ้กัน ทีมวิศวกรให้ความใส่ใจในเรื่องของแอโรไดนามิคไม่แพ้เรื่องเครื่องยนต์ คือรถมันแรงอย่างเดียวไม่ได้มันก็ต้องเกาะถนนด้วย ดังนั้นการออกแบบรูปทรงตัวถังของรถจึงต้องเน้นให้มีค่าแรงต้านอากาศน้อยที่สุด และที่สำคัญรถต้องไม่เตี้ยจนเกินไป เพราะถ้าระยะห่างจากพื้นรถถึงพื้นถนนน้อยเกินไปก็จะทำให้การขับใช้งานยากลำบากเกินไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเลือกวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบรถคุณภาพสูงแต่ราคาต้องไม่สูงจนเกินไป ไม่งั้นจะส่งผลให้ต้องขายแพง หลุดคอนเซ็ปต์อีก

งานนี้ไม่หมูบอกเลย แต่ในความยากลำบากมันก็มีความสนุกซ่อนอยู่ เพราะในขั้นตอนการพัฒนามันเป็นเหมือนการระดมความคิดและไอเดียจากยอดฝีมือของ Nissan ต่างคนก็ต่างไปคิดแบบร่างแบบกันมา แล้วเอามาประชุมร่วมกันว่าแบบไหนดีที่สุด และเอาไปทดสอบในอุโมงค์ลม โดยทีมงานพัฒนาได้ตั้งเป้าว่ารถคันนี้จะต้องมีค่าแรงต้านอากาศ (Cd) ที่ 0.28 หรือต่ำกว่านั้น รวมถึงต้องมีค่าแรงกด Downforce ทั้งด้านหน้าและด้านหลังในความเร็วสูงมากกว่าทุกๆ คันที่เคยมีมา ซึ่งกว่าจะได้ตัวเลขดังกล่าวก็ใช้เวลาปรับปรุงพัฒนากันอยู่ปีครึ่ง ผ่านการทดสอบในอุโมงค์ลมทั้งหมด 2000 ครั้ง จนสุดท้ายได้ผลออกมาที่ Cd = 0.27 ทะลุเป้า พร้อมแรงกดด้านหน้าและท้ายที่สมบูรณ์แบบ

โดยในระหว่างนั้น Nissan ก็ได้โชว์ความคืบหน้าของโปรเจ็คต์ GT-R (R35) เป็นระยะโดยมีการเผยโฉมให้เห็นพัฒนาการของโปรเจ็คต์ผ่านรถต้นแบบที่จอดโชว์ในงาน Tokyo Motor Show ในปี 2001 และต่อมาในปี 2005 โดยรถต้นแบบสองคันนั้นมีรูปร่างหน้าตาภายนอกที่ต่างกันพอสมควร ส่วนเรื่องการทดสอบวิ่งบนถนนก็ได้ไปกันหลายที่ทั่วโลกในรูปแบบและสภาวะที่ต่างกัน ทั้งในเรื่องของสภาพถนน และสภาพอากาศ เพื่อให้รถสมบูรณ์พร้อมขายทั่วโลก ซึ่งมีคนแอบเห็นและถ่ายรูปการขับทดสอบ GT-R โดยมี Porsche 911 Turbo วิ่งร่วมไปด้วย

ซึ่งในการทดสอบบางสถานที่ คุณ Ghosn มาร่วมขับด้วยอีกต่างหาก จนช่วงสุดท้ายของการทดสอบก่อนผลิตออกขาย ทางทีมทดสอบได้นำเจ้า GT-R R35 คันต้นแบบเวอร์ชั่นสุดท้ายไปวิ่งจับเวลาต่อรอบที่ Nurburgring ทำเวลาได้ 7:38.54 นาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก และเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ต่ำกว่า 8 วินาที (ณ เวลานั้น Porsche 911 Turbo วิ่งอยู่ 7:40 นาที) รวมระยะเวลาทั้งหมดในการพัฒนารถต้นแบบ GT-R (R35) 6 ปี

โดยทาง Nissan ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า GT-R (R35) จะเปิดตัวเวอร์ชั่นพร้อมขายในงาน Tokyo Motor Show ปี 2007 โดยวางแผนการตลาดให้ GT-R ที่จะขายทั่วโลกอยู่ภายใต้แบรนด์ Nissan เท่านั้น โดยก่อนหน้านั้นมีการเดาว่า GT-R ที่จะขายในทวีปอเมริกาเหนืออาจอยู่ภายใต้แบรนด์ Infiniti ซึ่งเป็นการคาดเดาที่ผิด

การเปิดตัว GT-R (R35) เวอร์ชั่นพร้อมขายอย่างเป็นทางการมีขึ้นที่งาน Tokyo Motor Show ปี 2007 อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมภาพวีดีโอการวิ่งทำเวลาต่อรอบที่ Nurburgring  Nordschleife ประเทศเยอรมนี บนสภาพพื้นผิวแทร็คที่เปียกกับเวลาที่ทำได้ 7:38.54 นาที เป็นสิ่งที่เรียกเสียงฮือฮากันทั้งฮอลจัดงาน ซึ่งทาง Nissan ยืนยันว่าเวลาดังกล่าวทำด้วยรถเวอร์ชั่นที่จะออกขายสำหรับลูกค้าทั่วโลก โดยให้คอนเซ็ปต์ในการเปิดตัวว่าเป็นรถซูเปอร์คาร์สำหรับทุกคน ไปไหนก็ได้ทุกที่ทุกเวลา จึงไม่แปลกที่ภายในเวลาอันสั้นยอดจองของเจ้า GT-R ปาเข้าไปมากกว่า 3,000 คัน เฉลี่ยเดือนละ 200 คัน

Nissan GT-R (R35) เวอร์ชั่นแรกที่ออกขายภายใต้รหัสรุ่น CBA-R35 มีความน่าสนใจในทุกๆ ด้านของตัวรถ เริ่มจากภายนอกทางผู้ออกแบบบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก “หุ่นยนต์กันดั้ม” โดยเน้นย้ำว่ารูปทรงมีความแตกต่างจากบรรดาซูเปอร์คาร์จากยุโรปโดยสิ้นเชิง โดยเป็นการผสมผสานความคิดจากนักออกแบบของ Nissan ทั้งจากยุโรปและอเมริกา หมายความว่าดีไซน์ภายนอกไม่ได้ออกแบบโดยคนคนเดียว หรือแม้กระทั่งสีภายนอกตัวรถที่เป็นออริจินัลอย่างสีเงิน Super Silver ก็มีขั้นตอนการพ่นที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วๆ ไป ทำให้สีมีความเงาวาวลึก และยังป้องกันการกะเทาะจากเศษหินได้ดีกว่าสีทั่วไปอีกด้วย

รูปทรงตัวถังมีความบึกบึน แต่ให้การลู่ลมที่ดี มีแรงกดสูงเมื่อใช้ความเร็ว โดยที่ตัวถังมีช่องรับลมต่างๆ ในหลายๆ จุดเพื่อการระบายความร้อนเครื่องยนต์และระบบเบรก และถึงแม้ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรถซูเปอร์คาร์ แต่ภายในห้องโดยสารและบริเวณพื้นที่เก็บของท้ายรถก็กว้างขวาง  วัสดุน้ำหนักเบาอย่างอลูมีเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบตัวถังหลายจุดเพื่อน้ำหนักที่เบาและแข็งแกร่ง

ส่วนภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่ขับสบายในทุกๆ สถานการณ์ เลือกใช้วัสดุที่หรูหราทั้งหนังแท้ หรือคอนโซลกลางที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งชิ้น หน้าจอดิจิทัลทันสมัยแสดงข้อมูลอย่างละเอียด แต่ที่เป็นไฮไลท์สำคัญของภายใน GT-R (R35) ก็คือหน้าจอกลางมัลติฟังก์ชั่นที่ได้รับความร่วมมือในการออกแบบสร้างโดย Polyphony ผู้สร้างเกมส์แข่งรถ Gran Turismo ที่โด่งดังไปทั่วโลก มันแสดงผลการทำงานของรถคันนี้ได้สารพัดอย่างเหมือนเอาเกจ์วัดทุกอย่างมารวมไว้ในหน้าจอนี้จอเดียว แล้วยังเลือกได้ด้วยว่าจะให้แสดงค่าอะไรบ้างในหน้าจอหลัก ถ้าให้อธิบายว่ามีฟังก์ชั่นอะไรให้เล่นบ้างคงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ระบบเครื่องเสียงไม่ธรรมดาเพราะลำโพงที่ให้มาคือ Bose®

แน่นอนว่าหัวใจสำคัญของเจ้า GT-R (R35) คือเรื่องสมรรถนะที่ถูกตั้งโจทย์มาให้เป็นรถที่ออกมาปราบซูเปอร์คาร์จากฝั่งยุโรป ดังนั้นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และระบบต่างๆ ต้องเป็นที่สุด หัวใจของ GT-R (R35) เป็นเครื่องยนต์ V ตัวใหม่ของ Nissan รหัส VR38DETT ความจุ 3,799 ซีซี รูปแบบ V โดยตัวเครื่องยนต์มีขนาดสั้นกว่าเครื่อง V ทั่วๆไป มีการนำระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์แบบใหม่มาใช้เป็นทั้งแบบ Wet Sump และ Dry Sump ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นลูกสูบหรือเสื้อสูบผ่านกรรมวิธีการผลิตเพื่อให้ทำงานได้อย่างไหลลื่นที่สุด ติดตั้งเทอร์โบชาร์จสองตัวแบบ Parallel จาก IHI รุ่น RHF55 ที่ทดสอบแล้วว่าเหมาะกับเครื่องตัวนี้ที่สุด

ซึ่งพละกำลังของเครื่องยนต์เทอร์โบตัวนี้ออกมาที่ 473 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 583 นิวตันเมตรที่ 3,200 – 5,200 รอบ/นาที ซึ่ง ณ เวลานั้นถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ติดรถออกมาจากโรงงานที่แรงที่สุดแล้ว เครื่องยนต์แรงอย่างเดียวไม่ได้ ระบบส่งกำลังก็สำคัญไม่แพ้กัน และถือเป็นเรื่องใหม่ในวงการรถยนต์เลยก็ว่าได้ที่ GT-R (R35) มีการติดตั้งชุดเกียร์ไว้ที่ด้านหลังของรถต่อกับเพลาของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งการติดตั้งชุดเกียร์ไว้ด้านหลังก็เพื่อการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังที่สมบูรณ์ที่สุดนั่นเอง โดยระบบเกียร์เป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ 6 สปีด Dual-Clutch (คลัทช์คู่) ซึ่งทั้งเครื่องและเกียร์ถูกประกอบโดยช่างฝีมือคนเดียวเท่านั้น โดยตำแหน่งนี้ถูกเรียกกันว่า “ทาคูมิ” หมายความว่าสุดยอดช่างฝีมือแต่ละคนจะรับผิดชอบเครื่องยนต์และเกียร์ของรถคันนี้ไปเลยคนเดียว ซึ่งตำแหน่งนี้ในโรงงานมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น

มีหลายคนถามว่าทำไมถึงไม่ใช้ระบบเกียร์แมนวล หรือเกียร์ธรรมดา คำตอบจาก Nissan ก็คือ เกียร์กึ่งอัตโนมัติคลัทช์คู่ตัวนี้มันมีการเปลี่ยนที่รวดเร็วว่องไวกว่า ต่อเนื่องกว่า สามารถขับสบายๆ ได้เหมือนเกียร์อัตโนมัติทั่วไป มันเหมาะกับเทคโนโลยีขั้นสูงของรถคันนี้ที่สุดแล้ว และที่สำคัญยังช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและช่วยให้ค่าการปล่อยไอเสียตรงตามกฎของทุกประเทศทั่วโลกด้วย ซึ่งผมเดาว่า Nissan ตั้งใจพัฒนาระบบเกียร์นี้มาเพื่อสู้กับเกียร์ PDK ของ Porsche นั่นแหละ

ต่อจากเรื่องเกียร์ก็คือระบบขับเคลื่อน โดยใช้เป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel-Drive ภายใต้ชื่อ ATTESA E-TS Pro กระจายแรงม้าจากเครื่องยนต์ที่ส่งผ่านระบบเกียร์ไปยังล้อทั้ง 4 อย่างเหมาะสมในทุกๆ สถานการณ์ โดยตัวเพลากลางผลิตขึ้นจากวัสดุ Carbon-Composite ที่ได้ทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบากว่าโลหะค่อนข้างมาก ระบบช่วงล่างเป็นแบบ Active โดยใช้ชื่อเรียกว่า DampTronic โช้คอัพสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ส่วนกลางประเมินผลขณะขับขี่ ซึ่งผู้ขับก็สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบช่วงล่างตามโหมดได้เองอีกด้วย

ปิดท้ายเรื่องสมรรถนะ (แบบคร่าวๆ) ด้วยระบบเบรกจาก Brembo ด้านหน้า 6-Pot ด้านหลัง 4-Pot เกือบลืมบอกไปว่าเจ้า GT-R (R35) ถือเป็นรถคันแรกๆ ที่มีระบบ Launch Control (ช่วยการออกตัวอย่างรวดเร็วรุนแรงโดยไม่เสียการทรงตัว) ติดตั้งมาให้ด้วย และทั้งหมดนี้ก็คืออุปกรณ์สแตนดาร์ดที่ติดตั้งมาใน GT-R (R35) ที่เปิดตัวสู่ตลาดในปี 2007 นั่นเอง

นี่เป็นเพียงแค่ปฐมบทของตำนานซูเปอร์คาร์จากประเทศญี่ปุ่น และเป็นเรื่องยากที่จะทำให้จบภายในตอนเดียว ยังมีเรื่องราวการปรับปรุงพัฒนาในรุ่นและเวอร์ชั่นต่างๆ ออกมาอีกมากมายในช่วงเวลา 18 ปีก่อนจะถึงคันสุดท้ายที่ก้าวออกจากโรงงานและปิดสายการผลิต จะมีอะไรบ้างนั้น พบกันในภาค 2 ครับ      

To be continued…

Photo credit:                 https://www.netcarshow.com/nissan/2005-gt-r_proto_concept/

https://www.autoevolution.com/news/the-r35-nissan-gtr-humbled-its-haters-and-earned-my-respect-it-should-have-yours-too-218778.html https://www.carbodydesign.com/gallery/2007/11/09-nissan-gt-r/13/

Related Posts

CHANGAN เดินหน้ากลยุทธ์ ‘In Thailand, For Thailand’
Review

CHANGAN เดินหน้ากลยุทธ์ ‘In Thailand, For Thailand’

October 23, 2025
BMW Group Thailand จะประกอบรถยนต์ EV ในไทยเมื่อไหร่?? แล้วทำไมต้องทุบราคา EV 
Review

BMW Group Thailand จะประกอบรถยนต์ EV ในไทยเมื่อไหร่?? แล้วทำไมต้องทุบราคา EV 

October 17, 2025
Leapmotor อีวีพรีเมียม ปักธงยาวตลาดไทย
Review

Leapmotor อีวีพรีเมียม ปักธงยาวตลาดไทย

October 15, 2025
รีวิว!! GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro ตัวเลือกที่คุ้มค่า ในช่วงราคา 1 ล้านบาท
Review

รีวิว!! GWM TANK 300 DIESEL 2WD Pro ตัวเลือกที่คุ้มค่า ในช่วงราคา 1 ล้านบาท

October 12, 2025

Category

  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle

Tags

70mai AAS AAS Motorsport Akrapovic Aston Martin BMW BRIDGESTONE BYD Changan Chery CHERY V23 COCKPIT Continental Deepal EV Fast Auto Show Thailand 2025 Ferrari Fregata GAC GWM TANK 300 Honda Hyundai JAECOO 6 EV Lamborghini Leapmotor MASERATI MGC-ASIA Millennium Auto Mitsubishi MMS Motorrad NEXZTER Nissan OMODA PTG Rolls-Royce Royal Enfield Suzuki SUZUKI JIMNY Tesla Toyota Volvo XPENG Zeekr มาสเตอร์เซอร์ทิฟายด์ยูสคาร์

About

มิติใหม่แห่งข่าวสาร ความเคลื่อนไหวในแวดวงยานยนต์ และไลฟ์สไตล์ บนโลกออนไลน์ ในรูปแบบวาไรตี้ ที่ไม่ควรพลาด

Categories

  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle

Browse by Tag

70mai (2) AAS (2) AAS Motorsport (1) Akrapovic (1) Aston Martin (1) BMW (3) BRIDGESTONE (1) BYD (4) Changan (2) Chery (1) CHERY V23 (1) COCKPIT (1) Continental (1) Deepal (3) EV (1) Fast Auto Show Thailand 2025 (1) Ferrari (1) Fregata (1) GAC (1) GWM TANK 300 (1) Honda (8) Hyundai (3) JAECOO 6 EV (1) Lamborghini (4) Leapmotor (3) MASERATI (1) MGC-ASIA (3) Millennium Auto (2) Mitsubishi (6) MMS (1) Motorrad (2) NEXZTER (1) Nissan (5) OMODA (1) PTG (1) Rolls-Royce (1) Royal Enfield (3) Suzuki (4) SUZUKI JIMNY (1) Tesla (3) Toyota (26) Volvo (2) XPENG (4) Zeekr (5) มาสเตอร์เซอร์ทิฟายด์ยูสคาร์ (1)

Recent Posts

  • ตำนานรถยนต์โมเดลเดียวขายเกิน 10 ปี EP3: Nissan GT-R (R35)Part 1
  • SUZUKI CARRY รถสร้างอาชีพ คู่คิด SME ฉลองยอดขายสะสมกว่า 50,000 คัน ดอกเบี้ย 1.99% ผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท

© 2024 CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์

No Result
View All Result
  • Home
  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle

© 2024 CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์