ผมมีโอกาสได้ลองขับ Toyota Yaris Cross เป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ ก่อนจะตกลงปลงใจเป็นเจ้าของไปเป็นที่เรียบร้อย แบบไม่คิดอะไรมาก ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็มีรถจีนหลากรุ่นหลายแบรนด์กระหน่ำดั๊มพ์ราคาลงมายั่วใจอยู่หลายตัว แต่ด้วยเหตุผลอะไร ทำไมผมถึงเลือกเจ้า Toyota Yaris Cross และทำไมเจ้า Toyota Yaris Cross ถึงขายดี ลองมาดูเหตุผลที่ผมวิเคราะห์กันครับ

อย่างแรกคงปฎิเสธไม่ได้กับชื่อเสียงของแบรนด์โตโยต้า ที่อยู่ในเมืองไทยมายาวนานกว่า 61 ปี แม้ตัวนี้จะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานแพล็ตฟอร์ม DNGA (Daihatsu New Global Architecture) เช่นเดียวกับ Veloz และ Yaris ATIV รุ่นปัจจุบัน แต่ยังไงเรื่องของศูนย์บริการก็อุ่นใจมีครอบคลุมมากมายหลากหลายพื้นที่ และที่สำคัญคือเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา เพราะเจ้า Toyota Yaris Cross เค้าพยายามยัดเยียดอัดออปชั่น ฟีเจอร์ เทคโนโลยีมาให้แบบแน่นๆ แบบกระแทกรถจีนให้ได้รู้ว่า ถ้าจะให้ข้าอัดออปชั่นล้นๆ ข้าก็ทำได้ โดย Yaris Cross มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยนั่นก็คือ รุ่น HEV SMART ราคา 789,000 บาท, รุ่น HEV PREMIUM ราคา 849,000 บาท และรุ่น HEV PREMIUM LUXURY ราคา 899,000 บาท
ประเด็นต่อมาคือ รูปร่างหน้าตามันก็ดูหล่อ สปอร์ต เอาเรื่องอยู่นะ แถมอัดออปชั่นมาแน่นๆ เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าจัดเต็มทั้งไฟหน้าแบบ Full LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED, ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชันหน่วงเวลาปิด Follow-me-home, ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED, ไฟท้ายแบบ LED และล้ออัลลอยแบบทูโทนปัดเงาขนาด 18 นิ้ว ซึ่งดูเต็มซุ้มเข้ากับตัวรถเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ในรุ่น Premium Luxury ซึ่งเป็นรุ่นท็อป ที่ผมเอามาขับทดสอบนี้เป็นเพียงรุ่นเดียวที่มีหลังคากระจก Panoramic Glass Roof แบบ Fixed Type ที่ไม่สามารถเปิด-ปิด แบบซันรูฟหรือมูนรูฟ ที่เราเคยเห็นได้ แต่มันจะมีไว้แค่เพิ่มความหรูหรา ให้สามารถมองไปเห็นท้องฟ้าภายนอกได้ โดยมีม่านกรองแสงเลื่อนเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าแบบ One-touch เพื่อกันความร้อนมาให้เท่านั้น พร้อมกันนี้ระบบประตูท้ายเปิด-ปิดก็ไม่ธรรมดา จัดแบบไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชัน Kick-activated มาให้อีกด้วย รวมไปถึงไฟ Welcome Lamp บริเวณใต้กระจกมองข้าง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องขึ้นรถในยามค่ำคืน

มาต่อที่ภายในห้องโดยสารของ Toyota Yaris Cross ซึ่งถือเป็นจุดขายหลักของรถคันนี้ เพราะอัดแน่นฟีเจอร์ อุปกรณ์มาตรฐานมาแบบแน่นๆ จุกๆ ให้รู้สึกว่ามันคุ้มค่าคุ้มราคาเสียเหลือเกินกับรถคันนี้ ไม่ว่าจะเป็น เบาะนั่งหุ้มหนังที่มีเทคโนโลยีลดการสะสมความร้อน Quole Modure ที่มีให้เฉพาะคู่หน้านะ แถมเบาะคนขับยังสามารถปรับไฟฟ้า 6 ได้ทิศทาง ส่วนคนนั่งเป็นแบบปรับมือ 4 ทิศทาง

ซึ่งนอกจากห้องโดยสารที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์เทคโนโลยีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูให้คนสนใจนั่นคือความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร ที่สามารถนั่ง 5 คน ได้อย่างสบาย ทั้งที่มันเป็นแค่รถครอสโอเวอร์ แต่ถ้าได้ลองนั่งจะรู้เลยว่ามันกว้างขวาง นั่งสบาย ขาไม่ติดเบาะ หัวไม่ติดเพดาน แถมเบาะนั่งแถว 2 ก็สามารถปรับเอนได้ มีช่อง USB-C ให้ 2 ช่อง และช่องแอร์หลังให้อีกต่างหาก


ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ก็อย่างที่บอก อัดแน่นกระแทกรถจีนแบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นกูญแจ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start, หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย โดยหน้าจอยังสามารถแสดงข้อมูลสถานะการทำงานของระบบไฮบริดแบบ Real-time ได้, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, เบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมฟังก์ชัน Auto Hold, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Single-zone พร้อมช่องแอร์หลัง และระบบกรองฝุ่น PM2.5 โดยที่หน้าจอระบบปรับอากาศยังสามารถแสดงปริมาณฝุ่น PM2.5 ภายในห้องโดยสารได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังติดตั้งเครื่องเสียงแบรนด์ Pioneer พร้อมลำโพงอีก 6 ตำแหน่ง ที่เอาจริงๆ แล้ว คุณภาพเสียง ก็ยังไม่ค่อยประทับใจมากเท่าไหร่

เมื่อพูดถึงเรื่องฟีเจอร์เทคโนโลยีแล้ว ขอข้ามเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์และการควบคุมไปก่อน ไปดูเรื่องระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มมาให้อีกเช่นกัน โดยทุกรุ่นย่อยถูกติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ได้แก่ ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, สัญญาณเตือนกะระยะด้านหลัง 2 จุด, ระบบ Speed Auto Lock และถุงลมนิรภัย SRS 6 ตำแหน่ง

ขณะที่กลาง Premium เพิ่มสัญญาณเตือนกะระยะหน้า-หลัง, กล้องบันทึกภาพด้านหน้า, ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว, ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งผิดวิธี, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM / RCTA และระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 7 ฟังก์ชัน ได้แก่ Adaptive Cruise Control แบบ All-Speed, Lane Departure Alert, Lane Keeping Control, Pre-Collision System, Pedal Misoperation Control, Front Departure Alert และ Automatic High Beam ส่วนในรุ่นท็อป Premium Luxury จะถูกเพิ่มกล้องบันทึกภาพด้านหลัง, กล้องมองภาพรอบคัน (Panoramic View Monitor) และระบบตรวจวัดแรงดันลมยางอัตโนมัติ

ได้เวลามาที่เรื่องของสมรรถนะกันแล้ว ซึ่งอีกประการหนึ่งที่ทำไมเจ้า Yaris Cross ถึงขายดี เพราะมันถูกจับใส่ขุมพลังไฮบริด 4 สูบแถวเรียง DOHC ความจุ 1.5 ลิตร Atkinson-cycle Dual VVT-i ที่ให้กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 80 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร โดยเมื่อทำงานร่วมกันจะให้กำลังสูงสุด 111 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ที่แม้ความแรงจะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ข้อดีคือมันประหยัด โดยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอ้างอิงตาม ECO Sticker 26.3 กม./ลิตร แต่สำหรับผมทำได้เพียงแค่ 20 กม./ลิตร เท่านั้นเอง แถมยังสามารถรองรับน้ำมันโซฮอล์ E20 ได้ด้วย


ขยับมาที่ช่วงล่างของ Yaris Cross ซึ่งก็ถือเป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เพราะมีระยะ Ground Clerance อยู่ที่ 210 มม. ซึ่งเป็นระยะที่ไม่ต่ำและไม่สูงเกินไป ขึ้นลงรถง่าย โดยด้านหน้าเลือกใช้ช่วงล่างแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีมและคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ฟิลลิ่งการขับขี่ถือว่าดี ไม่นิ่มไม่ย้วยสไตล์รถจีน แต่มีความเฟิร์มสปอร์ต แต่ก็ไม่ใช่สไตล์นุ่ม หนึบ พวงมาลัยที่เป็นแบบไฟฟ้า EPS เบาสบาย ตรงนี้ผมก็ยังไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะมันยังไม่ค่อยแม่นยำ แต่ที่สำคัญติดตั้งระบบดิสก์เบรกให้ทั้ง 4 ล้อเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อยไปเลย

เอาล่ะครับ ผมได้ไล่เรียงเหตุผลให้พอได้รู้กันแล้วว่าทำไมเจ้า Toyota Yaris Cross ถึงขายดี เพราะเค้าอัดออปชั่น ฟีเจอร์ และเทคโนโลยีมาให้แบบเต็มๆ แต่กระนั้น เจ้าระบบ หรือฟีเจอร์ต่างๆ พวกนี้ เอาจริงๆ มันยังใช้งานได้ แต่มันยังไม่สมูทเหมือนรุ่นพี่ๆ ที่สูงขึ้นไปอย่าง Toyota Corolla หรืออย่าง Toyota Corolla Cross แต่อย่างว่าก็มีมาให้หมด ซึ่งถ้าให้ผมมองหรือวิเคราะห็ก็เหมือนกับว่าทางโตโยต้ากำลังโยนหินถามทางว่าถ้าโตโยต้า อัดออปชั่น ใส่ฟีเจอร์ เข้าไปแบบนี้ แต่ไม่ต้องเน้นคุณภาพ หรือเวอร์ชั่นที่มันสูงๆ คนไทยรับได้ไหม?? … ซึ่งคำตอบก็คงเห็นกับตัวเลขยอดขาย Toyota Yaris Cross ที่ผ่านมาแล้วล่ะครับ!!







