ภาคต่อของรถกระบะสมรรถนะสูงที่มาพร้อมแพลตฟอร์ม T6.2 ของ Ford ซึ่งพัฒนาและออกแบบในออสเตรเลียทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้ทีมงานของเราเคยขับตัวขุมกำลังดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร มาแล้ว แต่ครั้งนี้ถึงคิวได้ลองขับเจ้า Raptor เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร Twin-Turbo EcoBoost V6 เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ถูกปรับจูนให้มีกำลังเพิ่มขึ้นถึง 391 แรงม้า ที่ 5,650 รอบต่อนาที แรงบิด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดของ Raptor เจนฯ นี้ โดยหลังจากที่ทีมงานของเราได้ขับแบบหนำใจแล้ว ก็บอกกลับมาคำเดียวว่าเจ้า Raptor New Gen เครื่องเบนซิน Twin-Turbo EcoBoost V6 มันขับมันส์ จนลืมค่าน้ำมันไปเลย
Ford Ranger Raptor ตัวเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร Twin-Turbo EcoBoost V6 เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เปิดราคามาที่ 1,949,000 บาท โดยขุมพลังชุดนี้ให้พละกำลัง 391 แรงม้า และแรงบิด 583 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าเป็นกระบะจากโรงงานที่แรงที่สุดสำหรับกระบะเมืองไทยในยุคนี้ ส่วนเรื่องพละกำลังขอพักไว้ก่อน แต่สิ่งที่มันเร้าอารมณ์ทันทีตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์นั้นก็คือเสียงท่อไอเสียด้านท้ายที่มันกระหึ่มคำรามหนักแน่นได้ใจ ราวกับสตาร์ทรถสปอร์ตคาร์อยู่อย่างไงอย่างงั้น เอาเป็นว่าสำหรับสายสปอร์ตผมเชื่อว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันนี้เลยก็แล้วกัน โดยเจ้าเสียงท่อนี้สามารถเลือกความดังได้อีกจากปุ่มบนพวงมาลัย ว่าอยากได้แบบเสียงเบา หรือดังกระหึ่ม โดยระบบวาล์วบายพาสแบบควบคุมได้ในระบบไอเสีย ซึ่งอยู่หลังชุดท่อไอเสียหลัก จะทำให้เกิดเสียงที่ดังขึ้นจากเดิม ซึ่งหากทำงานร่วมกับโหมด BAJA ด้วยแล้วจะดังกระหึ่มเร้าใจที่สุด
ด้านความแรง ต้องถือว่าเอาเรื่องเลย โดยเฉพาะช่วงต้น กับช่วงกลาง ที่เจ้า Ecoboost ทำงานช่วยอัดอากาศเข้าเทอร์โบทั้งคู่ ซึ่งมันสามารถป้อนอากาศได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้แรงดันบูสต์เพิ่มขึ้น และลดอาการรอรอบ บอกได้เลยว่ากระชากร่างที่หนักราว 2.5 ตัน ได้อย่างสบาย หากแต่ต้องยอมแลกกับอัตราการบริโภคน้ำมันที่ดุร้ายเอาเรื่อง โดยผมได้ลองเติมน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 เข้าไป วิ่งเฉลี่ยทั้งในเมืองนอกเมือง อัตราการบริโภคน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 6 กิโลเมตรกลางๆ ต่อลิตร หากสนุกกับอัตราเร่ง และเสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสีย เผลดกดหนักๆ ยาวๆ ก็ต้องแลกมากับค่าน้ำมันที่จะต้องโดนสูบอยู่พอสมควร
นอกจากนี้ในส่วนของโหมดการขับขี่ Ford Ranger Raptor V6 ก็ยังคงมีให้เลือกหลากหลายเช่นเดิม โดยโหมดการขับขี่บนถนนจะแบ่งเป็น Normal / Sport และ Slippery โหมดผิวถนนลื่น ส่วนโหมดการขับขี่แบบออฟโรดแบ่งออกเป็น Rock Crawl / Sand / Mud,Ruts โคลนหรือร่อง และ Baja ที่ปรับแต่งเพื่อสมรรถนะออฟโรดความเร็วสูงพร้อมระบบทั้งหมดที่ตั้งค่าไว้สำหรับการขับด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
ซึ่งในส่วนของโหมดขับขี่ที่ว่าเทพแล้ว ในส่วนของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Permanent all-wheel-drive System 4A -4WD Drivetrain ที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างหลากหลายรูปแบบนั้นประทับใจทีมงานเรายิ่งกว่า ทั้งระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลัง หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อทั้งแบบ 4L และ 4H ที่สมองกลสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบระบบการขับขี่ได้แบบโคตรฉลาด ซึ่งผมให้เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของรถคันนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าระบบนี้มันส่งกำลังแบบ Torque On Demand ในขณะที่แชสซีใหม่นั้นมากับขนาดที่ใหญ่แถมยังหนาบึ้ก โดยด้านหน้าเพิ่มความแข็งแรงของจุดยึดหูโช้คที่ถูกปรับความสูงขึ้นมา รองรับการขับแบบวิบากโหดๆ ได้อย่างสบาย ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน ส่วนด้านหลังที่ถือเป็นจุดเด่นของ Raptor นั้น เป็นระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อค ซึ่งข้อดีคือทำให้เพลาเคลื่อนที่ขึ้นลงได้อย่างอิสระ ช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถ โดยตัวช็อคอัพนั้นเป็นโมโนทิวป์ของ FOX เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว มี Valve bypass แบบ Position Sensitive Damping ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในสนามแข่งทางฝุ่น โดยควบคุมการไหลของน้ำมันภายในกระบอกช็อค โดยมีการเปิดและปิดวาล์วแบบอัตโนมัติ เพื่อลดหรือเพิ่มการหน่วงและการอัดที่สอดคล้องกับสภาพถนน
ซึ่งฟิลลิ่งของช่วงล่างต้องถือว่าระดับเทพอยู่แล้ว สำหรับ Fox โมโนทิวป์ 2.5 ซึ่งถ้าขับทางฝุ่น ทางวิบาก รับประกันความนุ่มหนึบเกาะถนน Absorb แรงสั่นสะเทือนได้ดีอยู่แล้ว ส่วนถ้าขับทางดำ หรือถนนหลวง อยากเตือนไว้หน่อยครับ ถ้าขับในช่วงความเร็ว ด้วยตัวช็อคอัพ ที่เน้นสมรรถนะทางลุยมากกว่าทางเรียบ อาจจะรู้สึกว่าช่วงล่างหลังมันจะย้วยๆ หน่อย หากใช้ความเร็วสูง ที่อยากเตือนเพราะบางคนอาจคิดว่ากำลังขับ ฟอร์ด ตัว Performance อยู่ แล้วกะจะใส่เต็มที่บนทางเรียบ มันจะปลิ้นเอาได้ แล้วจะมาหาว่าช่วงล่างเค้าไม่ดี ซึ่งจริงๆ แล้ว ช็อคชุดนี้มันเทพสำหรับทางลุยมากกว่า และนอกจากช่วงล่างขั้นเทพแล้ว ระบบบังคับเลี้ยวก็ไม่ธรรมดา ซึ่งเป็นแบบระบบไฟฟ้า EPS ที่ใช้จากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กเชื่อมต่อกับเซนเซอร์สปีดความเร็วและโหมดขับเคลื่อน เมื่อใช้ความเร็วสูง พวงมาลัยของ Raptor Next Gen จะให้ฟิลที่มั่นคง แถมแต่ละโหมดการขับเคลื่อน พวงมาลัยก็จะมีฟิลลิ่งที่แตกต่างกันออกไป เพื่อความเหมาะสมในการขับแต่ละแบบถนน
เอาล่ะ!! สาธยายสมรรถนะมาพอสมควรแล้ว คราวนี้มาดูเรื่องของการดีไซน์บ้าง สำหรับ Ford Ranger Raptor New Gen ถูกปรับรูปลักษณ์ใหม่ ไฟหน้าเป็นแบบ Dark Accent Matrix LED headlamps with LED DTRLs ล้อมกรอบด้วย LED Daytime Running Light แบบ C-clamp และกระจังหน้า Block letter Grille กันชนหน้ามีไฟตัดหมอก LED ขนาดเล็กอยู่บริเวณมุมด้านล่างของกันชนทั้ง 2 ฝั่ง ด้านล่างมีแผ่นโลหะกันกระแทก Super Alloy Front Skid Plate เพื่อปกป้องท้องเครื่อง ฝากระโปรงหน้าทำโป่งดูดุดัน สอดรับกับพลาสติกหุ้มซุ้มล้อสีเทา-ดำ ด้านข้างมีบันไดสีดำพ่นทรายไว้ก้าวขึ้นตัวรถที่มีความสูงพอสมครวร
สำหรับมิติตัวถัง ต้องบอกว่าไซส์บิ๊กกับความยาว 5,360 มิลลิเมตร กว้าง 2,028 มิลลิเมตร สูง 1,926 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3,270 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 2,72 มิลลิเมตร ระยะแทร็กล้อหน้า-หลัง 1,710 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,475 กิโลกรัม มุมปะทะ 32° มุมจาก 27° ล้ออัลลอยใช้ขอบ 17 นิ้ว ยาง BFGoodrich รุ่น KO2 all-terrain ไซส์ 285/70 R17 กระบะท้ายมีพื้นที่กว้างมากกว่ารถกระบะทั่วไป ฝาท้ายกระบะมีระบบผ่อนแรงเปิด-ปิด มีปลั๊กทั้งแบบ 12V 180W และ AC230V 400W ไฟท้าย LED ไฟเลี้ยว LED ส่วนไฟเบรกดวงที่สามอยู่บนมือเปิดฝาท้าย ท่อไอเสียทรงกลมสปอร์ต 2 ฝั่ง พร้อมเหล็กลากจูง
ภายในสไตล์ไม่ต่างจาก Ranger แต่ใส่ออปชั่นและการตกแต่งเข้าไปเยอะกว่า เช่น เบาะนั่งที่ได้รับแรงบันดาลใจเบาะนั่งนักบินเครื่องบินขับไล่ F22 Raptor เสริมลวดลาย Code Orange แดชบอร์ดคอนโซลตกแต่งด้วยพลาสติกสีส้ม ช่องแอร์ทรงรังผึ้ง บางจุดบุวัสดุคล้ายหนังกลับ Alcantara พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ มีขลิบสีส้มด้านบนสไตล์รถแข่ง พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชันและแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ซึ่งถือเป็นรถรุ่นเดียวของฟอร์ดในประเทศไทย ที่มี Paddle Shift มาให้เพราะกระบะ Ranger และพีพีวี Everest ก็ไม่มี Paddle Shift มาให้
นอกจากนี้คอนโซลกลางยังมีจอแสดงผลแนวตั้งขนาดใหญ่โดยมีเมนูการใช้งานหลากหลาย แสดงทั้งระบบขับเคลื่อน เชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto ระบบนำทางแบบ3D ระบบสตาร์ทรถจากระยะไกลและการระบุตำแหน่ง (ผ่านแอพ FordPass) ระบบเสียง B&O ลำโพง 8 ตำแหน่ง ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยจัดมาให้ครบเช่น การเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go การจดจำป้ายจราจร การตรวจสอบจุดบอด พร้อมระบบเตือนการเข้าใกล้สิ่งกีดขวางด้านหลัง การเตือนออกนอกเลนพร้อมกับการสั่นเบาๆ และดึงพวงมาลัยกลับแบบนุ่มนวล ระบบช่วยจอด ไฟหน้าอัตโนมัติ Adaptive LED กล้อง 360 องศา เซนเซอร์จอดรถด้านหน้าและด้านหลัง ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง และระบบช่วยจำกัดความเร็วอัจฉริยะ สำหรับการตรวจสอบจุดบอดยังสามารถกดปุ่มตรวจการณ์บริเวณหลังซุ้มคันเกียร์ ระบบจะแสดงผลด้วยภาพ 360 องศา กับกราฟิกของระบบขับเคลื่อน เหมาะสำหรับเส้นทางวิบาก ที่ต้องการการวางตำแหน่งของรถให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง
มาถึงบทสรุปของรถคันนี้ ต้องบอกว่าคนที่จะซื้อ Ford Ranger Raptor Next Gen ตัว V6 มันต้องเป็นฟิลที่ซื้อเพราะอารมณ์ล้วนๆ เอาไว้ขับเท่ๆ และไม่กลัวที่จะจ่ายค่าน้ำมัน เพราะอย่างที่บอกแค่สตาร์ทรถก็มีความสุขกับเสียงเครื่องยนต์แล้ว แถมถ้าใครเป็นฟิลซื้อรถไปขับสนอง Need แล้วล่ะก็ ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรที่จะมาห้ามความรู้สึก ที่จะได้ขับรถสปอร์ตในคราบรถกระบะในราคาไม่ถึง 2 ล้าน บอกตามตรง!! ผมก็หลงรักเจ้า Raptor V6 คันนี้อยู่เหมือนกัน …