ต้องบอกว่า BMW ปรับฟิลลิ่งการขับขี่ของซีรี่ส์ 5 ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 8 รหัสตัวถัง G60 ไปพอสมควร ซึ่งจากรุ่นเดิมที่จะเน้นความสปอร์ต กับช่วงล่างที่แน่นหนึบ แต่มาคราวนี้เปลี่ยนฟิลเป็นช่วงล่างที่นุ่มหนึบ เน้นการขับขี่และนั่งโดยสารที่สบายมากขึ้น
BMW 5 Series เป็นรถซีดานขนาดกลางที่ได้รับความนิยมในเมืองไทย ซึ่งโมเดลนี้ยังคงมีตัวขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดทำตลาดอยู่เช่นเดิม ภายใต้ชื่อรุ่น 530e M Sport Pro โดยคู่แข่งของซีรี่ส์ 5 นั้นก็จะมีแบรนด์พี่น้องร่วมประเทศอย่าง Mercedes-Benz New E-Class และ Audi A6
สำหรับ BMW 530e M Sport Pro มาพร้อมตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารอัพเกรดความไฮเอนด์และยัดเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปเพียบ ด้านดีไซน์ภายนอกก็อัพเกรดฟีเจอร์ใหม่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า BMW LED แบบ Adaptive ปรับทิศทางตามการหมุนของพวงมาลัย รวมถึงการทำงานในโหมดอัตโนมัติ ที่ได้รับการปรับใหม่ให้ทำงานได้ครอบคลุม และละเอียดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะระบบปรับไฟสูงต่ำอิสระอัตโนมัติที่ทำงานได้อย่างชาญฉลาด และมีระยะทำการไกลสุด 550 เมตร ซึ่งแสงไฟสูงจะไม่ไปรบกวนคนอื่น โดยไฟสูงจะแบ่งช่องเพื่อเบี่ยงเบนแสงไม่ให้ไปแยงตาคันข้างหน้า หรือรถที่แล่นสวนมา และไฮไลท์เด็ดคือไม่ว่าจะเป็นรถ หรือมอเตอร์ไซค์ ก็สามารถตรวจจับได้หมด ช่วยลดความเครียด และทำให้การขับรถเวลากลางคืนเป็นเรื่องง่ายไปเลย ขณะที่ด้านท้ายจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้จากไฟท้าย LED แบบใหม่ทรงใหม่ ที่ทำให้ตัวรถดูสปอร์ตขึ้นกว่าเดิมอย่างเด่นชัด
และแน่นอนเมื่อชื่อรุ่นมีต่อท้ายว่า M SPORT PRO ก็ต้องมาพร้อมชุดแต่ง M Aerodynamics Package ซึ่งเป็นพาร์ทสีดำรอบคำ รวมทั้งหลังคากระจก Panorama และสปอยเลอร์หางเป็ดบนกระโปรงท้ายก็เป็นสีดำด้วย นอกจากนี้ที่ไฟหน้าก็มาพร้อมชุดแต่ง BMW Individual High-Gloss Shadow Line เพิ่มความเข้มให้กับดวงตา รวมไปถึงกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ Iconic Glow ก็มีการเล่นเส้นไฟล้อไปกับกระจัดหน้า ดูล้ำทันสมัยดี ด้านล้อแม็กเป็น M Aerodynamic ขนาด 20 นิ้ว แบบทูโทน Black Grey ซึ่งมีขนาดล้อและยางหน้าหลังไม่เท่ากัน โดยล้อหน้ามีขนาด 8.5 J × 20 กับยางไซส์ 245/40 R 20 ส่วนล้อหลัง 10J × 20 กับยางไซส์ 275/35 R 20 ซึ่งเป็นยางของ Pirelli ตัว P Zero ที่เป็นยางแบบ Runflat นั่นเอง
ด้านมิติตัวถัง BMW รหัส G60 ในรุ่น 530e M Sport Pro จะมีขนาดความยาวxกว้างxสูง อยู่ที่ 5,060×1,900×1,515 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,995 มิลลิเมตร ซึ่งถ้าเอาไปเทียบกับตัว 5Series ตัวเดิมในรหัส G30 จะยาวกว่าอยู่ 20 มิลลิเมตร ซึ่งดูด้วยตาเนื้อแล้วน่าจะมาจากฝากระโปรงหลังถูกออกแบบให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็ช่วยเพิ่มความจุห้องเก็บสัมภาระด้านหลังให้มากขึ้นเป็น 530 ลิตร ส่วนน้ำหนักตัวรถอันนี้น่าสนใจ แม้ตัวรถจะมีน้ำหนักที่มากกว่า 2 ตัน อยู่ที่ 2,080 กก. แต่ทั้งฝากระโปรงหน้าและหลังทำจากอลูมิเนียมทั้งบาน เพื่อเอาน้ำหนักที่ลดลงไปมาชดเชยกับการเติมความสะดวกสบายเข้าไปในรถ
ภายในห้องโดยสารของ G60 มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ แบบลืมของเก่าที่ทาง BMW ใช้มาอย่างยาวนานไปเลย โดยดีไซน์ต้องบอกว่าโคตรหรูโคตรคูล และที่ชอบคือเบาะนั่งที่มีการเพิ่มความหนาให้นั่งได้แบบนุ่มสบาย โดยหุ้มด้วยหนัง BMW Individual Merino แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยการเลือกใช้เบาะที่มีความหนามากขึ้น ทำให้พื้นที่นั่งตอนหลังระยะวางขาเหมือนจะแคบไปกว่ารู่นเดิมอยู่เล็กน้อย นอกจากนี้ยังได้ระบบเสียงรอบทิศทางจากแบรนด์ Bowers & Wilkins และที่ขาดไม่ได้กับฟีเจอร์ Ambient Light ที่ให้สีสันดูอลังการกว่ารุ่นเดิมมาก ด้านระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ 4 โซน วัสดุบุหลังคาอันนี้เลิศเพราะใช้เป็นหนัง Alcantara
สำหรับตัว 530 e M SPORT PRO ภายในเป็นสีน้ำตาล Copper ตัดเทา Atlas กระจกหลังคา Panoramic Roof ผลิตด้วยเทคนิคพิเศษ สวิตช์ให้อารมณ์หรูหราหมาเห่าด้วยดีไซน์แบบกระจกแก้วคริสตัล ม่านไฟฟ้าด้านหลังเป็นแบบไฟฟ้า แต่ด้านข้างน่าเสียดายที่ยังเป็นแบบแมนนวล ด้านระบบอินโฟเทนเมนต์เป็น iDrive 8.5 จอคู่แบบโค้ง Panorama เวอร์ชันเดียวกับ 7Series ซึ่งเราพูดถึงความหรูหรามาพอสมควรแล้ว มาดูเรื่องความสปอร์ตจากรุ่น M SPORT ที่ต่อท้ายบ้าง ซึ่งภายในก็จะมีพวงมาลัย M ตูดตัดแบบใหม่ที่มีขนาดใหญ่จัดได้เหมาะมือ โดยเป็นแบบ 3 ก้านหุ้มด้วยหนังแท้ พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ด้านหลังพวงมาลัย
เอาล่ะมาเข้าเรื่องสมรรถนะกันบ้าง BMW 530e M Sport Pro เป็นขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่มากับเทคโนโลยี eDrive เจเนอเรชันที่ 5 โดยใช้แบตเตอรี่ขนาด 22.1 Kwh รองรับการชาร์จแบบ AC 7.4 กิโลวัตต์ วิ่งความเร็วสูงสุดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนได้ที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จเต็มขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ ได้ไกล 108 กิโลเมตร (แต่ลองเอาชาร์จเองหน้าจอขึ้นวิ่งได้ไกลเพียง 101 กิโลเมตร) ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 135Kw จะฝังอยู่ในชุดเกียร์ ZF 8 Speed โดยมีพละกำลัง 184 แรงม้า กับแรงบิด 250 นิวตัน-เมตร สำหรับเครื่องยนต์เป็นแบบเบนซินแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 2 ลิตร วาล์วแปรผัน 2 ฝั่ง หรือที่เราคุ้นเคยกันกับชื่อเรียกภาษาฝรั่งว่า Double VANOS ที่ทำงานร่วมกับเทอร์โบคู่ TwinScroll ที่ให้กำลัง 190 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตัน-เมตร ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันจะให้พละกำลังสูง 299 แรงม้า และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร โดยตามสเปคให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 6.3 วินาที อ่อเกือบลืมบอกไปว่าเจ้า 530 e M SPORT PRO เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังนะครับ
ซึ่งฟิลลิ่งของขุมพลังต้องบอกว่าตัวเลขที่ไม่กระโดดข้าม 300 แรงม้านั้น สำหรับรถยุคนี้ต้องบอกว่าไม่แรงอะไรมากมาย เพราะยุคนั้น 400 หรือ 500 แรงม้า นั้นทำกันง่ายๆ ซึ่งเจ้า 530 e M SPORT PRO ก็เป็นอย่างนั้น คือด้วยน้ำหนักตัวรถที่แบกถึง 2 ตันกว่า พละกำลังอาจไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดกระชากใจอะไรมากนั้น แต่บอกเลยใช้งานได้อย่างเพียงพอ ขับทางไกลสบายๆ แรงเหลือๆ ตามสไตล์รถกึ่งผู้บริหาร แต่จุดที่น่าสนใจผมอาจไม่ได้มองเรื่องพละกำลังมากมายนัก แต่เรื่องระบบช่วงล่างนี่สิ ที่ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปจากซีรี่ส์ 5 ตัวเดิม
เจ้า 530e M-Sport Pro G60 ตัวนี้มีการปรับจูนฟิลลิ่งช่วงล่างใหม่ ให้เป็นสไตล์นุ่มนวลขึ้น ลดความสปอร์ตลง โดยช็อคอัพแบบ Adaptive แปรผันความหนืดไปตามสภาพเส้นทาง ด้านพวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้า Servotronic มอเตอร์และวาล์วควบคุมแรงดันน้ำมัน แปรผันอัตราทดและน้ำหนักไปตามโหมดขับกับความเร็ว ณ ขณะนั้น ซึ่งฟิลลิ่งของพวงมาลัยชุดนี้ ถ้าถามผมรู้สึกว่าเซ็ตมาเพื่อความนุ่มนวลในการขับขี่มากกว่าความสปอร์ต คืออารมณ์ของพวงมาลัยมันจะไม่ได้คมมาก แต่ควบคุมง่าย ซึ่งสอดคล้องกับช่วงล่างที่ถูกเซ็ตมาในแบบลักษณะเดียวกันนี้ ขณะที่ระบบเบรกได้มากับชุดเบรก M แถมได้ระบบรีเจน ที่มาช่วยเบรกแบบ Adaptive อีกต่างหาก โดยการรีเจนจะตรวจจับกับรถคันหน้าแบบชาญฉลาด เพื่อควบคุมการหน่วงความเร็ว ถือเป็นตัวช่วยเบรกได้อย่างดีทีเดียว สำหรับตัวรถที่น้ำหนักกว่า 2 ตัน
ปิดท้ายที่เรื่องราคา ซึ่ง 530e M Sport Pro ตัว G60 ใหม่ล่าสุดนี้เป็นตัวประกอบในประเทศ ราคาถือว่าดีเลยทีเดียว โดยเปิดราคาไม่ข้าม 4 ล้าน อยู่ที่ 3,949,000 บาท ด้วยรูปลักษณ์ที่ปรับใหม่ แถมยัดออปชั่นให้มาแน่นขนาดนี้ บวกกับชื่อชั้นของแบรนด์ BMW ผมถือว่าเป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ก็อย่างที่บอกแหล่ะครับ ว่าซีรี่ส์ 5 ตัวใหม่นี้ ฟิลลิ่งการนั่งหรือการขับขี่ มันเปลี่ยนตัวเองไปพอสมควร คนที่เคยชอบความสปอร์ตในแบบฉบับของ BMW ผมอยากให้ลองก่อนครับว่า ฟิลลิ่งที่เปลี่ยนไปนี้ มันใช่ฟิลลิ่งที่ตัวเองอยากได้รึป่าว เพราะเดี๋ยวซื้อมาไม่ชอบ ปล่อยต่อราคามือสองช่วงนี้ ไม่ว่ารถอะไรก็ราคาตกหนักเอาเรื่อง จะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะครับ