อย่างที่รู้ว่าปีหน้า 2026 ศึกเอสยูวีสายลุยคงเดือดไม่น้อย เพราะจ้าตลาดอย่างโตโยต้า ได้เปิดตัว Land Cruiser FJ (FJ ย่อมาจาก Freedom & Joy) ในงานJapan Mobility Show 2025 ก่อนจะเข้ามาขายในประเทศไทยไม่เกินกลางปีนี้ และที่สำคัญเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทยบ้านเรานี่แหละ
ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ Toyota ก็เคยออกรถในชื่อ FJ Cruiser มาแล้วเมื่อปี 2006 ขายลากยาวมาจนถึงปี 2016 (10 ปีอีกแล้วสินะ) ก็ดีครับ ไม่ต้องไปตั้งชื่ออะไรใหม่ให้ต้องจำ สลับหน้าสลับหลังแบบนี้แหละง่ายดี แล้วมันก็เป็นรถสไตล์เดียวกันอยู่แล้วด้วย เอาว่าอยู่ในสารบบของ Land Cruiser นั่นแหละ แน่นอนว่าภายใต้ชื่อ Land Cruiser มันหนีไปทางไหนไม่ได้นอกจากการเป็นรถ SUV สายลุยแบบสมบุกสมบันขึ้นเขาลงน้ำลุยโคลน
Toyota Land Cruiser FJ จัดว่าเป็นรถในตระกูล Land Cruiser ที่ย่อส่วนลงมาจาก Land Cruiser ถ้าเอามาจอดเทียบกันจะเห็นชัดเลยว่า Land Cruiser FJ มีขนาดกระทัดรัดกว่ามาก ซึ่งผมว่าไซส์ประมาณนี้แหละเหมาะกับการใช้งานในประเทศไทยโดยเฉพาะในเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป จอดง่าย ขับขึ้นตึกจอดรถสบาย ใช้งานได้หลากหลาย เอาเป็นว่ามันสามารถเป็นรถคันเดียวในบ้านที่พาครอบครัวไปได้ทุกที่
โดยตัวเลขมิติตัวรถถูกแจ้งไว้อย่างเป็นทางการว่ารถคันนี้มีความยาว 4,575 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,960 มม. และมีความกว้างฐานล้อหน้า-หลัง (Wheelbase) 2,580 มม. ซึ่งตัวเลขฐานล้อที่บอกว่า 2,580 มม. นี่มันเท่ากับเจ้ากระบะ Toyota Hilux Champ รุ่น Super SWB (Short Wheelbase) เป๊ะเลย ก็แน่นอนล่ะครับ ว่าโตโยต้าเค้าเปิดตัว Hilux Champ รุ่น Super SWB ก็มาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ เพราะเจ้า Land Cruiser FJ มันใช้พื้นฐานแชสซีส์เดียวกับกระบะคันที่ว่านี่แหละครับ ซึ่งก็อยู่ในโครงการ IMV ของ Toyota เหมือนกัน
รูปทรงภายนอกยังคงสไตล์กล่อง Boxy เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางบรรพบุรุษ ซึ่งก็น่าจะถูกใจแฟนรถแนวนี้รวมถึงผมด้วย ภายในห้องโดยสารก็ยังคงดีไซน์แข็งๆ ทื่อๆ หนักแน่น ไม่เน้นการตกแต่งแพรวพราวหรือวัสดุหรูหรา ห้องโดยสารตอนหน้าน่าขับน่านั่งน่าออกทริป แต่ด้านหลังนี่สิ ดูมันจะคับแคบไปหน่อย ยิ่งถ้าต้องนั่งเดินทางนานๆ น่าจะไม่สบายสักเท่าไหร่โดยเฉพาะถ้าเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ รายละเอียดภายนอกและภายในผมจะยังไม่พูดอะไรมาก ไว้ให้เปิดตัวได้เห็นได้ลองขับจริงๆ แล้วค่อยว่ากันอีกทีครับ
มาถึงขุมพลังของ Toyota Land Cruiser FJ ก็ได้รับการยืนยันมาแล้วเช่นกันว่ารถที่จะเปิดตัวในช่วงแรกจะมีทางเลือกเดียวคือเครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น ซึ่งหลายคนเดาผิดเพราะพูดหรือคาดการณ์กันมาอย่างมั่นใจว่าจะต้องใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ อาจเป็นเพราะเห็นว่าใช้พื้นฐานกับแชสซีส์ของ Hilux Champ ล่ะมั้ง โดยเครื่องยนต์ที่วางมาใน Land Cruiser FJ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2TR-FE ขนาดความจุ 2,694 ซีซี (พิกัด 2.7 ลิตร) 4 สูบ Dual VVT-i ไม่มีเทอร์โบ พละกำลัง 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 246 นิวตันเมตร
แน่นอนว่าพอประกาศว่าจะมากับเครื่องยนต์ตัวนี้ คอมเมนต์มากมายก็ตามมา ไม่แรงบ้างล่ะ กินน้ำมันบ้างล่ะ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แล้วทำไมมันถึงมากับเครื่องยนต์เบนซิน? เท่าที่รู้มาเกิดจากขั้นตอนการพัฒนารถรุ่นนี้ที่บุคลากรมีจำนวนจำกัดจัดสรรกันไม่ลงตัว โดยเฉพาะในส่วนรับผิดชอบเรื่องค่าการปล่อยไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลกับการนำมาติดตั้งในบอดี้นี้ ซึ่งถ้ารอจนว่าจะลงตัวคงกินเวลาไปอีกไม่น้อย มันจะไม่ได้ขายกันสักที ส่วนใครที่บอกว่าจะไปยากอะไร ก็เอาเครื่องดีเซลที่มากับปิ๊กอัพ Travo ที่เพิ่งเปิดตัวมาวางเสียก็สิ้นเรื่อง แหมพี่…มันไม่ง่ายขนาดนั้น!
แต่สำหรับผมไม่รู้สึกแปลกใจหรือผิดหวังอะไร ไซส์รถขนาดนี้ กับแรงม้าแรงบิดเท่านี้ มันก็ไม่ได้อืดเป็นเต่าหรอกครับ แต่ถ้าในแง่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อันนี้เข้าใจได้เพราะเราอยู่ในยุคน้ำมันแพง ระบบส่งกำลังใช้เป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-Time โหมดขับเคลื่อนมีให้เลือก 2H , 4H , 4L พร้อมด้วย Diff-Lock ล้อหลังตามมาตรฐานรถประเภทนี้ ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าดับเบิ้ลวิชโบน ด้านหลังเป็น 5-Link ใช้คอยล์สปริงแทนแหนบ รายละเอียดเจ้า Land Cruiser FJ คร่าวๆ ก็จะประมาณนี้
แน่นอนว่าลงสนามแล้วก็ต้องมีคู่แข่ง มันจะมีรถสักกี่รุ่นที่ยืนเดี่ยวแบบไม่มีคู่แข่งก็คงไม่มี สำหรับ Toyota Land Cruiser FJ ที่จะมาขายในประเทศไทยหลายคนรวมถึงผมมองว่า ถ้าเป็นรถที่จำหน่ายโดยบริษัทแม่ ไม่ใช่ผู้นำเข้าอิสระ คู่แข่งหลักๆ ในประเภท สไตล์ ระดับราคาใกล้เคียงกัน และยังเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ไม่ใช่รถ EV ไฟฟ้า 100% ก็น่าจะมีแค่ Suzuki Jimny กับ Tank 300 เพราะเป็นรถในลักษณะเดียวกันชัดเจน แต่สำหรับผม Jimny ผมตัดออกก่อนเลย ถ้าในแง่ของลักษณะรถอันนั้นพอเข้าใจ แต่ขนาดตัวรถมันคนละเรื่อง ส่วน Tank 300 อันนี้เข้าท่า! เพราะขนาดมันใกล้ๆ กัน และถ้าจะให้สมน้ำสมเนื้อกับ Land Cruiser FJ ที่เริ่มแรกจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน (รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลจะมาเมื่อไหร่ หรือจะมาจริงหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้) ผมว่าต้องจับมาชนกับตัว HEV มันถึงจะสนุก คันหนึ่งใช้เครื่องเบนซินขนาดใหญ่ 2.7 ลิตร ส่วนอีกคันเครื่องเล็ก 2.0 ลิตร แต่มีเทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ว่าด้วยเรื่องขนาดตัวรถ Tank 300 ใหญ่กว่า Land Cruiser FJ แต่ก็ไม่มาก รูปแบบกับสไตล์รถมาทางเดียวกัน บึกบึนแข็งแกร่งพร้อมลุย ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสื่อมวลชนและเจ้าของรถ Tank 300 โดยเฉพาะในต่างประเทศก็ชมกันเหลือเกินว่ามันเป็นรถสไตล์ Off-Road ที่ลุยได้ดีเหลือเกิน แม้กระทั่งยางก็ให้แบบ A/T (All Terrain) มาจากโรงงานเลย เรื่องดีไซน์ภายนอกขึ้นกับความชอบของแต่ละคน แต่ภายในห้องโดยสารมันเริ่มเห็นความต่าง
ฝั่งของ Land Cruiser FJ เขาเน้นความดิบๆ ของเล่นไม่เยอะ เอาง่ายๆ ว่าเน้นใช้งานในส่วนที่จำเป็นตามสไตล์รถลุย ฟังก์ชั่นทันสมัยไม่ต้องเยอะแยะให้วุ่นวาย แต่ทาง Tank 300 เขาหรูหราหมาเห่ากันมาเลย อย่างเบาะนั่งก็เล่นหุ้มหนัง Nappa เกรดเดียวกับรถยุโรป ไฟ Ambient Light เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับมีระบบนวด หน้าจอกลางขนาดใหญ่ลูกเล่นแพรวพราว เครื่องเสียงแน่นตึ้บ เบรกมือไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมายที่เราพบเจอได้ในรถเก๋งหรูๆ ซึ่งถ้าเทียบภายในของสองคันนี้ มันไปกันคนละทาง
ส่วนตัวผมมองว่า ภายในห้องโดยสารของ Tank 300 มันได้ความทันสมัยหรูหรา (ตามสไตล์รถจากประเทศจีน) และพื้นที่ผู้โดยสารด้านหลังที่กว้างกว่า ได้เปรียบเรื่องความคุ้มค่าไปเต็มๆ ในขณะที่ภายในห้องโดยสารของ Land Cruiser FJ เน้นอุปกรณ์ใช้งานเท่าที่จำเป็น วัสดุตกแต่งหรูหราไม่ต้องพูดถึง ไม่มี แต่สำหรับสายลุยและคนที่ไม่ได้สนใจเทคโนโลยีฟังก์ชั่น และกลัวว่ามันจะพังเร็วอย่างผม แค่นี้ก็เพียงพอต่อการใช้งาน โดยเฉพาะเบรกมือของ Land Cruiser FJ ที่ขัดใจหลายคนว่าทำไมไม่ให้เบรกมือไฟฟ้า แต่ผมจะบอกให้ว่าสายลุย Off-Road ตัวจริง เบรกมือแบบด้ามดึงโบราณๆนี่แหละที่พวกเขาต้องการ มันทนทานดูแลรักษาง่ายดี
ขุมพลัง Land Cruiser FJ ก็นับว่าเป็นรองอีกเหมือนกัน เพราะได้จากเครื่องยนต์สันดาปเพียวๆ ในขณะที่ Tank 300 มีทั้งเทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังรวมของ Tank 300 HEV อยู่ที่ 350 แรงม้า แรงบิดสูงสุดล่อไป 616 นิวตันเมตร ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งนอกจากการปรับระบบขับเคลื่อน 2H , 4H, 4L แล้ว ก็ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกอีกด้วยทั้ง Normal , Sport , Eco , Mud , Sand , Snow รวมถึงมี Diff-Lock แบบไฟฟ้าทั้งล้อหน้า และล้อหลัง รายละเอียดด้านสมรรถนะโดยคร่าว Tank 300 HEV ได้เปรียบเห็นๆ
ถึงตรงนี้แล้วหลายคนน่าจะบอกว่า ผมเอามาเทียบกันทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่า Tank 300 ได้เปรียบแทบทุกเรื่อง แต่คุณเชื่อผมสิ จะต้องมีคนแบบผมอยู่ไม่น้อยที่อยากได้รถที่ลักษณะ สไตล์ และรูปทรงโดนใจ ไม่เน้นอุปกรณ์ฟังก์ชั่นอะไรมาก ไม่ได้สนใจเทคโนโลยีอะไรมากมายนัก เครื่องยนต์กลไกไม่ซับซ้อน เน้นความอึดถึกทน ดูแลรักษาง่าย อยู่ภายใต้แบรนด์ญี่ปุ่นอันดับหนึ่งที่มีโชว์รูมและศูนย์บริการเต็มบ้านเต็มเมือง สรุปสั้นๆง่ายๆเลยว่า
Toyota Land Cruiser FJ ตอบโจทย์ความต้องการผมครบเลย ติดเรื่องเดียวและเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย นั่นก็คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพราะก็ต้องทำใจว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตรมันก็น่าจะบริโภคเอาเรื่อง แต่สำหรับผมที่เป็นคนขับรถบนถนนทั่วไปไม่ได้ใช้ความเร็วสูงอะไรมาก และในแต่ละวันไม่ได้ใช้รถเยอะ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งถ้าจะรอ Land Cruiser FJ รุ่นย่อยที่เป็นเครื่องดีเซล ก็ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ หรือจะมารึเปล่า ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน รอดูเรื่องเดียวคือราคาของ Land Cruiser FJ ซึ่งค่าตัว ณ ปัจจุบันของ Tank 300 HEV Ultra AWD อยู่ที่ 1,449,000 บาท ผมเดาว่า Toyota Land Cruiser FJ เมื่อเปิดขายในประเทศไทย ก็น่าจะป้วนเปี้ยนอยู่ราวๆ นี้ ก็ต้องมาดูกันว่า สุดท้ายแล้วขาลุยสองคันนี้จะเป็นคู่กัดกันจริงหรือไม่ หรือสุดท้ายก็แค่รถคนละตลาดที่แยกลูกค้าออกจากกันชัดเจน
