Mercedes-Benz รุกตลาดรถ EV หรูในประเทศไทยอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง จัดมาครบทุกประเภท ทั้งซาลูน SUV หรือแม้กระทั่งรถสายลุยขาโหดอย่าง G-Class ก็มีเวอร์ชั่น EV ในเรื่องของราคารถ EV ของค่าย Mercedes-Benz ก็จับต้องได้ไม่ยากเสียด้วยเพราะราคามันอยู่ในระดับเดียวกันกับรถยนต์ไฮบริดของทางค่ายนั่นแหละครับ อย่าง EQE Saloon ที่ราคาเริ่มต้น 3.97 ล้านบาท ก็นับว่าน่าซื้อไม่น้อย ถ้าเทียบกับ E-Class ที่ราคาเริ่มต้นต่ำกว่าประมาณ 3 แสนบาท เติมเงินอีกนิด ได้รถ EV รุ่นใหม่ รูปลักษณ์ทันสมัย เทคโนโลยีท่วมคัน แต่ในเมื่อกระแสนิยมทั้งคนไทยและทั่วโลกส่วนใหญ่อยู่ที่ SUV ครั้งนี้ผมเลยจะมาพูดถึง EQE SUV ว่าเจ้ารถรุ่นนี้มันมีอะไรชวนให้เสียเงินบ้าง

ในรหัส EQE ภายใต้เรือนร่าง SUV ทาง Mercedes-Benz ประเทศไทยนำมาขายเป็นรุ่น EQE 350 4MATIC SUV โดยแบ่งเป็น 3 รุ่นย่อยคือ Electric Art ราคา 4,850,000 บาท รุ่น AMG Line ราคา 5,300,000 บาท และรุ่น AMG Dynamic ราคา 5,650,000 บาท


ทั้ง 3 รุ่นย่อยใช้พื้นฐานด้านสมรรถนะแบบเดียวกันคือ เป็นรถไฟฟ้า 100% โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า Permanently Excited Synchronous จำนวน 2 ตัวติดตั้ง หน้า-หลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้พละกำลัง 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนแรงดันสูง 396V ความจุ 89 kWh อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 6.6 วินาที ชาร์จเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 558 กม. (WLTP) การชาร์จแบบกระแสสลับ AC รองรับได้สูงสุด 11 kWh ชาร์จ 0-100% ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสตรง DC รองรับได้สูงสุด 170 kWh ชาร์จ 10-80% ใช้เวลาประมาณ 32 นาที และนี่ก็คือสิ่งที่ทั้ง 3 รุ่นย่อยใช้ร่วมกัน

แต่ในเมื่อราคาของแต่ละรุ่นย่อยจะว่าไปมันก็ห่างกันอยู่พอสมควร ดังนั้นสิ่งที่จะได้จากเงินที่ต้องเติมเข้าไปในแต่ละรุ่นมันมีอะไรที่เป็นไฮไลท์ และคุ้มค่ากับเงินที่ต้องเติมหรือไม่ เรามาดูกันครับ ในรุ่นเริ่มต้นอย่าง EQE 350 4MATIC SUV Electric Art ภายนอกก็จะดูเรียบๆ เน้นความหรูหราสไตล์นิยมของ SUV แบรนด์ยุโรป ไฟหน้าเป็น LED พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ มีบันไดข้างให้ขึ้น-ลงรถได้สะดวกมากขึ้น กระจังหน้าล้ำสมัย

ล้อใช้ขนาด 20 นิ้ว มากับระบบช่วงล่างแบบนุ่มสบาย Comfort suspension นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั่วไปไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ภายในห้องโดยสารก็ตกแต่งให้เข้ากับหน้าตาล้ำสมัยภายนอก เบาะหน้าปรับไฟฟ้ามีระบบอุ่นมาให้ หน้าจอแสดงผลใช้ขนาด 12.3 นิ้ว ส่วนหน้าจอกลางเป็นแบบ OLED Display ความละเอียดสูง ตกแต่งภายในโทนสีดำทั้งเบาะนั่งและวัสดุหุ้ม คอนโซลกลางสีดำเงา Gloss Black มีระบบจำโปรไฟล์ผู้ขับโดยใช้การสแกนลายนิ้วมือ

ระบบเครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto มีบริการ Mercedes Me Connect ผ่านสัญญาณ 5G ระบบมัลติมีเดียเป็น MBUX ส่วนระบบความปลอดภัยนอกจากระบบมาตรฐานทั่วไป ถุงลมนิรภัยมีมาให้ถึง 9 ตำแหน่ง มีระบบ Lane Keeping Assist ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ มี Blind Spot Warning



แต่หากคุณรู้สึกว่ารุ่นย่อยเริ่มต้นอย่าง Electric Art ดูเบสิคไปหน่อย แล้วการเติมเงินเข้าไปอีกสี่แสนห้าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย สิ่งที่คุณจะได้เพิ่มเติมเมื่อขยับขึ้นไปเล่นรุ่น AMG Line ก็คือ ระบบไฟหน้าแบบ Digital Light ที่ดูไฮเทคกว่า ภายนอกเพิ่มชุดแต่ง AMG รอบคัน ล้อยังเป็นขนาดเดิม 20 นิ้ว แต่เป็นล้อ AMG ที่ลวดลายสปอร์ตมากขึ้น

ภายในได้เบาะทรงสปอร์ต จอแสดงผลตรงกลางเป็น MBUX Hyperscreen มีลูกเล่น ความละเอียด สีสัน มากกว่าเดิม วัสดุตกแต่งจากพลาสติกสีดำเงา จะได้เป็นวัสดุที่หรูหราดูแพงมากขึ้นโดยทาง Mercedes ให้ชื่อว่า Antracite Open-pored Line Structure Lime Wood คือมันจะเป็นเหมือนลายไม้ที่ซ่อนฝังอยู่ บอกเลยว่าของจริงสวยมากครับ พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa ภายในโดยรวมแต่งเป็น AMG ทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่พรม และไม่ใช่แค่ภายนอกและภายในที่ได้สิ่งเพิ่มเติม ระบบความปลอดภัยก็ได้เพิ่มมาด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ระบบช่วยดึงรถกลับเข้าเลนเมื่อมีการเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางฉุกเฉิน รวมถึงกล้องเป็นแบบรอบทิศทาง 360 องศา

ส่วนลูกค้าที่พร้อมจะไปจบที่รุ่นท็อปกับราคา 5,650,000 บาท อย่าง AMG Dynamic ความแตกต่างจากสองรุ่นย่อยแรกที่จะได้ก็คือ ล้อขนาด 21 นิ้วลวดลายแตกต่างไปจากทั้งสองรุ่นเป็นก้านถี่ ระบบช่วงล่างให้ความนุ่มนวล และปรับให้กระชับได้เมื่อใช้ความเร็วสูงด้วยระบช่วงล่างถุงลม Airmatic Adaptive Damping

บนหลังคาหรูหรามากยิ่งขึ้นด้วยหลังคากระจกบานใหญ่เปิดได้ Panoramic Sunroof มีระบบ Head-up Display แสดงขึ้นที่กระจกหน้า ปิดท้ายด้วยระบบเครื่องเสียงสุดกระหึ่มระดับโลก Burmester 3D Surround แต่ที่ผมชอบคือ การแสดงผลแบบ Transparent Bonnet สำหรับการขับขี่แบบ Off-Road คือเมื่อใช้งานระบบนี้จะเห็นภาพเสมือนจริงของใต้ท้องรถด้านหน้าโชว์ขึ้นที่หน้าจอในขณะขับนั่นเอง

ด้วยราคาของแต่ละรุ่นย่อยที่จะว่าไปก็ห่างกันอยู่ค่อนข้างมากในขณะที่เป็นรถในโมเดลเดียวกัน ออปชั่น ฟังก์ชั่น อุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ และระบบความปลอดภัยที่ได้เพิ่ม น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องตัดสินใจสำหรับลูกค้าที่กำลังมอง EQE SUV คันนี้ ในมุมมองของผม โดยเฉพาะถ้าปัจจุบันผมใช้ Mercedes-Benz GLC อยู่ แล้วถึงเวลาที่กำลังจะเปลี่ยนรถ เจ้า EQE SUV คันนี้น่าจะเป็นคันแรกๆ ที่ผมนึกถึง ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าคนเป็นแฟนรถ Mercedes อยู่แล้ว ใช้รถยนต์ค่ายนี้มาตลอด รถคันต่อไปก็คงไม่น่าเปลี่ยนใจไปค่ายอื่น

บวกกับยุคนี้มันก็ยุครถ EV แล้ว Mercedes ที่เป็น SUV ก็มีที่เป็น EV ออกมาขายแล้ว จะไม่สนใจเลยก็คงกะไรอยู่ แต่ถ้าจะต้องเลือกรุ่นย่อย จริงๆ แล้วรุ่นเริ่มต้นอย่าง Electric Art ก็มีของมาให้ครบ เรื่องสมรรถนะการขับขี่ถ้าไม่เอาระบบช่วงล่างไปเทียบกับ AMG Dynamic มันก็รองรับการใช้งานไปเพียงพออยู่แล้ว เพียงแต่ตัวรถอาจจะดูเรียบๆโล้นๆ ไปหน่อยสำหรับบางคน

แต่ถ้าเป็นผม ถ้าสภาวะการเงินพร้อมที่จะเติมได้อีกสี่แสนกว่า ผมเลือก AMG Line เพราะเริ่มต้นจากภายนอกมันดูสปอร์ตขึ้นมาอีกหน่อย แต่ที่แน่ๆ คือภายในห้องโดยสารที่การตกแต่งถูกใจกว่ามาก มันทั้งดูสปอร์ตและดูแพง สีสันหน้าจอดูน่าเล่นน่าลองได้ทั้งวัน ส่วน AMG Dynamic ผมคิดว่ามันเป็นการเติมเงินจากรถบอดี้เดียวกันที่มากเกินไปหน่อย คุณลองคิดดูว่ารถรุ่นเดียวกันหน้าตาเหมือนๆ กัน แต่ถ้าจะเอาตัวท็อปสุด คุณต้องเพิ่มเงินจากรุ่นเริ่มต้นถึง 8 แสนบาท!

สำหรับผม ผมว่ามันมากไป และสิ่งที่ได้เพิ่มเติมมาจาก AMG Line ส่วนตัวก็ไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวครับ ถ้าเงินในกระเป๋าพร้อมก็จัดเลยครับ
