เผื่อบางคนที่ยังไม่รู้ว่าไอ้เจ้า Boxy Car มันคืออะไร ง่ายๆ ครับ มันคือรถทรงกล่องที่เหมือนเอากล่องสี่เหลี่ยมมาต่อกันระหว่างส่วนหัวรถกับตัวรถนั่นแหละครับ ซึ่งถ้าย้อนกลับในอดีต เอาแบบอดีตกาลนานโคตร รถสมัยนั้นเป็นทรงกล่องกันแทบทั้งนั้น เพราะเทคโนโลยีการผลิตตัวถังรถยนต์มันยังไม่ได้พัฒนาเหมือนสมัยปัจจุบัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ยุคจะเปลี่ยนไป วิวัฒนาการของการออกแบบรถยนต์มีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ก็ยังมีรถที่ยังคงรูปแบบ Boxy ออกมาให้เห็นเป็นระยะ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมันมักถูกนำไปใช้ในกองทัพเพื่อรองรับงานสมบุกสมบัน ไม่ต้องเอาดีไซน์สสวยอะไรมาก ขอแค่อึด ถึก ทน แค่นั้นพอ และถ้าพูดถึงรถทรง Boxy ที่ออกขายทั่วไป เราจะเห็นได้ในกลุ่มของรถสายลุยอย่างพวก Jeep, Land Rover, Mercedes-Benz และอีกหลายๆ ยี่ห้อ ไม่เพียงเฉพาะฝั่งอเมริกาหรือยุโรปเท่านั้นที่นิยมรถทรงนี้ แต่มันฮิตไปทั่วโลก และแน่นอนว่ามันก็ลามมาถึงรถในภูมิภาคเอเชียอย่างญี่ปุ่น ที่ยุคหนึ่งดีไซเนอร์คิดเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะสร้างรถสายลุยขึ้นมาสักรุ่น ไม่ว่าจะไซส์ไหน มันต้องเป็นทรงกล่องเหลี่ยมๆ ยกตัวอย่างถ้าเป็นไซส์ใหญ่ ชัดๆ เลยก็ Toyota ที่มี Land Cruiser เป็นตัวชูโรง รุ่นแรกออกมาปีค.ศ. 1951เพื่อใช้ในสงคราม และถ้าเป็นไซส์เล็กก็ Suzuki Jimny ที่รุ่นแรกออกมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1970
ไม่ใช่เฉพาะรถสายลุยเท่านั้น แต่ในช่วงหลังต่อๆ มา ด้วยรูปทรงแบบนี้มันส่งผลให้ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบายกว่ารถทรงราบๆ แบนๆ รถทรง Boxy จึงถูกนำมาสร้างเป็นรถครอบครัวใช้งานในเมืองด้วยเช่นกันและเป็นที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะรถในกลุ่ม K-Car หรือถ้าเป็นไซส์ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย และเป็นที่นิยมมากอยู่สมัยหนึ่งในประเทศไทย ใครขับก็เท่ห์ เพราะรถมันน่ารักเหลือเกิน ซึ่งที่ฮิตมากๆ เมื่อสัก 10 กว่าปีก่อนหนีไม่พ้น Nissan Cube และ Toyota bB ในยุครถนำเข้ากำลังฮิตทั้งรถใหม่ราคาหลักล้าน และรถ Used ที่นำเข้ามาในลักษณะจดประกอบที่ราคาถูกลงมาครึ่งหนึ่ง จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็มี แต่ไม่ฮิตเท่าสองรุ่นนี้ แต่แล้วพอถึงยุคหนึ่ง รถทรง Boxy ก็เริ่มหายไปจากเมืองไทย ไม่ต้องพูดถึงรถใหม่ป้ายแดง เพราะนอกจากผู้นำเข้าอิสระแล้ว ก็ไม่มีบริษัทแม่แบรนด์ไหนในประเทศไทยขายรถประเภทนี้อยู่แล้ว
แต่วันนี้ Boxy Car มันกลับมาแล้ว และที่สำคัญมันเป็นเทรนด์ของ Boxy สาย Off-Road ทั้งนั้นเลยด้วย ถามว่ามีรุ่นไหนบ้าง ตอบเลยว่าเยอะครับ หลายยี่ห้อ หลายขนาด หลายราคา แต่ครั้งนี้ผมจะยกตัวอย่างรุ่นที่น่าสนใจ กำลังขายดี หรือกำลังจะมาขาย และอยู่ในระดับราคาที่มนุษย์เงินเดือนซื้อได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าระดับล้านบวกลบประมาณนั้นพอ
SUZUKI JIMNY
คันแรกไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะมันเป็นที่ต้องการของหลายคนเหลือเกิน ติดอย่างเดียว แพงไปหน่อย แต่ที่ต้องตั้งราคานี้เพราะมันเป็นรถใหม่นำเข้าทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น เจอภาษีเต็มคาราเบ้ล มันคือ Suzuki Jimny ที่โมเดลล่าสุดเปิดตัวและนำเข้ามาขายในประเทศไทยพักใหญ่แล้ว แต่ผมเชื่อว่ามันก็ยังเป็นที่อยากได้ของหลายๆ คนอยู่ โดยในปริมาณที่มาเท่าไหร่ก็ขายหมด ส่วนใหญ่จอดอยู่ในบ้าน “คนมีกะตัง” ในฐานะของเล่น ประเภทที่ว่ารถราคา 1.7 ล้าน แต่งกันไป 3-4 แสน ผมเองยังอยากได้เลยเจ้า Jimny เนี่ย และอยากได้มาเป็นรถขับใช้งานทุกวันด้วยนะครับ ไม่ได้ซื้อมาเล่น มันเหมาะกับการใช้งานในกรุงเทพฯสุดๆ ด้วยขนาดตัวรถที่เล็กกระทัดรัดไปไหนมาไหนคล่องตัว หาที่จอดง่าย ซิกแซ็กในซอยแคบๆ ขึ้นตึกจอดรถแคบๆ แล้วการขับใช้งานในเมืองมันแทบจะไม่ได้ใช้ความเร็วสูงอะไรมากอยู่แล้ว กำลังเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร 102 แรงม้า กับแรงบิด 130 นิวตันเมตร ดูอาจจะน้อย แต่ใช้งานในเมืองที่รถติดมันก็เพียงพอ แถมยังได้เรื่องความประหยัดด้วย
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมีมาให้ แต่ถ้าขับแค่ในเมืองก็ไม่ต้องไปใช้มัน ปรับเป็นขับ 2 ล้อหน้าก็พอ เพราะมันเป็น 4WD แบบ Part-Time และที่สำคัญที่สุดที่ผมชอบคือ รถมันสูงดี เหมาะกับถนนในกรุงเทพฯ ที่เพียบพร้อมไปด้วยหลุม ฝาท่อ และน้ำท่วม ฟังก์ชั่นของเล่นภายในก็ไม่ได้ทันสมัยอะไรมาก ซึ่งผมชอบเพราะมันไม่วุ่นวายดี แล้วยังทน ไม่ต้องกลัวพังอีกด้วย แค่มีระบบแอร์อัตโนมัติ เครื่องเสียงต่อ Apple CarPlay กับ Android Auto แบบ Mirror Link ได้ Cruise Control มีมาให้ก็ดี แต่ขับในเมืองก็คงไม่ได้ใช้ แค่นี้เพียงพอเลยสำหรับผม ที่สำคัญใช้ไปเลยยาวๆ ไม่ต้องกลัวล้าสมัย เพราะรถทรงนี้มัน Infinity อมตะนิรันดร์กาล ไม่มีคำว่าเชย พูดแล้วก็อยากได้
GWM TANK 300
Boxy คันต่อมาไม่พูดถึงก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะตอนนี้มันกำลังฮิตและขายดีเหลือเกิน ที่สำคัญสื่อในต่างประเทศโดยเฉพาะสื่อยุโรปกับตะวันออกกลาง ชมกันฉ่ำ ซึ่งผมกำลังพูดถึงรถ Boxy จากประเทศจีนภายใต้หลังคา GWM อย่างเจ้า Tank 300 ครับ แรกเริ่มเดิมที ทาง GWM เปิดตัว Tank 300 ในประเทศไทยด้วยรุ่นที่เป็นไฮบริด หรือ HEV ซึ่งถ้าพูดถึงแค่รูปร่างหน้าตาของ Tank 300 มันเตะตามากๆ ตั้งแต่เปิดตัวแล้ว เพราะมันเป็นทรงแบบคลาสสิคตลอดกาล หลายคนก็มองว่ามันลอกแบบ Jeep Wrangler Rubicon มาชัดๆ มันก็ใช่ผมไม่เถียง แต่ถามกลับว่าแล้วมันเท่ห์มั้ยล่ะ แล้วถ้าคุณจะไปเอา Jeep คุณต้องจ่ายเท่าไหร่ล่ะครับ เมื่อเทียบกับรถที่รูปทรงเท่ห์เหมือนกัน แล้วยังเป็นไฮบริดด้วย ได้ทั้งพละกำลังที่ขับสนุก และยังประหยัด มากับค่าตัวไม่ถึง 1.5 ล้านบาท ราคาเท่านี้คุณได้รถ Off-Road สายลุยเท่ห์ๆคันหนึ่ง ซึ่งจะไม่ลุย เอามาขับใช้งานในเมืองก็ได้สบาย ระบบไฮบริดของเจ้าคันนี้เป็นการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบแปรผันเข้าไปอีก แล้วยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าด้วย พละกำลังรวมปาเข้าไป 350 แรงม้า กับแรงบิด 616 นิวตันเมตร
ถ้าคุณบอกว่าแค่นี้ไม่พอ ผมไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ระบบเกียร์เป็นอัตโนมัติ 9 สปีด และแน่นอนว่าขับเคลื่อน 4 ล้อ และถ้าใครตั้งใจซื้อไปลุยโดยเฉพาะ รถมันก็พร้อมให้คุณพามันไปได้ทุกที่ มีระบบล็อคเฟืองแบบไฟฟ้าทั้งหน้า-หลัง ยิ่งถ้าต้องลุยน้ำ มันมีฟังก์ชั่นหน้าจอแสดงระดับน้ำนอกตัวรถอีกต่างหาก ภายในห้องโดยสารมาตรฐานยุโรปเลย เบาะหุ่มหนัง Nappa มี Ambient Light สารพัดสี เบาะนั่งแถวหน้าไฟฟ้าทั้งคู่ ฝั่งคนขับมีระบบนวดอีกต่างหาก เครื่องเสียงมาเต็ม หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ พูดง่ายๆ ถ้าปิดตาพาเข้ามานั่ง มันคือรถหรูๆ คันหนึ่งเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม ก็คงมีคนประเภท Old School แบบผม ที่คิดว่า รถสายลุยกับระบบไฮบริด มันจะดีเหรอ? (จริงๆ แล้วมันดีนะ กำลังมันเยอะดี) รถแบบนี้ถ้าไม่เครื่องยนต์เบนซินเพียวๆ หรือเบนซินเทอร์โบ มันต้องดีเซลเทอร์โบไปเลย อึก ถึก ทน…แล้วก็เหมือนทาง GWM ได้ยินเสียงจากลูกค้าชาวไทย
เมื่อไม่นานมานี้จึงได้เพิ่มทางเลือกด้วยการเปิดตัว Tank 300 ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบออกมา โดยแบ่งเป็นรุ่นย่อย 3 รุ่น ต่างกันที่ออปชั่นต่างๆ แต่ยังคงพื้นฐานเดียวกัน และที่สำคัญรุ่นเริ่มต้น 2 รุ่นเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง สำหรับคนที่ไม่ได้คิดจะเอาไปลุยอะไรมากมายเน้นใช้งานในเมือง ซึ่งผมว่าเป็นแนวคิดและตัวเลือกที่ดี ส่วนรุ่นท็อปของ Tank 300 ดีเซล ยังคงมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร เทอร์โบแปรผัน VGT ให้พละกำลังพอประมาณที่ 184 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้วครับ เด็ดกว่านั้นคือในช่วงเปิดตัวเจ้า Tank 300 เครื่องยนต์ดีเซล มีโปรโมชั่นราคาพิเศษรุ่นเริ่มต้นที่ 999,000 บาท ไม่ต้องสงสัยครับ หมดเกลี้ยง โดยตอนนี้รุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ 1,049,000 บาท น่าสนใจมั้ยล่ะครับ
แถมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ บล็อกนี้ GWM ยังกล้ารับประกันเครื่องยนต์ถึง 1 ล้านกิโลเมตรเลยทีเดียว
JAECOO 6 EV
วันนี้จีนเป็นผู้เล่นในวงการรถยนต์รายสำคัญของโลก และแน่นอนว่าเขาก็แข่งกันเองด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าค่ายไหนมีรถแบบใด ค่ายอื่นๆ จะไม่มีได้ยังไง ซึ่งรถทรง Boxy คันต่อมาที่เข้าฟอร์มนี้ก็เป็นรถสัญชาติจีนเช่นเดียวกัน มันคือ Jaecoo 6 EV รถสไตล์สายลุยทรงกล่อง แล้วยังเป็นไฟฟ้า 100% อีกต่างหาก เข้าทางคนรุ่นใหม่ที่ชอบแซะกันว่า “เหม็นน้ำมัน” โดยที่มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ รูปทรงเป็นแบบ Boxy ชัดเจน แต่ถ้าเทียบขนาดตัวรถ จะเล็กกว่า Tank 300 และเอาจริงๆ มันดูไม่ Off-Road เท่า Jimny และ Tank 300 ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้
แต่อย่างน้อยระยะห่างของใต้ท้องรถกับถนนก็พอลุยได้ไม่ขัดเขิน แต่ก็อย่าห้าวมาก เพราะใต้ท้องรถมันคือที่อยู่ของแบตเตอรี่ก้อนโต Jaecoo 6 EV รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ มีพละกำลังที่ต่างกันพอสมควร โดยรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง RWD มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD มอเตอร์สองตัวหน้า-หลัง พละกำลังขึ้นไปเป็น 279 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร ขับสนุกเลยทีเดียว แต่จะเอาไปลุยสมบุกสมบันกระแทกกระทั้นคงไม่ค่อยเหมาะ โดยเฉพาะล้อที่ให้มาในรุ่น 4WD เป็นขนาดถึง 19 นิ้ว กับยางเกรดวิ่งทางเรียบทั่วไป มันไม่อำนวยต่อการขับแบบ Off-Road สักเท่าไหร่ แต่ก็ยังอุส่าห์มีโหมดการขับแบบนอกถนนมาให้หลายโหมด ทั้ง All Road / Slippery ทางลื่น / Muddy ลุยโคลน / Beach ขับบนพื้นทราย / Bumpy ทางขรุขระ
ภายในห้องโดยสารอาจไม่ได้ใช้วัสดุหรูหราเหมือน Tank แต่เน้นความสบายในขณะขับขี่ ระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ครบ ทั้งเครื่องเสียงเต็มระบบ เชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ลูกเล่นสีสันมาครบ ก็ถือว่าเป็นรถทรง Boxy ที่เก๋ไก๋น่าขับอีกคัน กับค่าตัวเริ่มต้นไม่ถึง 1.1 ล้านบาท จนไปถึงตัวท็อป 1.25 ล้านบาท
CHERY V23
สามคันแรกที่กล่าวไปคือออกมาขายทำตลาดในประเทศไทยกันไปเรียบร้อยและกำลังคึกคักมาก แต่เจ้ารถทรง Boxy มันคงไม่ได้แข่งกันอยู่แค่นี้ เพราะมีที่กำลังจ่อจะเปิดตัวกันในอีกไม่นานนี้ แล้วก็น่าจะมาเขย่าวงการรถกลุ่มนี้ให้สนุกตื่นเต้นเข้าไปอีก เริ่มจากข่าวคราวการเดินทางมาของ Chery V23 ที่ใกล้จะขึ้นฝั่งไทยในอีกไม่กี่เดือน และที่สำคัญผมบอกเลยว่าเป็น Boxy ไฟฟ้าไซส์กระทัดรัดน่ารักน่าชังไม่แพ้ Suzuki Jimny เลยทีเดียว รายละเอียดรุ่นย่อยยังไม่สามารถบอกได้เพราะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีสเปคคร่าวๆ ให้ได้ชมกันก่อนครับ โดยรุ่นย่อยที่ทำตลาดในประเทศจีนตอนนี้แบ่งเป็น 3 รุ่น คือ Standard RWD มอเตอร์ตัวเดียวขับเคลื่อนล้อหลัง พละกำลัง 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ต่อด้วยรุ่น Long Range RWD ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงม้าและแรงบิดเท่ารุ่น Standard แต่ใช้แบตเตอรี่ต่างชนิดและมีความจุมากกว่า ทำให้ต่อการชาร์จเต็มสามารถทำระยะทางได้ไกลกว่ารุ่น Standard อีกประมาณ 145 กม.
ส่วนรุ่นท็อปสุดเป็น Dual Motor AWD ขับเคลื่อน 4 ล้อ 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 292 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ และถูกเคลมระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จเต็มได้ที่ 470 กม. ภายในห้องโดยสารเน้นดีไซน์โล่งๆ ไม่มีอะไรเกะกะ หน้าจอกลางขนาดใหญ่สไตล์พี่จีน การออกแบบอุปกรณ์ภายในเป็นทรงเน้นลุคแข็งแกร่ง แต่ของจริงจะเป็นอย่างไรรอชม ที่สำคัญแว่วมาว่าราคาเร้าใจเหลือเกิน เพราะอยู่ในระดับเดียวกับรถ EV ขนาดเล็กที่ขายดิบขายดีกันอยู่ในประเทศไทยตอนนี้
TOYOTA LAND CRUISER FJ
Boxy คันสุดท้ายบอกเลยว่ามีคนรออยู่เยอะมาก แล้วได้รับการยืนยันมาแล้วว่า มาแน่! และที่สำคัญที่สุดคือ ประกอบในประเทศไทย โดยโตโยต้าส่งเข้าประกวด ซึ่งใช้แพลทฟอร์ม Body on Frame ลักษณะเดียวกับ Revo และ Fortuner โดยยังไม่รู้ว่าจะมากับขุมพลังไฮบริด กับเครื่องยนต์เบนซินไซส์ไหน แต่ถ้าให้เดาแบบที่ Toyota ไม่ต้องลงทุนอะไรมากก็ยกเอาตัวที่อยู่ใน Corolla Cross มาวางก็ไม่เสียหาย เพราะประสิทธิภาพเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังรวม 122 แรงม้า มันก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมในกรณีที่เป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า แต่ถ้าถามผมนะ สมมุติว่ามากับขุมพลังไฮบริดจริงๆ หนึ่งตัวเลือกขุมพลังที่น่าสนใจสำหรับรถรุ่นใหม่นี้ก็คือ ตัวที่อยู่ใน Innova Zenix HEV นั่นแหละครับ เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 186 แรงม้า จะได้มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับรถค่ายจีนเขาหน่อย แต่ถ้าหากว่าเจ้ารถรุ่นใหม่นี้จะมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเพื่อให้เหมาะกับรูปร่างหน้าตาของมัน การจะใช้ขุมพลังไฮบริดที่มากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วย ก็ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับ Toyota ในประเทศไทยเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาขุมพลังไฮบริดในรถค่ายนี้ในประเทศไทยมีแต่ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าเท่านั้น
ส่วนถ้าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินเพียวๆ หรือเบนซินเทอร์โบ อันนี้ผมให้ความเป็นไปได้เท่ากับ 0% เบนซินล้วนๆ ยุคนี้ถือว่าล้าสมัยไปแล้ว และถ้าจะเป็นเบนซินเทอร์โบ ก็จะทำให้ราคาจับต้องยากเกินไปอีก ดังนั้นอีกหนึ่งคำตอบที่เป็นไปได้สูงก็คือ ดีเซลเทอร์โบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เครื่องยนต์ดีเซลของค่ายในพิกัด 2.4 ลิตรที่ใช้อยู่ใน Revo ตอนนี้ก็เกินจะพอ ผมบอกก่อนว่าที่กล่าวมาคือเดาล้วนๆ เลยนะครับ เพราะถ้ายังไม่เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการจริงๆ ผมยังไม่เชื่อใครทั้งนั้น
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างรถสไตล์ Boxy ในราคาที่จับต้องได้ง่ายที่มีทั้งขายแล้ว และกำลังเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งผมเชื่อว่ารถสไตล์นี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็น Timeless หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่าไม่มีวันตาย เพราะไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หากอะไรที่มันมีความอมตะ มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ มันก็สามารถถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา
