วันก่อนเห็นยอดจดทะเบียนรถประเภท MPV ประจำเดือนเมษายน 2568 มียอดรวมถึง 1,307 คัน จากกว่า 10 แบรนด์ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี จีน ยุโรป ที่ถาโถมเข้ามาทำตลาดในบ้าน

แบ่งเป็น Alphard-Vellfire 448 คัน, Majesty 209 คัน , Denza D9 จำนวน 149 คัน, Zeekr 009 จำนวน 136 คัน, Hyundai Staria 96 คัน, Kia Carnival 73 คัน, Nissan Serena 51 คัน, MG Maxus 39 คัน, Lexus LM 24 คัน, Xpeng X9 จำนวน 23 คัน, Honda Stepwagon 22 คัน, Mercedes-Benz Vito 17 คัน, Toyota Noah 16 คัน และ Volkswagen 4 คัน




ดูจากตัวเลขบอกได้คำเดียวว่า รถในกลุ่มนี้ ฝั่งญี่ปุ่นไม่เป็นรอง โดยเฉพาะโตโยต้ากรุ๊ป ซึ่งมีรถในตระกูล MPV ทั้งรถตู้ Majesty รถตู้ผู้บริหาร Alphard-Vellfire และพรีเมี่ยม MPV อย่าง Lexus LM ทั้ง 4 รุ่นกวาดตลาดเซ็กเมนต์นี้ไปเกือบ 70% ทำให้อดนึกที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมรถกลุ่มนี้ญี่ปุ่นยังคงครองตลาดอยู่ ทั้งที่ฝั่งจีนก็เปิดตัวรถมาได้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เหตุผลหลักๆ น่าจะเพราะความนิยมของผู้บริโภคชาวไทย ที่มีต่อรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ตอบคล้ายกันว่า พิจารณาจากความคุ้มค่า เริ่มตั้งแต่ราคาจับจองเป็นเจ้าของ ความสะดวกสบายในการใช้งาน และที่สำคัญคือบริการหลังขาย (เซอร์วิสและอะไหล่) กับราคาขายต่อ

นอกจากนี้หลายคนยังบอกว่ารู้สึกสะดวกกับการใช้งานระบบไฮบริดของรถยนต์ฝั่งญี่ปุ่น ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า เหมาะสมกับการใช้งานในเมืองไทยมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% โดยเฉพาะรถในกลุ่ม MPV ทั้งข้อจำกัดเรื่องสถานีชาร์จ เวลาชาร์จ ซึ่งรถกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ เป็นคนที่มีคนขับรถ จะให้มานั่งรอชาร์จไฟ คงไม่สะดวกแน่ๆ รวมไปถึงบ้านเรายังต้องเผชิญกับปัญหาฝนตกเล็กน้อยแต่น้ำดันท่วมใหญ่ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าหลายคนคิดว่ามันอาจจุกจิกหลังลุยน้ำ




และหากเปรียบเทียบราคาขณะซื้อ รถญี่ปุ่น ทั้ง Alphard-Vellfire อาจมีราคาสูงกว่า แต่เมื่อคิดถึงตอนเซอร์วิส ซึ่งทั้ง 2 รุ่นอยู่ในตลาดบ้านเรามานาน ช่างคนไทยส่วนใหญ่แทบจะหลับตาซ่อมกันได้เลย และที่สำคัญอะไหล่มีพร้อม ต่างจากกรณีรถจีนซึ่งศูนย์บริการมีน้อยและอะไหล่รอนานมาก บางยี่ห้อแค่กระจกบังลมหน้าต้องรอกันหลายเดือน ทั้งๆ ที่อะไหล่ตัวนี้จัดอยู่ในประเภท “ฟาสต์มูฟวิ่ง พาร์ต” แท้ๆ

รวมไปถึงราคาขายต่อที่ชื่อของ Toyota ราคาขายต่อถึอว่าแข็งจริงในตลาด Alphard-Vellfire มือสองตอนนี้ก็ยังไปได้สวย บางรุ่นอย่างปีรุ่น 2020 ราคาซื้อใกล้เคียงกับราคาขาย เรียกว่า “กำไรใช้เห็นๆ” ส่วนรถยนต์จีน รวมถึง EV ตอนนี้ก็ยังไม่รู้หมู่หรือจ่า หากต้องการขายต่อ ไปเปลี่ยนคันใหม่ในอนาคต ราคาจะหล่นวูบขนาดไหน ต้องไปรอดูกันอีกที 5 ปีข้างหน้า


ในขณะที่ MPV จากฝากฝั่งยุโรป หลายคนก็อาจกลัวกับค่าบริการ และอะไหล่ที่แพง รวมไปถึงราคาขายต่อก็ตกฮวบเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน หลายคนก็เลยถอย

โดยสรุปในกลุ่มรถ MPV อย่างไรเสีย ทั้ง Alphard-Vellfire ก็ยังได้เปรียบรถยนต์ MPV แบรนด์อื่นอยู่ หากแต่ถ้าไม่ขยับออปชั่นหลายคนอาจเอียงไปทางฝั่งจีน ที่อัดออปชั่นมาแน่นรถ แต่ก็อย่างว่าทีมการตลาด Toyota ฝีมือไม่ธรรมดา คาดการณ์ความต้องการของตลาดแบบเป๊ะ ผลิตออกมา หรือนำเข้าเอาเท่าที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่ผลิตออกมาท่วมตลาด แล้วเอามาเลหลังลดราคาขาย นี่ยังไม่รวมถึงการปล่อยให้เหล่าเกรย์มาร์เก็ตขายกันเองอีก ซึ่งถ้ามองในมุมการตลาด Toyota กำไรต่อหน่วยดีแน่นอน แต่ถ้ามองมุมผู้บริโภค ก็อย่างที่บอก เพิ่มออปชั่นมาให้อีกหน่อย ก็น่าจะดีนะครับ

















