แม้ตลาดรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหา หนี้ครัวเรือนสูง ความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ประเทศไทยมียอดขายรถเพียงแค่ 3 แสนกว่าคันคัน ลดลงเกือบ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มตลาดรถยนต์นั่งลดลงนิดหน่อยแต่ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตันลดลงมากถึง 12.7%

แต่โตโยต้า เบอร์หนึ่งของตลาดยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศก้าวไปข้างหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงโตโยต้าเองจะยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดสูงสุดและครองอันดับหนึ่งในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์

มร. โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ยอมรับว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ด้วยไลน์อัพของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของโตโยต้า ทำให้เรายังคงรักษาผู้นำและมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดทั้ง 7 เซ็กเมนต์

โดยเฉพาะแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่โตโยต้ายังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์ Multi-Pathway” (มัลติ-พาทเวย์) ภายใต้แนวคิดที่โตโยต้าใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์แห่งอนาคต โดยเน้นการใช้พลังงานและเทคโนโลยีที่หลากหลาย ไม่จำกัดอยู่เพียงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) เพียงอย่างเดียว แต่จะครอบคลุมเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละตลาดและลูกค้าทั่วโลก

เราได้เห็นการเติบโตของตลาด xEV และ SUV ได้ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ BEV ในกลุ่มตลาด xEV เติบโตขึ้นด้วย หากแต่เมื่อพิจารณาด้านการใช้งานจริงแล้ว เรายังเชื่อมั่นว่ารถยนต์ HEV ยังคงมีบทบาทสำคัญ สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับตลาดโลก สำหรับกลุ่มตลาด SUV มีกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ หรือ D-SUV ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และรถ BEV ทำให้ยอดขายรถ SUV ในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงสุดในประเทศไทย


ดังนั้นวันนี้โตโยต้าจึงได้แนะนำรถยนต์ 2 รุ่น ที่จะมาช่วยเสริมไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของโตโยต้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ได้แก่ bZ4X ใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า BEV อเนกประสงค์ D-Segment เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่กำลังมองหารถ SUV ขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้ในปี 2565 โตโยต้าได้แนะนำรถ BEV รุ่นแรกคือ bZ4X สู่ประเทศไทย ภายใต้มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า EV3.0 ของรัฐบาลไทย แต่เนื่องจากขีดจำกัดด้านการจัดสรรจำนวนรถในเวลานั้น ทำให้เราขายเพียงแค่ 132 คัน

แต่สำหรับ bZ4X ใหม่จะนำเข้าจากญี่ปุ่นในรูปแบบ CBU และเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ด้วยเป้าหมายยอดขายที่มากกว่าเดิม ถึง 6,000 คันในช่วงปีแรก

bZ4X ใหม่ถือเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์อีกขั้น ด้วยดีไซน์การออกแบบที่สะดุดตาและน่าดึงดูด ใช้เวลาในการชาร์จเร็วขึ้น และที่สำคัญ ในรุ่นระบบขับเคลื่อนล้อหน้าที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ยังสามารถทำระยะการขับขี่ได้ถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ภายใต้มาตรฐาน NEDC ซึ่งไกลกว่ารถหลายรุ่นด้วยกัน พละกำลังสูงสุดได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และติดตั้งระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบมาตรฐานโตโยต้าในทุกรุ่นย่อย


อีกรุ่น คือ NEW YARIS ATIV HEV จริงๆ เราแนะนำ YARIS ATIV สู่ตลาดรถอีโคเซ็กเมนต์ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2560 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าชาวไทย มียอดขายสะสมรวมกว่า 280,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน


YARIS ATIV HEV เราปรับขนาดของเครื่องยนต์จาก 1.2 ลิตร เป็น 1.5 ลิตร และดัวยเทคโนโลยีไฮบริดที่เชื่อถือได้ของโตโยต้า NEW YARIS ATIV HEV สามารถมอบสมรรถนะอันทรงพลังและประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนาน โดยมีอัตราสิ้นการใช้เชื้อเพลิงไฮบริดที่ดีที่สุดในประเทศไทย ที่ 29.4 กม./ลิตร โตโยต้าตั้งเป้าหมายการขายไว้ 20,000 คัน ในปีแรก

ที่สำคัญ เรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ YARIS ATIV ได้มีส่วนสร้างการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างยั่งยืน นับตั้งแต่การมีส่วนร่วมของวิศวกรชาวไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้น ยังใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศถึง 73% ผลิตภายใต้คุณภาพมาตรฐานระดับโลกของ โตโยต้า ณ โรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้าเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายยังกว่า 34 ประเทศทั่วโลก เรายังมีระบบการจัดการชิ้นส่วนอะไหล่และเครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุม กับโชว์รูมและศูนย์บริการกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ


ด้านนายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ย้ำว่า YARIS ATIV จะโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถคันแรก ส่วนใหญ่พักอาศัยคอนโดฯ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ โดยเฉพาะความประหยัดที่ 29. 4 กม./ลิตร น่าจะเทียบเท่ากับรถEV ได้เลย ดังนั้นจึงไม่กังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากรถอีวีที่มีราคาค่อนข้างต่ำ ส่วนคู่แข่งในกลุ่มไฮบริดด้วยกันเองเราก็เชื่อว่ามีสเป็กเหนือกว่า ถือเป็นเบสต์อินคลาสในรุ่นเลยทีเดียว

เรามั่นใจว่าลูกค้ายังให้ความเชื่อมั่นกับแบรนด์โตโยต้า เนื่องจากนโยบายของเราดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นซื้อรถไปจนถึงวันสุดท้ายที่เลิกใช้งานรถ ดังนั้นความคุ้มค่าของลูกค้าโตโยต้าก็จะเกิดขึ้นตลอดอายุขัยของการใช้งานโดยเฉพาะโตโยต้ามีโชว์รูมมากถึง 450 แห่งเรียกว่า ระยะห่างระหว่างโชว์รูมต่อโชว์รูมทั่วประเทศไม่เกิน 50 กิโลเมตร

นอกจากนี้ในแผนปีนี้โตโยต้าจะเริ่มผลิตรถ EV ในประเทศไทย เป็นกระบะไฮลักซ์ BEV รุ่นแรกที่เลือกกระบะก็เพราะว่า ใช้โลคอล คอนเทนต์สูงมากปัจจุบันประมาณ 94% ซึ่งน่าจะมีโอกาสก้าวไปสู่เนชั่นแนลคาร์ของเราได้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ ส่วนในอนาคตก็น่าจะมีรุ่นอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา

ตลาดในแต่ละประเทศมีความสำคัญของตัวเอง อย่างเช่น บ้านเราเป็นฐานผลิตปิกอัพ มีกำลังผลิตเหลือเฟือทั้งตลาดในประเทศและส่งออก ถ้าจำได้ตลาดรถยนต์บ้านเราเคยขยายตัวไปถึง 1.4 ล้านคันต่อปี โดยโตโยต้าเองเคยมียอดขายถึง 500,000 คัน แต่วันนี้ตลาดลดลงเยอะ ดังนั้นที่หลายฝ่ายมีความรู้สึกว่าประเทศไทยถูกลดความสำคัญลงหรือเปล่า ขอยืนยันว่าประเทศไทยยังถูกยกเป็นโปรดักต์ชั่นฮับ ซึ่งมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์ มัลติ-พาทเวย์