เห็นรถยนต์จากประเทศจีน ถาโถมเข้ามาทำตลาดในบ้านเราแบบรัวๆ โดยเฉพาะในกลุ่มระดับราคา 6-8 แสนบาท ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ บอกตามตรงก็รู้สึกเหนื่อยแทนแบรนด์ญี่ปุ่นซึ่งทำตลาดมาก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าจะต้องพลิกตำราสู้แบบไหนดี

แต่ยังไงก็ต้องยกนิ้วให้สำหรับนักสู้สายเลือดซามูไร ที่ไม่มีวันยอมถอย ยอมแพ้เด็ดขาด เช่นเดียวกับค่ายซูซูกิ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะประกาศปิดโรงงานในไทย ซึ่งกำหนดไว้ปลายปี 2568 นี้ แต่นั้นไม่ใช่การถอย เป็นแค่เพียงปรับโครงสร้างทางธุรกิจ ที่มองว่าโรงงานของซูซูกิเอง มีอยู่เกลื่อนกลาดหลายประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย, อินเดีย และญี่ปุ่น

ดังนั้นการเลือกยุติโรงงานผลิตในประเทศไทย หันไปนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านแทน น่าจะช่วยลดความซ้ำซ้อน และให้ประโยชน์มากกว่าโดยเฉพาะต้นทุน ส่งผลให้การแข่งขันกับคู่แข่งทั้งจีน เกาหลี ดูสมน้ำสมเนื้อมากขึ้น และยืนยันว่าพร้อมอยู่คู่คนไทยไปอีกยาวนาน

โดยไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซูซูกิพร้อมส่งรถยนต์พลังงานทางเลือกเข้ามาเสริมทัพ ทั้งไฮบริด และ EV จากเทรนด์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย ที่กำลังเทน้ำหนักไปทางเทรนด์รักษ์โลก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นซูซูกิจำเป็นต้องนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และสร้างความเป็นยูนิคให้กับแบรนด์ตัวเอง

ล่าสุดยังได้ยกระดับเซอร์วิส เปิดศูนย์บริการซ่อมสี-ตัวถังมาตรฐานอีก 3 แห่ง ซูซูกิ สุโขทัย ออโต้โมบิล (สำนักงานใหญ่) , ซูซูกิสุโขทัย สาขาสวรรคโลก และ ซูซูกิเจียงอุดร จากปัจจุบันที่มีกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ และสิ้นปีนี้จะมีครบ 50 แห่งทั่วประเทศ จาก 91 โชว์รูม

สำหรับจุดขายงานซ่อมจะเน้นอะไหล่แท้, บริการแบบมืออาชีพ, เครื่องไม้เครื่องมือมาตรฐานทันสมัย และใช้สีซ่อมรถยนต์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานของซูซูกิ ที่สำคัญยังรับประกันงานซ่อม 1 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และอะไหล่อีก 1 ปี

เห็นการปรับแผนรับมือรถจีน ที่เอาเซอร์วิสเป็นตัวชูโรง นับว่าเป็นช่องทางที่ดูดีมากเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมารถจีนยังมะงุมมะงาหรา กับปัญหาการบริการหลังการขาย ทั้งเรื่องระยะเวลาการรออะไหล่ ที่ทำให้การซ่อมต้องใช้เวลาเยอะ เผลอตัวพลาดไปเกิดอุบัติเหตุเข้าหน่อย ต้องรออะไหล่หลายเดือนเชียวล่ะ

นักเลงรถหลายคนมักกล่าวคล้ายกันว่า การเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์สักคันต้องดูความคุ้มค่า 3 ช่วง 1. ซื้อ 2. ใช้งาน 3. ขาย ทำให้หลายคนยังเชื่อว่า รถญี่ปุ่นอย่างไรยังได้เปรียบรถจีนจุดนี้อยู่พอสมควร แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจีนก็จะตามมาทันในเรื่องการบริการหลังการขาย ดังนั้น ค่ายญี่ปุ่น จึงต้องเร่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจกับความต้องการของผู้บริโภค

เอาล่ะก่อนที่จะไปถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งซูซูกิบอกจะมีของดีของแรงมาอวดโฉม เอาเป็นว่าหลายคนคงรู้แล้วล่ะว่าเป็นตัวไหนกับ Suzuki Fronx แต่ก่อนที่จะมาเปิดตัว วันนี้ทีมงาน CARZANOVA ขอพาไปสัมผัสเทคโนโลยี Mild Hybrid ที่อยู่ใน Suzuki XL7 Hybrid คันนี้กันก่อนครับ

สำหรับ XL7 Hybrid ตัวนี้บอกเลยว่าเป็นรุ่นเรือธงอีกตัวเลยทีเดียว รูปลักษณ์ทันสมัย ไฟหน้า LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน มีระบบไฟหน้า เปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Guide me มีไฟตัดหมอกคู่หน้า ส่วนไฟท้าย LED แบบ light guides



มือจับประตูด้านนอกโครเมียม มาพร้อมวัสดุตกแต่งประตูท้ายโครเมียม ติดตั้งราวหลังคา ซุ้มล้อสีดำ บังโคลนบริเวณล้อด้านหน้าและด้านหลัง ให้เป็นสปอร์ตพรีเมี่ยมกันเลยทีเดียว ส่วนล้อแม็กเป็นอะลูมิเนียมอัลลอยปัดเงา ใช้ยางขนาดไม่ใหญ่ 195/60 R16 ไม่ต้องกังวลค่ายางเวลาเปลี่ยนแต่ละที เพราะยางไซส์ 16 เดี๋ยวนี้ไม่กี่ตังค์


ส่วนออปชั่นก็ใส่เข้าไปไม่น้อย เน้นความสะดวกสบาย พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าปรับระดับสูง-ต่ำได้ ทรงสปอร์ตท้ายตัดซะด้วย มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย พร้อมปุ่มควบคุมระบบสั่งการโทรศัพท์

ระบบเครื่องเสียง แม้ไม่ได้พ่วงมากับแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำ แต่ก็มีลูกเล่นมาให้ทั้ง วิทยุ และ WMA พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ โดยลำโพงมีทั้งคู่หน้า คู่หลัง และทวีตเตอร์ นอกจากนี้ยังมีช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายบริเวณคอนโซลกลาง สะดวกสบายตอบโจทย์ยังเจนฯ ที่แต่ละวันใช้งานโทรศัพท์เยอะเป็นพิเศษ

กระจกไฟฟ้า ด้านคนขับปรับ ขึ้น-ลง อัตโนมัติ มีระบบเซ็นทรัลล็อกพร้อมปุ่มควบคุมบริเวณคนขับ ระบบเปิด-ปิดประตูอัจฉริยะ และ Keyless push start ระบบปรับกาศเป็นระบบอัตโนมัติด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีช่องแอร์บริเวณหลังคาให้ผู้โดยสารด้านหลังทั้งแถว 2 และแถว 3 เย็นสบาย

เบาะนั่งด้านคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ แถวหลังปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ มีช่องวางเครื่องดื่ม บริเวณคอนโซลหน้าด้านล่างพร้อมช่องเป่าลมเย็น 2 ตำแหน่ง ที่พักแขนบริเวณคอนโซลกลางพร้อมฟังก์ชันเลื่อนหน้า-หลัง เน้นความสะดวกสบายในการเดินทางพร้อมฟังก์ชันปรับเอนและพับแบบ 60:40 พนักพิงศีรษะแบบแยกส่วน 3 ตำแหน่ง ส่วนแถวสามปรับพับ 50:50 พนักพิงศีรษะแบบแยกส่วน 2 ตำแหน่ง สุดท้ายบริเวณข้างประตูคู่หน้า-คู่หลัง และที่นั่งผู้โดยสารตอนสาม จะมาพร้อมที่วางขวดซึ่งรวมแล้วก็ 6 ตำแหน่ง



XL7 พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซูซูกิ ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ DHOC เกียร์อัตโนมัติ CVT 4 สปีด ให้กำลัง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ รอบเครื่องยนต์อาจจะสูงไปนิดแต่ได้แรงกระชากที่สามารถพาตัวรถขนาดใหญ่พุ่งไปข้างหน้าได้ดีทีเดียว ส่วนแรงบิด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที หัวฉีดเป็นมัลติพอยต์อินเจ็กชั่น กระจายน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยขุมพลังตัวนี้จะทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า (Integrated Starter Generator หรือ ISG) และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 10 Ah 12 โวลต์ ซึ่งเราเรียกกันง่ายๆ ว่า Mild Hybrid นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลขจะช่วยให้แรงม้าเพิ่มขึ้น 5 แรงม้า กับแรงบิดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร ส่งผลให้อัตราเร่งช่วงออกตัวดีขึ้น และมีของแถมคือให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเท่าที่ลองใช้งานจะอยู่ที่ประมาณ 12 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งระบบต่างๆ เหล่านี้ใช้งานได้อย่างไร้กังวล เพราะรับประกันอายุแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี

โดยสรุป SUZUKI XL7 HYBRID ค่าตัว 799,000 บาท จัดเป็นรถที่ขับสนุก พวงมาลัยเบาควบคุมง่าย สุภาพสตรีแรงน้อยๆ ก็ไม่ต้องออกแรงมา ถอยจอดง่ายด้วยกล้องมองหลัง ส่วนระบบความปลอดภัยมีให้ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ แต่อาจไม่ได้เต็มระบบเท่าไหร่นัก แต่ที่จำเป็นๆ ก็มีมาให้เช่นระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถหยุดรถในระยะทางที่สั้นลง ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวเห็นตัวใหญ่ๆ แบบนี้ในโค้งไม่โคลงเคลงนะครับ พร้อมกันนี้มีระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน ป้องกันการลื่นไถล ส่วนระบบความปลอดภัยหลังเกิดเหตุ ครอบครัวขนาดใหญ่ไม่ต้องกังวล เพราะมีเข็มขัดนิรภัยครบทุกที่นั่ง ทั้ง 3 แถว มีจุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX) 2 ตำแหน่ง สำหรับบางครอบครัวที่มีเด็กน้อย 2 คน

ถึงตรงนี้ต้องยอมรับความเป็นซามูไรเลือดนักสู้ ถึงแม้จะไม่มีโปรดักส์อะไรเปิดตัวใหม่ แต่ก็ดึงเรื่องบริการหลังการขายมาเป็นตัวชูโรง รวมทั้งก่อนหน้านี้ ก็จับเอาโมเดลที่ใกล้จะหมดสต๊อคมาลดราคาเทกระจาด เรียกว่าแป๊บเดียวหมด ลูกค้าจองกันไม่ทัน นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในรถญี่ปุ่น ยังขลังอยู่สำหรับลูกค้าชาวไทย แต่ก็อย่างที่บอก จะชูแค่เรื่องเซอร์วิสอย่างเดียวคงไม่พอ หลังจากนี้ก็มาดูกันว่าโปรดักส์ที่ซูซูกิ เตรียมจะเปิดตัว จะน่าสนใจ สร้างความคึกคักให้ตลาดได้ขนาดไหน ถือเป็นโจทย์ข้อสำคัญของซูซูกิ ที่ต้องรอติดตามตอนต่อไป …









