มินิ ประเทศไทย เปิดตัว MINI Aceman SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 5 ประตู รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกมาทำตลาดต่อจากรุ่น 3 ประตู ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แบบที่ต้องบอกว่า MINI เดินเกมถูก แบบไม่ต้องแคร์สายตาใครที่จะมองว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตและประกอบจากประเทศจีน เพราะถึงวันนี้คนไทยรับได้แล้วกับรถยนต์สัญชาติจีน ที่สามารถตั้งราคาได้แบบสามารถเอื้มถึงได้ไม่ยาก ซึ่งเจ้า MINI Aceman SE ก็เคาะราคาได้น่าสนใจเพียงไม่ถึง 2 ล้านบาท ก็ได้ขับมินิแล้ว กับค่าตัว 1.999 ล้านบาท แถมยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย MINI Experience Modes, MINI Operating System 9 และระยะทางขับเคลื่อนสูงสุดต่อการชาร์จที่ทะลุ 400 กม. ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ 405 กม. ตามมาตรฐาน WLTP

MINI Aceman SE ครั้งนี้มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นด้วยเส้นสายบริเวณซุ้มล้อที่ไม่เหมือนใคร ล้อใช้ขนาด 18 นิ้ว ลาย Night Flash แบบสลับสี ชุดไฟหน้าและไฟท้ายเป็นระบบ LED ที่มากับลูกเล่นที่สามารถเปลี่ยนแบบไฟได้ ด้านมิติตัวถังมีความยาว 4,079 มม. ความกว้าง 1,754 มม. ความสูง 1,514 มม. และฐานล้อ 2,606 มม. มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง : 303 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะหลังจะเพิ่มปริมาตรเป็น 1,005 ลิตร

ภายในห้องโดยสาร Aceman SE ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัย โดดเด่นด้วยหลังคากระจก Panorama Glass Roof ที่มีไฟ Ambient Light รอบๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปิดรับลมได้ ทำได้เพียงแค่เปิดม่านกั้นแสงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ เบาะหน้าเป็นสิ่งที่ผมชอบมากๆ คือให้เบาะสไตล์สปอร์ต John Cooper Works พร้อมระบบนวดมาให้ แถมยังเป็นไซส์ใหญ่ ที่ทำให้คนตัวอ้วนนั่งแล้วไม่ดูอึดอัด หน้าจอ OLED ทรงกลมขนาด 240 มม. บนคอนโซลหน้า ก็เป็นอีกจุดที่ MINI ทำได้ดี ดูแล้วมันยกระดับจากรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนไปได้เยอะพอสมควร

ด้านความสะดวกสบาย แม้ว่าตัวถังมันจะใหญ่กว่ารุ่น 3 ประตูก็จริง แต่หากต้องมีผู้โดยสารนั่งด้านหลัง ยังไงก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี เพราะความยาวตัวรถมันแค่ 4 เมตรนิดๆ เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มาพร้อมระบบ MINI Digital Key Plus สามารถใช้สมาร์ทโฟนในการล็อกและปลดล็อกรถ รวมถึงฟังก์ชันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และฟังก์ชัน Welcome Projection ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเปิด-ปิดรถ และที่สำคัญยังสามารถสตาร์ทรถเปิดแอร์จากระยะไกลด้วยรีโมทได้อีกต่างหาก อันนี้เหมาะกับเมืองไทยเมืองร้อนจริงๆ



ขณะที่ระบบช่วยเหลือการผู้ขับขี่ Driving Assistant Plus มีให้พร้อมทั้ง Adaptive Cruise Control, แท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟน และ MINI head-up display, ชุดเครื่องเสียงระบบเซอร์ราวด์คุณภาพจาก Harman Kardon


นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ MINI Experience Modes หรือโหมดปรับแต่งบรรยากาศในห้องโดยสารให้อีก 8 โหมด Core, Go-Kart, Green, Personol, Vivid, Relax, Trail และ Personal

มาที่เรื่องสมรรถนะการขับขี่กันบ้าง สำหรับ Mini Aceman SE ใช้พละกำลังจากมอเตอร์เดี่ยว 218 แรงม้า 330 นิวตันเมตร ที่ยกมาจาก Cooper SE นั่นแหล่ะ ความแรงนั้นผมถือว่าแรงนะ แต่ไม่ได้แรงปรู๊ดปร๊าดอะไรมากมาย 0-100 กม./ชม. ผมลองจับด้วยเครื่องมือ ได้อยู่ที่ 7.31 วินาที ซึ่งก็จะสูงกว่าสเปคที่บอกไว้ 7.1 วินาที อยู่นิดเดียวถือว่าสเปคที่เปิดออกมาใกล้เคียงกับที่ลองขับได้จริง แต่สิ่งที่มินิคันนี้ขาดความสนุกไปนิดคือมันไม่มี Paddle Shift หลังพวงมาลัย แม้จะเป็นรถไฟฟ้าที่ Paddle จะเป็นเพียงตัว Regen แต่มันก็ช่วยให้อารมณ์การขับขี่มันสนุก และปลอดภัยมากขึ้นนั่นเอง

ส่วนแบตเตอรี่มีความจุ 42.5kWh ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าความจุน้อยไปหน่อยรึป่าว ไม่ถึง 50 kWh ที่อย่าลืมนะครับ ตัวเล็กนิดเดียวกินไฟไม่เยอะ จึงทำให้ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จ สำหรับมินิตัวนี้ทะลุ 400 กิโลเมตรไปแล้ว แม้จะเกินไปนิดหน่อยที่ 405 กม. แต่ก็ถือเป็นตัวเลขมากสุดเท่าที่มินิเคยผลิตรถไฟฟ้ามา ส่วนการรับประจุชาร์จเร็ว DC ดูจะน้อยไปหน่อยที่ 75kW ส่วน AC รับได้ถึง 11 kW ซึ่งถือว่าใช้ได้อยู่กับการชาร์จบ้าน ส่วนอัตราการประหยัดได้ลองวิ่งทั้งในเมืองและนอกเมืองอัตราอยู่ที่ประมาณ 14kW ต่อ 100 กม. โดยถ้าให้คำนวณตัวเลขตามบรรยัดตะยาง ก็น่าจะวิ่งจริงได้ประมาณ 300 กม.นิดๆ นั่นเอง


มาต่อกันที่เรื่องช่วงล่าง ซึ่งต้องบอกว่าใครที่เคยใช้ MINI มาก่อนหน้านี้ ถ้าผมจะบอกว่าเจ้า Aceman SE คันนี้ มันสปอร์ตแบบเก็บรายละเอียดทุกเม็ดกว่าตัวก่อนๆ ผมว่าคุณน่าจะเข้าใจอารมณ์ คือถ้าใครที่ชอบช่วงล่างแบบนุ่มนวลหันหลังให้เจ้า Aceman SE คันนี้ไปได้เลย ส่วนเรื่องระบบเบรกไว้ใจได้กับรถไฟฟ้าที่มันสามารถตั้งความหน่วงหรือ Regen ได้ อีกทั้งยังมีดิสก์เบรกให้ทั้ง 4 ล้อ


ในขณะที่การควบคุมพวงมาลัยน้ำหนักที่เซ็ตมาดูจะไวไปหน่อย บวกกับลักษณะรถที่โอเวอร์แฮงค์สั้นทั้งหน้าและหลังด้วยให้แล้ว หักพวงมาลัยนิดเดียวรถก็พร้อมจะขยับไปทั้งคัน ส่วนการควบคุมในโค้ง ต้องบอกว่ามินิตัวนี้ เป็นมอเตอร์เดี่ยววางหน้า ซึ่งฟิลลิ่งการเข้าโค้ง ความคมอาจจะรู้สึกว่าไม่เท่ามินิที่เป็นเครื่องยนต์สันดาป เพราะน้ำหนักเครื่องยนต์มันกดหน้าอยู่พอสมควรเวลาเข้าโค้ง แต่พอเป็นมอเตอร์ น้ำหนักมันถูกเทเป็นที่แบตที่วางอยู่กลางตัวรถ บวกกับแรงบิดที่มาดีกว่าเครื่องยนต์สันดาป หากเข้าโค้งแล้วเผลอกดคันเร่งเร็วเกินไป อาการอันเดอร์สเตียร์จะมาเร็วกว่ามินิที่เป็นเครื่องยนต์

ปิดท้ายที่ราคา ต้องบอกว่ามินิ เดินมาถูกทางแล้วอย่างที่ผมบอกไปข้างต้น ซึ่งวางค่าตัวของเจ้า MINI Aceman SE ไว้ไม่เกิน 2 ล้านบาท แม้จะทอนมาเพียงพันเดียวก็เถอะ แต่มันทำให้คนเข้าถึงรถยนต์แบรนด์มินิได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ส่งผลให้มีลูกค้าเดินเข้าโชว์รูมเพื่อจองมินิไฟฟ้าเจนฯ ใหม่ มากขึ้นนั่นเอง









