Nissan GT-R (R35) เวอร์ชั่นแรก ที่เปิดตัวออกมาในปี 2007 มันมากับความตื่นเต้นที่เล่นเอาค่ายรถสปอร์ต และซูเปอร์คาร์ฝั่งยุโรปหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน ยอดจองมีมาอย่างต่อเนื่องด้วยความเป็นรถสมรรถนะสูงที่ค่าตัวอยู่ในระดับที่ไม่ต้องเป็นมหาเศรษฐีก็สามารถซื้อได้ ที่สำคัญเทคโนโลยี และความแรงมันเกินห้ามใจเอาเสียจริงๆ

แต่ยังไม่ทันที่ลูกค้าจะหายเห่อกับเวอร์ชั่นแรก เพียง 2 ปีต่อมา ในปี 2009 ทาง Nissan ก็ได้ทำการอัพเดทเจ้า GT-R (R35) ครั้งแรก โดยการจูนเพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์ขึ้นไปเป็น 478 แรงม้า (เพิ่มม้ามา 5 ตัว) แต่แรงบิดสูงสุดยังคงเท่าเดิม มีการใส่โปรแกรมระบบ Launch Control (ช่วยออกตัวอย่างรุนแรงโดยไม่เสียการทรงตัว) ใหม่ เพื่อให้ทำเวลาได้เร็วขึ้นอีก รวมถึงลดโหลดที่เพลาขับลงด้วย นอกนั้นก็เป็นเรื่องการปรับปรุงระบบช่วงล่างให้เฟิร์มยิ่งขึ้น เปลี่ยนสีล้อ และเพิ่มม่านถุงลมด้านข้าง

แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ได้มีแค่นั้น ไหนๆ ก็มีการอัพเดทรุ่นสแตนดาร์ดไปแล้ว Nissan ตัดสินใจเปิดตัว GT-R เวอร์ชั่นพิเศษออกมาในปีเดียวกันเสียเลยที่งาน Tokyo Auto Salon เป็น GT-R Spec V โดย V ย่อมาจาก Victory หรือชัยชนะ ความพิเศษของ Spec V เริ่มจากมีการเพิ่มสีพิเศษขึ้นมาเป็นสีดำ LAC Black Opal เปลี่ยนเทอร์โบขนาดใหญ่ขึ้น เอาเบาะหลังออก เปลี่ยนฝาครอบเครื่องยนต์เป็นสีดำล้วน เปลี่ยนล้อเป็น Rays ที่น้ำหนักเบาลง นำวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้กับกระจังหน้า สปอยเลอร์หลัง และช่องดักลมเป่าเบรก ปรับแต่งระบบช่วงล่างแข็งขึ้นอีก 20% เปลี่ยนยางเป็น Bridgestone Potenza RE070R ที่หนึบเกาะถนนมากขึ้น ระบบเบรกเป็นจานคาร์บอน-เซรามิค เปลี่ยนทรงลิ้นหน้า น้ำหนักรถโดยรวมลดลงจากรุ่นสแตนดาร์ดถึง 60 กก. ที่พวงมาลัยมีปุ่ม Overboost เมื่อกดแล้วแรงบิดจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 609 นิวตันเมตร

ซึ่งหลังจากที่ GT-R (R35) ได้รับการอัพเดทหรืออัพเกรดครั้งแรกไปแล้วในปี 2009 ยังไม่ทันไร ในปีถัดมาคือ 2010 ทาง Nissan ได้ทำการศัลยกรรมหน้าตาให้กับเจ้า GT-R (R35) ถือเป็นการ Facelift ครั้งแรกของรถรุ่นนี้ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ การเปลี่ยนรหัสรุ่นจากเดิม CBA-R35 มาเป็น DBA-R35 ตรงนี้น่าสนใจ เพราะรูปร่างหน้าตามันก็ยังเหมือนเดิม และทาง Nissan ก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุการเปลี่ยนรหัสรุ่น (ใครรู้รบกวนบอกผมด้วย) แต่ที่แน่ๆ ด้านสมรรถนะมีการอัพเกรดชุดใหญ่ เครื่องยนต์ยังคงเป็นตัวเดิม แต่ทำการจูนโปรแกรมใหม่ เปลี่ยนวาล์วไทม์มิ่ง ขยายท่อทางเดินอากาศ ปรับแต่งระบบไอเสีย ทั้งหมดที่ว่ามานี้ทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 530 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 607 นิวตันเมตรที่ 3,200 – 6,000 รอบ/นาที

นอกจากนี้ยังเพิ่มความเฟิร์มให้กับตัวถังด้วยสตรัทบาร์ด้านหน้าที่แข็งกว่าเดิมเป็นวัสดุคาร์บอนผสม เปลี่ยนใช้จานเบรกหน้าขนาดใหญ่ขึ้น ล้อมีน้ำหนักเบาลง ส่วนระบบช่วงล่างเปลี่ยนสปริงแข็งขึ้น โช้คอัพ และเหล็กกันโคลงปรับปรุงใหม่ ภายนอกตัวถังมีการเปลี่ยนพาร์ทบางอย่างช่วยให้ลดแรงต้านอากาศดีกว่าเดิม และยังเพิ่มแรงกดในความเร็วสูงอีก 10% นอกจากนี้กันชนหน้ามีการปรับปรุงรูปทรงใหม่พร้อมเพิ่มไฟ LED เข้าไปด้วย ซึ่งรูปทรงกันชนที่ปรับไปนั้นยังช่วยเรื่องช่องที่รับลมเข้าไประบายความร้อนหม้อน้ำ และเบรกหน้าได้มากขึ้น ท้ายรถมีการปรับรูปทรงของครีบรีดอากาศใต้กันชนหลังเพิ่มแรงกดที่ความเร็วสูง ภายในห้องโดยสารไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ปรับเปลี่ยนวัสดุบางอย่างให้หรูหรามากขึ้น อัพเกรดระบบสร้างความบันเทิงภายในรถให้ทันสมัยมากขึ้น น้ำหนักตัวรถเบาลงกว่าเดิม 5 กก. จากการปรับเปลี่ยนวัสดุชิ้นส่วนตัวถังบางอย่าง


ให้หลังมาไม่นาน Nissan ไม่ยอมปล่อยให้เจ้า GT-R (R35) อยู่นิ่งๆ เกิน 2 ปี เพราะในปี 2012 ได้มีการอัพเกรดอีกครั้ง โดยครั้งนี้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์เพิ่มพละกำลังขึ้นไปอีกเป็น 550 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดขึ้นไปเป็น 628 นิวตันเมตรที่ 3,200 – 5,200 รอบ/นาที ด้วยการเปลี่ยนท่อร่วมไอดีที่ให้อากาศไหลลื่นมากกว่าเดิม เพิ่มขนาดช่องดักลมเข้าอินเตอร์คูลเลอร์ ท่อไอเสียชุดใหม่ ปรับแต่งกล่อง ECU เปลี่ยนใช้ฟลายวีลน้ำหนักเบาลง และที่ต้องปรับตามไปด้วยก็คือระบบช่วงล่างเพื่อให้รับกับพละกำลังที่มากขึ้น

ซึ่งหลังจากการอัพเกรดได้ไม่นาน ในช่วงปีเดียวกันนั้นเอง เราก็ได้เห็น GT-R (R35) รุ่นพิเศษออกมาเพิ่มอีกรุ่นคือ GT-R Black Edition โดยเป็นลักษณะของการเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษทั้งภายนอกและภายใน ประกอบไปด้วยล้อลายใหม่น้ำหนักเบา สปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะบัคเก็ตซีทจาก Recaro ภายในตกแต่งด้วยสีทูโทนแดง-ดำ

ไม่เพียงแค่นั้น เพราะในปีต่อมา 2013 มีรุ่นพิเศษออกมาอีกรุ่นเน้นเอาใจสายซิ่งดิบๆ โดยเฉพาะกับ GT-R Track Edition มีการเอาเบาะหลังออก ใช้ล้อน้ำหนักเบา สปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์ ปรับแต่งระบบช่วงล่างพร้อมลงขับในสนามแข่ง ช่องดักลมต่างๆ ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ท่อไอเสียไทเทเนียม สปอยเลอร์กันชนหน้าดีไซน์เฉพาะรุ่นนี้ เบาะนั่งทรงเดียวกับในรถแข่งจาก Recaro ภายในตกแต่งสีทูโทนดำ-เทา

เราดูกันมาซักระยะแล้วน่าจะเป็นความตั้งใจหรือเป็นแผนของ Nissan ที่จะต้องอัพเกรดเจ้า GT-R (R35) ตัวสแตนดาร์ดทุกๆ 2 ปี เพราะในปี 2014 ได้มีการปรับปรุงอีกครั้ง เครื่องยนต์ยังคงเหมือนเดิม แต่มีการปรับปรุงเรื่องของระบบช่วงล่าง ขยายขนาดเหล็กกันโคลง เปลี่ยนใช้บุชยางที่เฟิร์มขึ้นตามจุดยึดช่วงล่างทั้งหมด และปรับปรุงระบบกระจายแรงขับเคลื่อน 4 ล้อใหม่ให้ลดโหลดลงกว่าเดิม ทั้งนี้เพื่อการเกาะถนนที่ดีขึ้น ปรับปรุงระบบเบรก ปรับระบบพวงมาลัยใหม่ การอัพเกรดครั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องสมรรถนะ แต่ภายนอกก็ได้รับการปรับเปลี่ยนบางอย่างด้วยเช่น ล้อขนาด 20 นิ้วลายใหม่ ไฟหน้าเพิ่มระบบ Adaptive Front-lighting System (AFS) ปรับไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้ายทรงเดิมแต่ตัว LED สวยใสขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนวัสดุส่วนประกอบตัวถังบางอย่างที่ทำให้น้ำหนักตัวรถเบาลงกว่าเดิมอีก 10 กก.

แต่ที่แน่ๆ ในปีเดียวกันนี้ มันมีการเปิดตัว GT-R (R35) เวอร์ชั่นที่หลายคนรอคอยมานาน นั่นก็คือ GT-R Nismo เวอร์ชั่นแรก โดยสิ่งที่แตกต่างและเพิ่มจากรุ่นสแตนดาร์ดเริ่มจาก ตัวเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งเพิ่มพละกำลังขึ้นไปถึง 600 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดถึง 652 นิวตันเมตร โดยการนำเอาเทอร์โบจากรถแข่ง GT-R รุ่น GT3 มาใส่แทนของเดิม ปรับจังหวะการจุดระเบิด และอัพเกรดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ภายนอกเปลี่ยนลิ้นหน้ากว้างขึ้น ขยายช่องรับลมเป่าเบรก ท้ายรถเพิ่มขนาดครีบรีดอากาศใต้กันชนหลัง สปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์ ระบบช่วงล่างปรับแต่งใหม่โดย Nismo โดยการเอาโช้คอัพ Bilstein มาปรับแต่งวาล์วภายในใหม่ ใช้ล้อรุ่นพิเศษน้ำหนักเบาลายใหม่จาก Rays ขยายขนาดกันโคลงหลัง กันชนหน้า ฝาท้าย และกันชนหลัง ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการลดน้ำหนัก ตัวถังเพิ่มสป็อตรอยเชื่อมเพื่อความแข็งแกร่ง เปลี่ยนใช้ท่อไอเสียไทเทเนียม ภายในใช้เบาะบัคเก็ตซีท Recaro หุ้มด้วย Alcantara พวงมาลัยหุ้ม Alcantara

ต่อมาในปี 2015 เป็นปีที่รถตระกูล GT-R นับตั้งแต่โมเดลแรกรุ่นแรกที่เกิดขึ้นมาโลก มีอายุครบ 45 ปี Nissan จึงออก GT-R (R35) รุ่นพิเศษเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง โดยใช้ชื่อว่า GT-R 45th Anniversary Gold Edition ภายนอกตัวรถเป็นสีทอง Silica Brass สีเดียวกับที่ใช้กับ Skyline GT-R R34 M-Spec ใช้ล้อน้ำหนักเบาของ Rays สีดำล้วนทั้งวง เพลทบอกเลขตัวถังเป็นสีทอง ใต้ฝากระโปรงหน้ามีป้ายบอกลำดับการผลิต คอนโซลหน้ามีป้าย 45th Anniversary โดยรถรุ่นเฉลิมฉลองนี้มีผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพียง 80 คันทั่วโลกเท่านั้น

2 ปีผ่านไป ถึงเวลาอีกแล้วสินะ ที่ GT-R จะได้รับการอัพเดทอีกครั้ง ปี 2016 ผมให้เป็นปีที่ GT-R (R35) ได้รับการศัลยกรรมทั้งภายนอกและภายในชัดเจนที่สุด หน้าตารถมันดูทันสมัยมากขึ้น มีเหลี่ยม มีสันคมชัดมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ไม่รู้ว่าด้วยหน้าตาที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างเยอะนี้หรือไม่ ที่ทำให้ Nissan เปลี่ยนรหัสรุ่นของ GT-R (R35) อีกครั้ง จาก DBA-R35 มาเป็น 4BA-R35 นอกจากการปรับเปลี่ยนภายนอกที่ชัดเจนทั้งหน้ารถและท้ายรถแล้ว ยังได้พัฒนาระบบการระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์และระบบเบรกด้วย และสิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงเวลาของการเปลี่ยนรหัสรุ่น คือถ้ามองด้วยตาเปล่าอาจไม่รู้ แต่ทาง Nissan ให้ข้อมูลว่า เสา C-Pillar (เสาหลังคาด้านหลัง) มีการปรับรูปทรงใหม่เพื่อลดลมหมุนด้านหลังรวมถึงฝากระโปรงหน้าที่เพิ่มความแข็งแกร่งช่วยให้รถนิ่งขึ้นอีกในความเร็วสูง ดังนั้นการที่ Nissan ให้ข้อมูลมาแบบนี้โดยเฉพาะเรื่องเสา C-Pillar ก็แสดงว่า ถึงรูปทรงโครงสร้างของรถจะดูคล้ายเดิมเอามากๆ แต่มันไม่ใช่ตัวถังเดิมแล้วน่ะสิครับ รวมถึงโครงสร้างตัวถังยังถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก 5% (ลักษณะแนวคิดคล้ายๆ Porsche 911 ที่เวลาออกโมเดลใหม่ยังคงรูปทรงเดิม แต่จริงๆ แล้วตัวถังถูกออกแบบใหม่หมด อารมณ์แบบนั้นแหละครับ) และในเมื่อถึงขั้นปรับปรุงรูปทรงรถแล้ว เครื่องยนต์จะยังเหมือนเดิมก็คงไม่ใช่ แน่นอนว่าเครื่องยนต์ VR38DETT ยังคงประจำการอยู่เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ถูกอัพพลังขึ้นไปอีกเป็น 570 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 633 นิวตันเมตร และยังสามารถลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงกว่าเดิมไปถึง 7,100 รอบ/นาที ไม่พอแค่นั้น ยังมีการปรับปรุงระบบควบคุมเกียร์ให้ทำงานสมูธและเงียบลงกว่าเดิมอีกด้วย ชุดท่อไอเสียไทเทเนียมถูกเปลี่ยนใหม่น้ำหนักเบาลงกว่าเดิมเข้าไปอีก ระบบเบรกและช่วงล่างถูกปรับแต่งใหม่ทั้งหมดเพิ่มประสิทธิภาพ ล้อเปลี่ยนเป็นลายใหม่เน้นน้ำหนักเบาเหมือนเดิม โจทย์เดิมยังคงอยู่คือการเป็นรถสมรรรถนะสูงที่ขับสบาย การปรับปรุงครั้งนี้จึงไม่ได้มีแค่เรื่องสมรรถนะเท่านั้น วิศวกรของ Nissan พยายามทำให้เสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามาในห้องโดยสารน้อยที่สุด จึงมีการเปลี่ยนกระจกบานหน้าเป็นแบบอคูสติคลดเสียง และยังมีการใช้เทคโนโลยีปล่อยคลื่นเสียงผ่านลำโพงมาตัดเสียงรบกวนภายในด้วย อะไรมันจะขนาดนั้น! นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารยังถูกดีไซน์ใหม่โดยเฉพาะวัสดุหุ้มเบาะและพวงมาลัยใช้เป็นหนังแท้เกรดพรีเมียม คอนโซลกลางออกแบบใหม่ทันสมัยมากขึ้นผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ หน้าจอกลางขนาด 8 นิ้วอัพเดทใหม่ฟังก์ทันสมัยกว่าเดิม

ไหนๆ ปี 2016 ทาง Nissan ได้อัพเกรดเจ้า GT-R (R35) ขนาดนี้แล้ว ก็อัพเกรดรุ่นพิเศษออกมาเสียด้วยเลย และไม่ใช่แค่รุ่นเดียว แต่ทำทีเดียว 2 รุ่นเลย เริ่มจาก GT-R Track Edition ที่ปรับเล็กน้อยอย่างดีไซน์ด้านหน้า และภายในเป็นสีทูโทนแดง-ดำ ที่เหลือเหมือนเดิม ส่วนอีกรุ่นคือ GT-R Nismo แต่ก็ถูกปรับเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมีแค่ดีไซน์ด้านหน้าเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ คือปรับรุ่นพิเศษ 2 รุ่นที่ว่านี้ให้เป็นโมเดลปี 2016 นั่นแหละครับ

จนมาถึงปี 2019 ด้วยความที่ GT-R (R35) มันถูกอัพเกรดมาตลอดทุกๆ 2 ปีจนตัวรถสมบูรณ์จนแทบหาอะไรปรับปรุงเพิ่มเติมไม่ได้แล้ว แต่ถ้าจะอยู่นิ่งๆ ทิ้งเวลาให้ผ่านไปก็คงไม่ใช่รถระดับนี้ ทาง Nissan จึงได้จับ GT-R (R35) มาปรับนู่นนิดนี่หน่อย เครื่องยนต์ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างเพราะมันสุดตารางไปตั้งแต่การอัพเกรดครั้งที่แล้ว มีเพียงแค่ปรับแต่งเทอร์โบเล็กน้อยให้ตอบสนองดีขึ้นอีกประมาณ 5% กับจูนระบบเกียร์ให้เปลี่ยนเร็วขึ้นอีก 0.15 วินาที มีปรับการทำงานของระบบเกียร์ให้สัมพันธ์กับจังหวะการเบรกช่วงเข้าโค้งลดอาการหน้าดื้อ-ท้ายปัด ระบบช่วงล่างและพวงมาลัยปรับปรุงอีกเล็กน้อย

ภายนอกถ้าไม่ทำอะไรเลยมันดูจะขี้เกียจเกินไป เลยทำการเปลี่ยนลวดลายของล้อใหม่ ภายนอกและภายในสามารถสั่งอ๊อพชั่นเลือกสีได้ ซึ่งมีสีภายนอกเพิ่มขึ้นมาอีก 1 สีเป็นสีน้ำเงิน Bayside Blue สีเดียวกับ Skyline GT-R R34 นั่นเอง และเช่นเคย ทำทั้งทีก็พ่วงปรับปรุงรุ่นพิเศษไปด้วยเลยแล้วกัน กับ GT-R Track Edition 2019 ที่คราวนี้ยกเครื่อง Nismo 600 แรงม้ามาวางเสียเลย แล้วขยายแก้มหน้าทั้งสองข้างกว้างขึ้น ล้อจาก Rays ลายใหม่ ยางสเป็คพิเศษจาก Dunlop เบรกคาร์บอน-เซรามิค แค่นี้ก็เอาเรื่องแล้ว

ยังไม่พอ GT-R Nismo ก็ได้รับการอัพเกรดด้วยเช่นกัน ล้อจาก Rays ลายใหม่ ยางสเป็คพิเศษจาก Dunlop เครื่องเดิมในเวอร์ชั่น Nismo ก็ 600 แรงม้าอยู่แล้ว อัพเกรดเทอร์โบอีกนิดหน่อย ปรับระบช่วงล่างให้เฟิร์มเข้าไปอีก แก้มหน้าเพิ่มช่องระบายอากาศวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เปลี่ยนวัสดุฝากระโปรงหน้าและหลังคาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิคที่ว่ากันว่าขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดารถญี่ปุ่นที่ขายกันอยู่ตอนนั้น

แต่ที่แน่ๆ ปี 2019 เป็นปีที่รถรหัส GT-R ตั้งแต่รุ่นแรกมีอายุครบ 50 ปี Nissan จึงไม่พลาดที่จะทำ GT-R (R35) รุ่นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองขึ้นมาอีกครั้ง เป็น GT-R 50th Anniversary Edition โดยเน้นการตกแต่งภายนอกและภายในเป็นหลัก โดยคันโปรโมทภายนอกเป็นสีน้ำเงิน Bayside Blue พร้อมคาดลายสีขาวมุก ก้านล้อตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเช่นกัน พร้อมด้วยสัญลักษณ์ 50th Anniversary ที่ท้ายรถ และขอบล้อ แต่จริงๆ แล้วรุ่น 50th Anniversary Edition นี้มีสีภายนอกให้เลือก 3 สีคือ น้ำเงินคาดแถบขาว ขาวคาดแถบแดง และเงินคาดแถบขาว ภายในตกแต่งด้วย Alcantara ด้านสมรรถนะและอื่นๆ ยังคงเหมือนตัวสแตนดาร์ดปี 2019

ปี 2021 ทาง Nissan ไม่มีการอัพเดท GT-R (R35) รุ่นสแตนดาร์ดแต่อย่างใด รวมถึงหยุดขายในบางประเทศ เนื่องจากการเปลี่ยนกฎหมายในบางประเทศที่ GT-R (R35) ไม่เข้าเงื่อนไข ต่อเนื่องมาถึงปี 2022 ทาง Nissan ได้หยุดการทำตลาดและการขายชั่วคราว แต่ไม่ใช่ว่าเจ๊ง เพราะอย่างในตลาดอเมริกาเหนือที่หยุดขายเพราะรถขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ส่วนในญี่ปุ่นเองก็ยังนิ่งๆ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้น Nissan มองว่าเดี๋ยวมันจะเงียบเกินไป จึงทำ GT-R (R35) รุ่นพิเศษออกมาอีก 2 รุ่น รุ่นแรกเป็น GT-R T-Spec โดยอักษร T ย่อมาจาก Trend Maker แต่บางคนก็บอกว่ามันมาจาก Track Master จะอะไรก็แล้วแต่ รถรุ่นพิเศษคันนี้มาพร้อมกับสีใหม่ สีเขียวทอง Millennium Jade และสีม่วง Midnight Purple แต่ถ้าไม่ชอบสีใหม่ ในเวอร์ชั่น T-Spec นี้ก็มีสีสแตนดาร์ดให้เลือกด้วยเช่นกัน

การทำให้เป็นรุ่นพิเศษสำหรับ T-Spec ไม่มีอะไรมาก นอกจากเพิ่มสีตัวถังภายนอกใหม่ ก็มีฝาครอบเครื่องยนต์ที่เป็นสีทูโทนทอง-ดำ ล้อน้ำหนักเบาลายใหม่สีบรอนซ์ทอง ใส่ยางสเป็คเดียวกับตัว Nismo ลิ้นใต้กันชนหน้าทรงใหม่ สปอยเลอร์ท้ายคาร์บอนไฟเบอร์ โลโก้ T-Spec ที่ฝาท้าย เพิ่มช่องดักลม โป่งแก้มหน้ากว้างขึ้น เบรกคาร์บอนเซรามิค ภายในตกแต่งด้วยหนังแท้และ Alcantara สีเขียว Mori Green ด้านสมรรถนะยังคงเดิมตามที่ได้อัพเกรดล่าสุดไม่มีการปรับแต่งเพิ่มเติมแต่อย่างใด ส่วนอีกคันที่โผล่มาในช่วงเงียบงันในปีนั้นแต่กลับดุดันเสียเหลือเกินก็คือ GT-R Nismo Special Edition ภายนอกตัวถังอย่างโหด มากับสีเทา Stealth Gray ฝากระโปรงหน้าคาร์บอนไฟเบอร์รูปทรงได้แรงบันดาลใจมาจาก Skyline GT-R R34 V-Spec N1ล้อสีดำขอบแดง เครื่องยนต์ไม่ได้อัพเกรดความแรงแต่ปรับปรุงตามสูตรรถแข่งด้วยการทำบาลานซ์น้ำหนักใหม่หมดทั้งแหวนลูกสูบ ก้านสูบ ฟลายวีล พูลเลย์ สปริงวาล์ว รวมถึงเคลียร์แลนซ์ต่างๆ ตัวเพลทบอกชื่อคนประกอบเครื่องยนต์เป็นตัวหนังสือสีแดง โดยเจ้า GT-R Nismo Special Edition ถูกผลิตออกมาเพียง 300 คันเท่านั้น

ในช่วงปี 2021 – 2022 GT-R (R35) ทำท่าเหมือนจะหลับ แต่ก็กลับมาอีกครั้งในปี 2023 ด้วยหน้าตาที่ผ่านการศัลยกรรมชุดใหญ่เด็กลงกว่าเดิมเยอะเลย ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร มีรุ่นพิเศษอะไรออกมาอีกบ้าง และบทลงท้ายของมันเป็นอย่างไร ผมขอยกไปครั้งหน้าเป็นตอนจบครับ







Photo credit:
https://www.carbodydesign.com/gallery/2007/11/09-nissan-gt-r/13/
https://www.whichcar.com.au/features/inside-nissan-gt-r-spec-v-classic-motor
https://www.supercars.net/blog/2011-nissan-gt-r/ https://www.motortrend.com/reviews/2013-nissan-gt-r-track-pack-japanese-spec/photos
https://www.autocar.co.uk/car-review/nissan/gt-r-nismo-2015-2016 https://www.whichcar.com.au/news/golden-45th-anniversary-nissan-gt-r-coming-to-oz













