วันก่อน ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย เปิดตัว IONIQ 5 N Line รุ่นปี 2025 ที่เข้ามาเสริมพอร์ตรถยนต์ไฟฟ้าให้มีสไตล์มากยิ่งขึ้น โดยตอนนี้รถยนต์ EV ฮุนได IONIQ 5 มีให้เลือกถึง 3 แบบ 3 สไตล์ กับระดับราคาไล่ตั้งแต่ 1.39 ล้านบาท (หลังปรับราคาลงแล้ว) ไปจนถึง 3.79 ล้านบาท แล้วแต่กำลังและรสนิยมใคร ว่าจะเลือกรุ่นไหน

ฮุนได IONIQ 5 ได้รับรางวัลระดับโลกด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ พัฒนาไดนามิกการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ใหม่ นอกจากนี้ในรุ่น N Line ยังเป็นก้าวสำคัญของฮุนไดในการนำสุนทรียศาสตร์การออกแบบจากมอเตอร์สปอร์ตมาสู่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ผู้ที่มองหรถยนต์ไฟฟ้าดีไซน์สปอร์ต

ทีมงาน CARZANOVA เปิดสเปกเทียบทั้ง 3 รุ่น ให้ได้ตัดสินใจกันง่ายขึ้น
HYUNDAI IONIQ 5

เริ่มกันที่ตัวแรก IONIQ 5 ตัวธรรมดาซึ่งมีรุ่นย่อยให้เลือกอีก 3 รุ่น ได้แก่ Premium ที่ตั้งราคาไว้ตอนแรกที่ 1.699 ล้านบาท แต่ตอนนี้มีปรับราคาลงมา 300,000 บาท เหลือ 1.399 ล้านบาท ส่วนรุ่น Exclusive ที่ตั้งราคาไว้ตอนแรก 1.899 ล้านบาท แต่ตอนนี้ปรับราคาลงมา 330,000 บาท เหลือ 1.499 ล้านบาท ในขณะที่รุ่น First Edition ยังคงราคาเดิมที่ 2.399 ล้านบาท

สำหรับสเปกจะแตกต่างกันเล็กน้อย โดยในรุ่น Premium จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 8.5 วินาที ท็อปสปีด 185 กม./ชม. ขณะที่ในรุ่น Exclusive และ รุ่น First Edition จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7.4 วินาที ท็อปสปีด 185 กม./ชม.

โดยระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง รุ่น Premium ใช้ขนาดแบต 58 kWh วิ่งได้ 384 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) ส่วนรุ่น Exclusive ใช้ขนาดแบต 72.6 kWh วิ่งได้ 481 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) และรุ่น First Edition ใช้ขนาดแบต 72.6 kWh วิ่งได้ 451 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)

โดยระยะเวลาในการชาร์จไฟ สำหรับ AC รองรับ 10.5 kW ในรุ่น Premium ชาร์จเต็ม100% ใช้เวลา 5 ชม. รุ่น Exclusive ชาร์จเต็ม100% ใช้เวลา 6 ชม. และรุ่น First Edition ชาร์จเต็ม100% ใช้เวลา 6 ชม. แต่ถ้าเป็นกระแสไฟ DC ซึ่งรองรับการชาร์จได้สูงถึง 350 kW โดยชาร์จถึงระดับ 80% ใช้เวลาเพียง 17 นาที

HYUNDAI IONIQ 5 N LINE

ถัดมาเป็นรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวหมาดๆ กับ IONIQ 5 N Line ค่าตัว 1.988 ล้านบาท ซึ่งเป็นการอัปเกรดครั้งสำคัญของ IONIQ 5 N Line ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยชุดแบตเตอรี่แบบใหม่ขนาด 84.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 530 กม. (จากเดิม 481 กม. ในแบตเตอรี่ขนาด 72.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง) นอกจากนี้ดีไซน์ภายนอกยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ดูสปอร์ต ด้วยดีไซน์ด้านหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกันชนหน้า-หลัง และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่เฉพาะรุ่น N Line

ภายในห้องโดยสารในส่วนของเบาะคนขับยังสามารถปรับเอนนอนได้แบบ Zero Gravity ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมที่พักขา เพิ่มบรรยากาศสปอร์ตภายในห้องโดยสารด้วยคันเร่ง และเบรกดีไซน์สปอร์ต แผงหน้าปัดดีไซน์ N Line และแผงบุหลังคาสีดำ คอนโซลกลางแบบ Universal Island ที่ปรับปรุงใหม่ วางปุ่มควบคุมต่าง ๆ ในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย พร้อมแท่นชาร์จไร้สายที่ย้ายมาตำแหน่งด้านบนของคอนโซลกลาง เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดในทุกการเดินทาง

IONIQ 5 N Line ผสานเทคโนโลยีล่าสุดของฮุนไดเพื่อมอบความมั่นใจในการขับขี่ที่ปลอดภัยและชาญฉลาด มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล้ำสมัย ด้วยหน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียขนาด 12.3 นิ้วและแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนที่สะดวกไร้สาย เพื่อเพิ่มความปลอดภัย IONIQ 5 N Line ยังติดตั้งระบบ Hyundai SmartSense™ ซึ่งมีทั้งระบบช่วยหลีกเลี่ยงการชนในจุดบอด (BCA) ระบบหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า (FCA) ระบบช่วยรักษาตำแหน่งในช่องเดินรถ (LKA) และระบบควบคุมในช่องเดินรถ (LFA) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วคงที่อัจฉริยะ (SCC) พร้อมระบบ Stop & Go


HYUNDAI IONIQ 5 N

ปิดท้ายด้วยตัวท็อปที่ต้องยกให้ IONIQ 5 N ที่มากับค่าตัว 3.98 ล้านบาท พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 609 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 740 นิวตันเมตร พร้อมกันนี้ยังมีโหมด N Grin Boost ซึ่งจะมีพลังเพิ่มขึ้นเป็น 650 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรี่เป็น Lithium-ion Polymer ความจุ 84.0 kWh สำหรับ IONIQ 5 N ทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 3.5 วินาที และท็อปสปีด 260 กม./ชม.

รู้สเปกกันแล้ว ใครชื่นชอบรุ่นไหนตามสะดวกเลือกได้เลยครับ สายบ้านๆ สบายกระเป๋า ก็ IONIQ 5 ตัวธรรมดา ซื้อช่วงนี้มีส่วนลดเงินสดกว่า 3 แสนบาท แต่ถ้าอยากได้ลุคที่ดูสปอร์ต แถมยังเพิ่งเปิดตัวใหม่ สดๆ ซิง ก็ IONIQ 5 N LINE ส่วนสายสุดซอย ก็ดันไปตัวท็อป กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แรงม้าทะลุ 600 แถมสมรรถนะยังมาเต็มๆ ถอดแบบออกมาจากสนาม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกรุ่น ทุกคัน รับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูงนาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
