จะเห็นได้ว่าตอนนี้รถยนต์ Toyota รุ่นใหม่ๆ ที่ขายในประเทศไทย ถ้าเป็นรุ่นท็อปที่มาในเวอร์ชั่นสปอร์ตจะลงท้ายชื่อรุ่นว่า GR Sport มาพร้อมกับความแตกต่างจากเวอร์ชั่นทั่วไปด้วยสีของตัวรถ ชุดพาร์ทตกแต่งภายนอก ล้อ ภายในห้องโดยสาร และบางรุ่นก็ได้มีการปรับแต่งระบบช่วงล่างมาให้หนึบแน่นกว่าเวอร์ชั่นทั่วไปอีกต่างหาก ซึ่งเวอร์ชั่น GR Sport ที่มีมาในกลุ่มรถตลาดจะเป็นเพียงลักษณะของ Light Tuned หรือการปรับแต่งเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นการนำเอา DNA จากมอเตอร์สปอร์ตของ Toyota มาถ่ายทอดลงในรถตลาดให้ลูกค้าได้สัมผัส

ซึ่งอันที่จริงแล้ว GR หรือ Gazoo Racing ถือเป็นแผนกสำคัญของ Toyota ในประเทศญี่ปุ่น และทั่วโลก ในการพัฒนารถแข่งที่เข้าสู่มอเตอร์สปอร์ตระดับโลก และคว้าชัยชนะมาแล้วมากมาย ทั้งการแข่งขันทางเรียบในรูปแบบเซอร์กิต และการแข่งขันนอกถนนรูปแบบแรลลี่ ซึ่งถ้าจะให้ไล่เรียงประวัติความเป็นมาของ Gazoo Racing หรือการเข้าร่วมมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกของ Toyota คงต้องใช้เนื้อที่อีกยืดยาวอ่านกันสามวันแน่นอน ซึ่งเราจะนำมาเสนอในโอกาสต่อไป
แต่ครั้งนี้ขอตัดตอนมาที่ผลิตภัณฑ์ Toyota ภายใต้ป้าย GR หากเราไปดู GR Lineup หรือบรรดา Toyota GR ที่ขายอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ทั่วโลก รวมถึงที่ขายอยู่ในประเทศไทย (ที่ไม่ใช่เวอร์ชั่น GR Sport รถตลาดบ้านๆ) โดยทุกคันเหล่านี้ถือเป็นรถที่สร้างมาเพื่อการเป็น Performance car ที่ไม่ใช่เอารถที่ขายอยู่แล้วมาอัพเกรดหรือปรับแต่ง พูดง่ายๆ ว่า ได้มาแล้วเอาลงขับในแทร็คสนามแข่งได้เลย
โดยวันนี้รถในกลุ่ม GR Lineup ที่เป็น Performance car ออกมาจากโรงงานเลยมี 4 รุ่นคือ GR Corolla , GR Yaris , GR 86 และ GR Supra ครั้งนี้จะมาไล่ดูไฮไลท์กันว่าทีเด็ดของรถสมรรถนะสูงพร้อมแข่งจากโรงงานโตโยต้าที่สามารถขับบนถนนอย่างถูกกฎหมายตีทะเบียนได้ตามปกติ เป็นอย่างไรบ้าง ส่วนรถในกลุ่มรถบ้านเวอร์ชั่น GR Sport ผมจะเอามานำเสนอให้ในครั้งต่อไป และแอบบอกว่ามันมีเยอะเหลือเกินโดยเฉพาะในบางประเทศที่คุณอาจไม่คิดว่ารถสไตล์นี้มีเวอร์ชั่น GR Sport ด้วยเหรอ…

ครั้งนี้ในกลุ่ม GR Lineup ที่เป็น Performance car ขอเริ่มจาก GR Corolla เป็นคันแรก เห็นเพียงรูปร่างหน้าตาภายนอกก็บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่ Corolla บ้านๆ ที่คุณแม่บ้านใช้ขับรับส่งลูกหรือจ่ายตลาด Corolla บอดี้แฮทช์แบค 5 ประตูอาจไม่ใช่รถที่คนไทยคุ้นชิน แต่ในญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกามีบอดี้นี้ขายเป็นรถบ้านมาสักพักแล้ว แต่หากคันนี้ด้วยภายนอกที่ดูดุดันจากโป่งซุ้มล้อหน้า-หลังที่เหมือนมัดกล้ามใหญ่ แล้วไหนจะกันชนหน้าและช่องระบายอากาศต่างๆ ไม่ต้องเดากันนานมันคือสภาพรถพร้อมแข่ง และแน่นอนว่าให้คุณตัดสเปคสแตนดาร์ดของ Corolla ทั่วไปออกไปได้เลย

เพราะทุกอย่างใน GR Corolla ถูกออกแบบมาเพื่อการเป็นรถแข่งที่ขับใช้งานบนท้องถนน ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร 3 สูบ เทอร์โบ 304 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 3,250 – 4,600 รอบ/นาที ระบบเกียร์มีให้เลือกสองแบบคือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดภายใต้ชื่อ Gazoo Racing Direct Automatic Transmission ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ GR-Four 4WD ติดตั้งลิมิเต็ดสลิปทั้งหน้า-หลัง ระบบเบรกหน้า 4-pot หลัง 2-pot ใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว
ระบบช่วงล่างได้รับการออกแบบใหม่หมดรองรับการขับขี่ที่ดุดันทั้งในทางตรงและทางโค้ง ทั้งตัวโช้คอัพ สปริง เหล็กกันโคลง มีการปรับเปลี่ยนจุดยึดช่วงล่างในหลายจุดซึ่งส่งผลต่อการขับขี่ที่มั่นคง น็อตทุกตัวเป็นเกรดพิเศษเพิ่มความทนทาน รองรับกำลังเครื่องยนต์ที่สูง และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบหล่อเย็นทั้งหมดได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้งานที่หนักแบบต่อเนื่องทั้งระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์ และเกียร์

นอกจากนั้นช่องดักลมต่างๆ ที่กันชนหน้า และพาร์ทรอบคันมีหน้าที่เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแม้กระทั่งการลดอุณหภูมิระบบเบรก ซึ่งตัวระบบเบรกเองก็ได้อัพเกรดทั้งระบบ มีการใช้เซ็นเซอร์จับแรง G เพื่อไปกำหนดการทำงานของ ABS เพื่อการเบรกที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ระบบพวงมาลัยก็ไม่เว้น ทุกชิ้นส่วนในระบบพวงมาลัยถูกเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย และเมื่อไม่นานมานี้เราก็ได้เห็น GR Corolla เวอร์ชั่นพิเศษออกมาเป็น GR Corolla RZ และ GR Corolla RZ “Morizo Edition”

โดย RZ จะเป็นการปรับปรุงหน้าตาและส่วนประกอบภายนอกให้ดูดุดันมาขึ้นกว่าเดิม ส่วนเจ้าเวอร์ชั่น Morizo Edition เป็นเวอร์ชั่นลดน้ำหนัก เริ่มจากการที่เหลือเบาะนั่งคู่หน้าคู่เดียว ไม่มีเบาะหลัง เครื่องยนต์ถูกปรับแต่งเพิ่มแรงบิด ปรับอัตราทดเกียร์ให้จัดขึ้น เปลี่ยนโช้คอัพ ใส่ยางเกรดรถแข่ง เอาว่าซื้อมาแล้วสมัครลงแข่งได้เลย และทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ถูกผลิตในจำนวนจำกัด โดย RZ ถูกผลิตขึ้นเพียง 500 คัน ส่วน Morizo Edition มีเพียง 70 คันเท่านั้น

GR คันต่อมาเป็นหนึ่งในรถที่ผมเคยขับแล้วชอบมากที่สุดคันหนึ่ง GR Yaris เอาจริงๆ สำหรับผมนะ GR Yaris เนี่ยแหละเป็นรถที่ทำให้ผมกลับมาสนใจรถสมรรถนะสูงจาก Toyota เพราะที่ผ่านมารู้สึกว่าค่ายนี้ห่างหายไปในเรื่องของรถเล็กขับสนุก แต่วันที่ได้รู้จัก GR Yaris ครั้งแรกก็ โอ้โห…รถคันแค่นี้ 260 แรงม้า (ตอนนั้น) ขับเคลื่อน 4 ล้อ นี่มันรถในอุดมคติชัดๆ แถมยังเป็นรถที่พา Toyota กลับไปผงาดในแรลลี่โลกอย่าง WRC ที่ไม่มีรถญี่ปุ่นเข้าไปร่วมการแข่งขันนานแล้ว ความธรรมดาหาไม่ได้แล้วกับรถคันนี้
รูปทรงภายนอกของ GR Yaris ถือเป็นรถที่เตะตาเก๋ไก๋มาก ด้วยบอดี้แฮทช์แบค 3 ประตู ที่ดูเหมือนจะน่ารัก แต่แฝงด้วยความดุดันด้วยหน้าตาและโป่งซุ้มล้อที่ยื่นออกมาจากแนวด้านข้างตัวถังค่อนข้างมาก บ่งบอกถึงระยะห่างของล้อซ้าย-ขวาหรือ Track ที่กว้างกว่ารถขนาดเดียวกันทั่วไป ก็เลยไม่ต้องเดาว่ามันเป็นตัวแรงของค่าย
ด้วยขุมพลังเบนซินขนาด 1.6 ลิตร 3 สูบ เทอร์โบ (เครื่องตัวเดียวกับที่อยู่ใน GR Corolla) ที่ตอนนี้รุ่น Minorchange ถูกอัพเกรดความแรงขึ้นไปเป็น 304 แรงม้า เท่ากับ GR Corolla ก็มันเครื่องยนต์ตัวเดียวกันเลยครับ แล้วลองคิดดูว่าเจ้า GR Yaris มันจะเร็วขนาดไหน เพราะคันมันเล็กกว่าและเบากว่า GR Corolla ส่วนระบบส่งกำลังก็มีให้เลือกสองแบบเหมือนกันคือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตมัติ 8 สปีด Gazoo Racing Direct Automatic Transmission ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ GR-Four ที่ปรับการกระจายแรงหน้า-หลังได้ตามโหมดการขับ และไม่ใช่แค่ขุมพลังหรืออุปกรณ์ภายนอกตัวถังที่ปรับเปลี่ยน ภายในห้องโดยสารมีการย้ายตำแหน่งบางอย่างให้ถนัดมือคนขับมากขึ้น

โดยทาง Toyota บอกว่าเอารถแข่ง GR Yaris ที่ลงแข่งแรลลี่นั่นแหละเป็นต้นแบบ ซึ่งถ้าเป็นแฟนแรลลี่จะรู้ว่า ณ ปัจจุบัน แชมป์โลก WRC หลายสมัยอย่าง Sébastien Ogier ก็อยู่ในสังกัดทีม Toyota Gazoo Racing นี่แหละครับ ตัว Minorchange ได้รับการปรับดีไซน์ภายในใหม่เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยการขับให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งแผงหน้าปัด คอนโซลที่ปรับองศาเข้าหาตัวคนขับ ปรับระดับความสูงของคอนโซลลดลง เบาะนั่งปรับเตี้ยลงอีกประมาณ 25 มม. ส่วนมาตรวัดได้ยกเอาแบบเดียวกับใน GR Corolla มาใส่เลย เป็นแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว

ซึ่งตอนนี้รุ่นย่อยหลักๆ ของ GR Yaris ก็จะมี GR Yaris RZ กับ GR Yaris RZ High Performance ซึ่งทั้งสองรุ่นย่อยมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ แตกต่างกันตรงที่ตัว High Performance จะติดตั้งลิมิตเต็ดสลิป Torsen® มาให้ ใช้ล้อ BBS (รุ่น RZ ใช้ล้อ Enkei) ใส่ยาง Michelin Pilot Sport 4S (รุ่น RZ ใส่ยาง Dunlop Sport Maxx 050) เข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไมผมถึงชอบเจ้า GR Yaris เหลือเกิน

คันที่สามเป็นสปอร์ตจ๋ามาเลย GR 86 รถที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่สองของ Toyota 86 ที่สืบสานตำนานอันโด่งดังตลอดกาลอย่าง AE 86 สำหรับผมเจ้า GR 86 ถ้าเทียบกับเจนฯที่แล้ว ผมชอบรุ่นล่าสุดนี้มากกว่าด้วยหน้าตาที่โหดดุมากขึ้น แล้วยังมาพร้อมกับขุมพลังใหม่ที่แรงกว่าเดิม GR 86 ยังคงเป็นรถที่ร่วมพัฒนามาพร้อมกับ Subaru BRZ ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากตัวเครื่องยนต์ที่เป็น Boxer สูบนอน จุดศูนย์ถ่วงเครื่องยนต์ต่ำ นั่นหมายความว่าประสิทธิภาพการเกาะถนนก็จะมากกว่ารถเครื่องยนต์ลูกสูบแนวตั้งทั่วไป

ภายในมันคือรถสปอร์ตเต็มขั้นโฟกัสที่ตำแหน่งนั่งคู่หน้าเท่านั้น เบาะหลังมีไว้ให้สำหรับคนตัวเล็กๆ ที่คงไม่มีใครอยากจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปนั่งสักเท่าไหร่ ปุ่มสวิทช์ต่างๆ มีไม่เยอะให้เกะกะ แต่ที่ผมชอบคือจอหน้าปัดที่เขาออกแบบมามองไปแล้วกราฟฟิกจอแสดงผลดูคล้ายเครื่อง Boxer โหมดการขับนอกจาก Normal และ Sport ยังมี Track มาให้ด้วย เชิญชวนให้คนที่ซื้อคันนี้ไปแล้วเอาลงไปขับในสนามแข่ง
ตัวเบาะนั่งทรงสปอร์ตใช้วัสดุน้ำหนักเบาเพื่อการลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถ ขุมพลังอย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นเครื่องยนต์เบนซินรูปแบบ Boxer 4 สูบนอน พร้อมระบบ D-4S หัวฉีดตรงเข้าแต่ละสูบ ขยายขนาดความจุจากเจนฯที่แล้วมาเป็น 2.4 ลิตร เพื่อให้มีแรงบิดสูงขึ้นในรอบเครื่องยนต์ต่ำ พละกำลังของ GR 86 อยู่ที่ 235 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 3,700 รอบ/นาที แม้เครื่องยนต์ตัวนี้ไม่ได้ติดตั้งเทอร์โบ แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ก็ทำได้ภายใน 6.3 วินาที นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีการตอบสนองดีมาก

ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Super ECT ขับเคลื่อนล้อหลัง ชิ้นส่วนตัวถังถูกลดน้ำหนักลงหลายจุดเช่น การใช้วัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบากับฝากระโปรงหน้า แพช่วงล่าง หลังคา และแก้มหน้า รวมถึงตัวถังมีการออกแบบให้ส่งผลดีในเรื่องแอโรไดนามิคโดยเฉพาะช่องลมต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ระบายความร้อนเครื่องยนต์ และระบบเบรก แต่ยังช่วยเรื่องแรงกดเพื่อประสิทธิภาพการเกาะถนนสูงสุด

GR 86 ถูกแบ่งเป็นรุ่นย่อยหลัก 3 รุ่นคือ RZ มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ รุ่น SZ มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ และรุ่น RC ที่มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา ซึ่งรุ่น RC นี้ทาง Toyota ตั้งใจให้มาเป็นรถที่ลูกค้าซื้อเพื่อเอาไปทำรถแข่ง หรือแต่งซิ่งดิบๆ ระบบอำนวยความสะดวกจะน้อย รวมถึงล้อที่ให้มาก็เป็นล้อกระทะขนาด 16 นิ้ว คือพอให้วิ่งไปเปลี่ยนใส่ล้อแข่งหรือล้อน้ำหนักเบาเกรดสูงตามใจเจ้าของรถ

ที่แน่ๆ ตอนนี้ GR 86 มีรุ่นพิเศษหลาย Edition ที่เห็นตอนนี้ก็มี GR 86 Cup Car, GR 86 10th Anniversary Limited และที่เพิ่งเผยโฉมมาล่าสุดก็เป็น GR 86 Ridge Green Limited ที่ผลิตออกมาเพียง 200 คันเท่านั้น ขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ต้องจับฉลากซื้อ ส่วนในอเมริกาตัวลิมิตเต็ดที่เป็นสีแบบเดียวกันนี้อยู่ในชื่อรุ่น Hakone Edition ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 860 คัน โดยหลักๆ ของ GR 86 Ridge Green Limited เป็นในเรื่องสีภายนอกตัวรถ ภายในมีการปรับแต่งวัสดุและการใช้สีเบจสลับดำ ด้านสมรรถนะมีการเปลี่ยนโช้คอัพให้หนึบแน่นกว่ารุ่นอื่น ปรับแต่งคันเร่งไฟฟ้าให้ตอบสนองดีขึ้น หลักๆ ก็มีเพียงเท่านี้

ปิดท้ายด้วยพี่ใหญ่สายสปอร์ต GR Supra ถือเป็นสปอร์ตเต็มขั้นด้วยการมีเพียง 2 ที่นั่ง ฐานล้อหน้า-หลังยาว ฐานล้อซ้าย-ขวากว้าง ตัวถังถูกออกแบบให้น้ำหนักตกลงที่กึ่งกลางรถ เพื่อการบังคับควบคุมที่ดีเยี่ยม ซึ่งก็ได้ชื่อว่าเป็นรถสปอร์ตที่มีการตอบสนองของพวงมาลัยที่ดีที่สุดคันหนึ่งในโลก เป็นรถเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังที่มีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังอยู่ที่ 50:50 ตัวถังถูกออกแบบให้มีความแข็งแกร่งสูงโดยเฉพาะตามจุดยึดต่างๆ เพื่อให้รองรับการขับขี่ที่หนักหน่วง แต่ในขณะเดียวกันชิ้นส่วนตัวถังถูกผลิตขึ้นจากวัสดุน้ำหนักเบาทั้งอลูมิเนียมและโลหะผสม

ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียงขนาดความจุ 3.0 ลิตร เพิ่มกำลังด้วยเทอร์โบแบบ Twin-scroll ให้พละกำลังสูงสุด 387 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ซึ่ง GR Supra ที่ขายในประเทศญี่ปุ่นก็มีรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ 258 แรงม้าอยู่ด้วยเหมือนกัน ส่วนระบบส่งกำลังมีให้เลือกแบบเดียวคือ เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้ล้อขนาด 19 นิ้ววัสดุ Forged Aluminum
ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive Variable Suspension ปรับลักษณะการทำงานได้ ภายในดีไซน์สปอร์ตแต่ใช้วัสดุพรีเมียมพร้อมฟังก์ชั่นเพิ่มความสบายเช่น เบาะนั่งไฟฟ้าพร้อมปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า เบรกมือไฟฟ้า ระบบเครื่องเสียงมาเต็ม ลำโพง JBL 12 ตัว ระบบแอร์ปรับแยกอิสระซ้าย-ขวา เรียกได้ว่าเป็นรถสปอร์ตเครื่องแรงที่มาพร้อมความสบายรอบคันก็ว่าได้

GR Supra ถูกแบ่งออกเป็นรุ่นย่อยหลักๆ คือ RZ ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบ ส่วนรุ่น SZ-R และ SZ เป็นเวอร์ชั่นในประเทศญี่ปุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบดังที่กล่าวไปแล้ว แต่ล่าสุดก็เห็นมีรุ่นพิเศษออกมาโดยทาง Toyota USA เป็นรุ่น GR Supra 45th Anniversary Edition ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 900 คัน เพื่อฉลองครบรอบ 45 ปีที่ Supra ขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรุ่นแรกใช้ชื่อว่า Toyota Celica Supra
ที่แน่ๆ GR ตัวแรงทั้ง 4 รุ่นที่พูดถึงไปนี้ Toyota Motor Thailand นำเข้ามาขายทุกรุ่นภายใต้เงื่อนไขที่ต่างกัน แต่ที่แน่ๆ คือมีจำนวนจำกัด อย่าง GR Yaris ตอนมาประเทศไทยครั้งแรกก็เปิดให้จองแบบ Pre-booking จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย กับค่าตัว 2,690,000 บาท เปิดจองแป๊บเดียวลูกค้าคนไทยซัดเกลี้ยง ต่อด้วย GR Corolla เปิดราคาที่ 3,949,000 บาท มีโควต้านำเข้ามาเพียง 9 คัน ส่วน GR 86 ตั้งราคาไว้ที่ 2,949,000 บาท โควต้าจำหน่ายเพียง 15 คัน และ GR Supra ราคา 5,199,000 บาท โควต้าจำหน่ายเพียง 10 คัน ซึ่ง GR ทุกรุ่นมี Service Package หรือการบำรุงรักษาตามแคมเปนของ Toyota Motor Thailand ที่สำคัญมีโปรแกรม GR Experience ที่ลูกค้า GR จะได้เข้าอบรมหลักสูตร Toyota Gazoo Racing Academy Thailand และร่วมกิจกรรมลงขับในสนาม Chang International Circuit อีกด้วย
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลั่งไคล้ความแรงแบบฟิลลิ่งรถแข่งอย่าง GR ทั้ง 4 รุ่นที่กล่าวมา ทาง Toyota ก็มีรถรุ่นที่ขายทั่วไปในเวอร์ชั่น GR Sport ด้วยเช่นกัน จะมีรุ่นไหนครั้งหน้าเรามาดูกันครับ
Photo credit: https://www.houstonchronicle.com/business/article/toyota-gr-supra-2024-sports-car-review-18694122.php