ถือเป็นการเปิดเกมชิงความเป็นที่หนึ่งระหว่างค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ จาก 2 ประเทศ ค่ายหนึ่งเป็นผู้ท้าชิงจากแดนมังกร BYD และอีกค่ายหนึ่งเป็นแชมป์เก่าจากแดนอาทิตย์อุทัย TOYOTA


โดยเกมชิงความเป็นที่หนึ่งนี้ เริ่มเห็นตั้งแต่งานมอเตอร์โชว์ 2025 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่ง BYD ประกาศความเป็นแชมป์ด้วยยอดจองในงานสูงสุด 10,353 คัน เฉือนโตโยต้า แชมป์ตลอดกาล ที่มียอดจอง 9,615 คัน ก่อนที่โตโยต้า จะสวนกลับด้วยตัวเลขส่งมอบรถถึงมือลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล ได้กว่า 7,600 คัน ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ซึ่งไม่ใช่แค่มีตัวเลขยอดจอง แต่ไม่มีรถส่งมอบ ถือเป็นการเปิดเกมชิงไหวชิงพริบกันไปแล้วระลอกหนึ่ง

ให้หลังอีกไม่นาน นอกจาก BYD จะเปิดเกมรุก TOYOTA ทางด้านโปรดักต์รถยนต์ และใช้เกมถล่มราคาแล้ว ด้านการสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือ Brand Image ก็ยังลุยใส่ไม่หยุด ซึ่งถ้ายังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ทาง TOYOTA ได้เคยเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลักการแข่งฟุตบอลลีกอาชีพของประเทศไทย ในช่วงที่บอลไทยกำลังดังเปรี้ยงปร้าง ภายใต้สัญญา 4 ปีในช่วงปี 2017–2020 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 700 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ Hilux Revo Thai League

แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 BYD Rêver ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีมชาติไทย และฟุตบอลไทยลีกทุกระดับ (ไทยลีก1, ไทยลีก 2 และไทยลีก 3) ภายใต้แคมเปญ “BYD ชาร์จพลังบอลไทย” พร้อมรีแบรนด์ชื่อลีกใหม่ให้สอดคล้องกับชื่อรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD อาทิ ไทยลีก 1 ใช้ชื่อว่า “BYD SEALION 6 LEAGUE ONE” ไทยลีก 2 ใช้ชื่อว่า “BYD SEAL 5 LEAGUE TWO” และไทยลีก 3 ใช้ชื่อว่า “BYD DOLPHIN LEAGUE THREE”

ซึ่งเหตุผลหลักคือ BYD ต้องการขยายบทบาทนอกเหนือจากแค่ตลาดยานยนต์พลังงานสะอาด แต่ยังต้องการขับเคลื่อนวงการกีฬาไทย และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับแฟนบอลไทย ซึ่งเป็นกีฬาได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศ


ซึ่งเกมการชิงไหวชิงพริบนี้ TOYOTA เล่นใหญ่ขึ้นไปอีก โดยเสนอตัวมีส่วนร่วมกับฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งล่าสุด โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทยประกาศความร่วมมือกับ Monomax เพื่อถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ให้แฟนบอลไทยได้ดูฟรี 44 แมตช์ผ่านช่อง MONO29 และเข้าถึงแพ็กเกจเต็มความคมชัดได้เพียงเดือนละ 299 บาท ผ่านแคมเปญ “เชียร์มันส์ ติดโปร” มอบ แถมยังมอบส่วนลด 2,000 บาท สำหรับลูกค้า TOYOTA ที่จองและรับรถภายใน 60 วัน (จำนวน 5,000 สิทธิ์ รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท) เพื่อกระตุ้นยอดขายควบคู่ไปกับความสนุกของฟุตบอลอังกฤษ

โดยจะว่าไปเกมการสนับสนุนนี้จะเป็นเพียงแคมเปญความบังเอิญของทั้ง 2 แบรนด์ ที่จะกระตุ้นการรับรู้ของแบรนด์ หรือเป็นเกมการชิงลูกค้า กลุ่มที่ชื่นชอบกีฬา เราก็ไม่อาจรู้ได้ แต่อย่างน้อย คนไทยก็ได้เชียร์บอล กันอย่างสนุก ทั้งบอลไทย และบอลต่างประเทศ ก็แล้วกัน

เกมของการช่วงชิงความเป็นที่ 1 ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะเมื่อเดือนก่อน BYD ได้คลอดรถยนต์ PHEV โมเดลใหม่ SEAL 5 DM-i Super Hybrid ที่มีให้เลือก 2 รุ่น ประกอบด้วยรุ่นท็อป Premium ราคา 769,900 บาท แถมยังมีราคาพิเศษซื้อภายในเดือนกันยายน จ่ายเพียง 699,900 บาท ส่วนอีกรุ่น เป็นรุ่นเริ่มต้น SEAL 5 DM-i Super Hybrid Standard แต่ยังไม่เปิดราคา โดยจะไปเปิดราคาอย่างเป็นทางการในงาน BIG MOTOR SALE 2025 ซึ่งให้หลังจาก TOYOTA เปิดตัว และประกาศราคาอย่างเป็นทางการ TOYOTA YARIS ATIV HEV เพียง แค่วันเดียว ซึ่งถือว่าเป็นรถที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน มีราคาไล่เลี่ย ใกล้เคียงกัน

อีกทั้งล่าสุดทีมงานเราได้ทราบมาว่า BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid Standard ยกเลิกไม่จำหน่ายไปแล้ว ทำให้ SEAL 5 DM-i Super Hybrid จะมีจำหน่ายเพียงแค่รุ่นเดียวคือรุ่น Premium ซึ่งเปิดราคาขายไปแล้วนั่นเอง ซึ่งจะว่าไปเกมการเปิดตัวเปิดราคาครั้งนี้ จะดูว่าบังเอิญก็ว่าได้ แต่จะมองว่าเป็นเกมชิงไหวชิงพริบอีกรอบหนึ่งก็คงไม่ผิดอะไร

สำหรับ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID เป็นรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ซีดานขนาดกลาง ขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด (PHEV) แบบ DM-i SUPER HYBRID สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.5 วินาที ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าหน้า 145 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เบนซิน Xiaoyun 1.5L Atkinson Cycle ให้กำลังสูงสุด 72 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 122 นิวตัน-เมตร โดยเมื่อทำงานร่วมกันแล้วให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตัน-เมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น่าทึ่งเพียง 3.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร พร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วย Blade Battery เอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ทำให้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 120 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

ภายใน BYD SEAL กว้างขวาง คอนโซลกลางดีไซน์ฟังก์ชันครบ Smart Control พร้อมเกียร์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Dial ควบคุมด้วยปลายนิ้ว หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย ขนาด 12.8 นิ้ว ในรุ่น Premium เบาะผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางและเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

ขณะที่ NEW YARIS ATIV HEV ขยับจากการใช้เครื่องยนต์เบนซินจาก 1.2 ลิตร เป็น 1.5 ลิตร มีอัตราสิ้นการใช้เชื้อเพลิงไฮบริดที่ดีที่สุดในประเทศไทย ที่ 29.4 กม./ลิตร ถือเป็น BEST IN CLASS อุปกรณ์อำนวยความสะดวก หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย


อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย เบรกมือแบบไฟฟ้า ปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง และระบบกรองฝุ่น PM2.5 ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense (TSS) พร้อมฟังก์ชั่นใหม่ LKC : Lane Keeping Control ช่วยคุมรถให้อยู่ในเลน มีระบบเตือนมุมอับสายตา เตือนขณะถอยจอดพร้อมกล้องมองรอบคัน และกล้องวิดีโอบันทึกภาพด้านหน้า มี Airbag 6 ตำแหน่ง รุ่น HEV GR Sport ราคา 779,000 บาท บาท และรุ่น HEV Premium ราคา 729,000 บาท ซื้อช่วงแนะนำลดอีก 10,000 บาท


ทีนี้เรามามองกันต่อว่า เกมนี้ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ
ถ้ามองกันแบบทั่วไป BYD ได้เปรียบเรื่อง ความเร็วในการเปิดตัว และสร้างกระแสก่อน แถมโปรดักต์ยังเป็นปลั๊ก-อิน ไฮบริด แถมการเปิดตัวก่อน ยังตั้งราคาดึงดูดสุดๆ ด้วยราคาพิเศษช่วงแนะนำที่ 699,900 บาท ก่อนจะปรับขึ้นเป็น 769,900 บาท มันคือข้อได้เปรียบทั้งในแง่กระแส และความตื่นเต้น

แต่ถ้ามองเรื่องความชัดเจนราคาที่เหมาะสม และความเชื่อมั่นในแบรนด์ Toyota ได้เปรียบในเชิงความมั่นใจผู้บริโภค ส่วนถ้ามองกับแบบยาวๆ เกมระหว่าง Toyota กับ BYD โดยใช้กรณี Yaris ATIV Hybrid กับ BYD SEAL 5 DM-i เป็นตัวตั้ง เทคโนโลยีโตโยต้าแม้จะเป็นเทคโนโลยีไฮบริด แต่ยังแค่ Hybrid (HEV) แบบเดิมแต่ BYD เป็น Plug-in Hybrid (PHEV) ซึ่งสามารถชาร์จไฟได้ วิ่งไฟฟ้าได้ไกลขึ้น

เรียกว่าในเชิงเทคโนโลยี BYD มีความก้าวหน้ากว่า ดังนั้นหาก TOYOTA ยังไม่ขยับเทคโนโลยีเล่นในแบบเดิมๆ ที่ HEV อยู่ และเมื่อตลาดเริ่มจะอิ่มตัวอาจจะถูก Disrupt ได้ หากเทคโนโลยี EV-PHEV พัฒนากันรวดเร็ว ส่วนเชิงกลยุทธ์ตลาด ต้องยกนิ้วให้ทั้งคู่ที่มีการชิงไหวชิงพริบเกมการตลาดกันอย่างเมามัน เรียกว่าเหล่า Marketer ต้องเก็บไว้เป็นกรณีตัวอย่าง หากแต่ถ้าพูดถึงภาพลักษณ์แบรนด์ ทุกคนคงยกให้ Toyota โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในแบรนด์สูงมาก โตโยต้าเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฮบริด และได้รับความไว้วางใจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 16 ปี อีกทั้งยังมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยลูกค้าสามารถมอบความไว้วางใจให้กับโตโยต้าตลอดการใช้งาน ภายใต้แนวคิด “TOYOTA NO.1 TRUSTED HEV” รับประกันแบตเตอรี่สูงสุด 10 ปีไม่จำกัดระยะทาง มีช่างผู้ชำนาญการ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมมากกว่า 8,000 คน รวมถึงอุปกรณ์การซ่อมที่ได้มาตรฐานสำหรับรถ HYBRID ที่ศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 450 แห่งรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ด้านอะไหล่ ต้องยอมรับเรื่องความพร้อม เพราะมีให้บริการไว้รองรับนานกว่า 15 ปี และสามารถจัดส่งได้เร็วสุดภายใน 48 ชั่วโมง


ขณะที่ BYD แม้จะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ก็ยังถือว่าเป็นเจ้าใหม่ในตลาดยานยนต์บ้านเรา คงต้องสร้างความไว้วางใจกันอีกระยะ หลายคนอาจมองว่าจากวันนี้ไปอีก 5 ปีข้างหน้า BYD จะผู้เป็นผู้เล่นที่น่าจะครองตลาดได้ดีพอสมควรหาก TOYOTA ไม่เร่งสปีด และการเปลี่ยนเกม แต่ก็เชื่อว่า TOYOTA ก็คงไม่ยอมในเกมนี้ง่ายๆ


คงต้องติดตามกันต่อไป ว่าเกมการชิงเจ้าตลาดของ 2 แบรนด์นี้จะเป็นอย่างไร …. ถึงตรงนี้บอกได้เลยว่า สนุก และน่าสนใจแน่ๆ

















