วันก่อนไปร่วมงานฉลอง 25 ปี “มิลเลนเนียม กรุ๊ป” ต้องบอก อึ้งและทึ่ง กับการเติบโตของตระกูล “ธรรมชวนวิริยะ” เพราะใช้เวลาเพียง 2 ทศวรรต สร้างรายได้ต่อปีสูงกว่า 2 พันล้านบาท มีกำไรหลักหลายร้อยล้านบาท

ตระกูลนี้เริ่มต้นธุรกิจยานยนต์จากการเป็นดีลเลอร์บีเอ็มดับเบิลยูเมื่อปี 2543 ด้วยความหลงไหล ฝักใฝ่ในการเรียนรู้ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และต้องการพัฒนาในทุกมิติอย่างไม่หยุดยั้ง ผสานความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ นำไปสู่ความสำเร็จในฐานะผู้แทนจำหน่ายที่เจ้าของแบรนด์ให้การยอมรับอย่างทั่วถึง รวมทั้งได้ความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่พึงพอใจทั้งตัวผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย

วันนี้ “มิลเลนเนียม กรุ๊ป” ภายใต้การนำของ ดร.จุ๋ย “สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ” ที่ก้าวข้ามจากเซลล์แมนมารั้งตำแหน่ง CEO มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) มีผลิตภัณฑ์และบริการอย่างครอบคลุม ทั้งรถยนต์สันดาป, รถยนต์ไฟฟ้า EV, บิ๊กไบก์, เรือยอชต์, เรือแม่น้ำ, รถยนต์มือสอง, ธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว, ตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารสายการบินชั้นนำ, บริการหลังการขายและซ่อมบำรุง, บริการเช่ารถยนต์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวพร้อมพนักงานขับ รวมถึงมีธุรกิจเสริมสร้างรายได้ระยะยาวและบริการอื่นๆ อีกมากมาย

ก้าวย่างที่มั่นคง
ช่วงอายุ 20 ปี ของมิลเลนเนียม ออโต้ การก้าวย่างที่มั่นคง เกิดจากการขยายเอาต์เลต เพื่อให้กระจายครอบคลุ่มทั่วทั้ง กทม.ตั้งแต่พระราม 4 ไปลาดพร้าว กระโดดต่อไปไชน่าทาวน์ โดยย้ำว่า เพียงแค่การแตกสาขาไม่กี่แห่งก็สามารถเพิ่มจำนวนกลุ่มลูกค้าได้มากจากสิบเป็นพันๆ ราย

ปี 2003 นอกจากขาย BMW แล้ว มิลเลนเนียมยังเสริมไลน์โปรดักส์ขายแบรนด์ Mini เติมเข้าไปอีก โดยได้เปิดโชว์รูมที่เอกมัย เกมนี้แม้จะยากในตอนนั้น เพราะกลุ่มคนเล่นรถมินิเป็นกลุ่มเฉพาะ จำนวนไม่มาก แต่ดร.จุ๋ยอ่านกระดานหมากนี้ขาด เขาได้ข้อสรุปว่ารถมินิ คือของเล่น ของสะสม ไม่ใช่รถใช้งาน ดังนั้นการตลาดแนวไลฟ์สไตล์ต้องถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความแตกต่าง ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง เขาผุดอีเวนต์เฉพาะกลุ่ม ชมรมคนรักมินิ ปรับปรุงโชว์รูมเอกมัยให้เป็นเหมือนที่สถานที่แฮงค์เอ้าต์ของลูกค้า เปลี่ยนการขายโปรดักต์เป็นขายไลฟ์ไตล์ ทำให้มินิซึ่งแรกๆ คือโจทย์หินกลับมาขายได้เฉลี่ยวันละคัน และไม่ได้หยุดยังเพียงเท่านั้น ยังสร้างสาขาเอกมัยเป็น Mini Stand Alone ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนั้น ดร.จุ๋ย ยังเพิ่มช่องทางการขาย โดยทุ่มเงินลงไปเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อทำให้เกิดโชว์รูมรถยนต์หรูบนห้างสรรพสินค้าจนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

จากแนวคิดที่ว่า ขายรถแค่ 2 แบรนด์ จะไปทันอะไรกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว มิลเลนเนียม ออโต้ จึงได้แตกกลุ่มธุรกิจออกไปถึง 3 กลุ่ม ได้แก่
1. Mobility Retail Business ใช้คำจำกัดความว่า ผู้นำเข้า และหรือ ผู้จำหน่ายรถยนต์ บิ๊กไบก์ เรือยอชต์ และเรือแม่น้ำ ในลักษณะธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ รวมถึงให้บริการจัดหาลูกค้า สำหรับธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว โดยแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำระดับโลกที่อยู่ในมือของ MGC-ASIA ก็จะมีทั้งรถยนต์ Rolls-Royce, BMW, MINI, Honda และบิ๊กไบก์ BMW Motorrad, Harley-Davidson รวมถึงเรือยอชต์สัญชาติอิตาเลียน Azimut เรือแม่น้ำสัญชาติอเมริกัน Chris-Craft และบริการจำหน่ายรถยนต์มือสอง บริการจัดหาลูกค้า สำหรับธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว VistaJet เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง




2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย และให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ

3. กลุ่มธุรกิจให้บริการเช่ารถยนต์และพนักงานขับ บริการเช่ารถยนต์ระยะสั้นภายใต้แบรนด์ระดับโลก “Sixt Rent a Car” ที่มีศูนย์บริการมากกว่า 4,500 สาขา ในกว่า 105 ประเทศทั่วโลก

รายได้จากไม่กี่ร้อยล้านบาทต่อปี ทะลุเป็นหลักพันล้าน ผลประกอบการของ มิลเลนเนียม กรุ๊ป เติบโตขึ้นทุกปีอย่างน้อย 10-15% โดยในปี 2563 ทำรายได้รวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท ปี 2564 ทำรายได้ทั้งกรุ๊ปสูงถึง 23,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลหรือบิ๊กดาต้า (Data Excellence Center) เพื่อดูแลฐานลูกค้ากว่า 5.5 แสนราย

พันธมิตรที่เคยมีเพียงไม่มีกี่เจ้า ก็ถูกขยายไปแบบไม่หยุดยั้ง ล่าสุดยังได้เกิดความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัท อรุณ พลัส ในเครือ ปตท. และ MGC-ASIA เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยใช้จุดแข็งทางธุรกิจ ทั้งความพร้อมด้าน Supply Chain และศักยภาพบุคลากรของทั้งสองกลุ่มบริษัท ตั้งบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด เปิดรถยนต์ไฟฟ้าถึง 2 แบรนด์ Xpeng และ Zeekr แม้ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจะแข่งขันกันรุนแรง แต่ทั้ง Xpeng และ Zeekr ก็กวาดลูกค้ามาได้มากอยู่ทีเดียว


เข้าตลาดฯ สร้างความเชื่อมั่น
ปี 2566 ถึงเวลาที่มิลเลนเนียม กรุ๊ป พร้อมที่จะกระโดดเข้าไปโลดแล่นเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนในองค์กรในรูปแบบมหาชน โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวนไม่เกิน 336,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท

หลังการเสนอขายหุ้นสามัญ ได้เงินใช้คืนหนี้บางส่วน แล้วก็ยังได้นำเงินไปลงทุนในบริษัท อัลฟ่า เอกซ์ จำกัด (Alpha X) บริษัทลูก SCBX และบริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อโอกาสใหม่ทางธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่กลุ่มบริษัทได้ในระยะยาว ซึ่ง Alpha X ใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อเพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Lending) เติบโตขึ้นกว่า 45%
2567 ปีแห่งความท้าทาย
ดร.จุ๋ย ยอมรับว่าปี 2567 ที่ผ่านมา แม้ว่าตัวเองจะมีรถยนต์ในมือถึง 9 แบรนด์ มีรถใช้แล้วอีกหลายหลายแบรนด์ แต่ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตั้งแต่ภาพรวมเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่หดหาย หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจนทะลุ 90% ของ GDP และที่สำคัญคนซื้อรถกู้ไม่ผ่าน ทำให้ MGC-ASIA มียอดขายหดตัวลงถึง 10% ทั้งรถยนต์ใหม่และรถเก่าขายได้แค่ 9,000 คัน ถือเป็นปีแรกที่ MGC-ASIA ขายรถต่ำกว่าหมื่นคัน

ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ยังพอไปไหว ทั้งฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ที่ทำรายได้แตะระดับ 337 ล้านบาท เติบโต 2% และมีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท ธุรกิจศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง Tesla Approved Body Shop (TAB) ที่ได้รับความไว้วางใจจาก TESLA ให้เป็นผู้บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า TESLA ก็อยู่ในช่วงขยายตัวและมีกำไรต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ที่เข้ารับบริการมากกว่า 19%

ลั่นเติบโตอย่างยั่งยื่น
ส่วนปี 2568 MGC-ASIA จะมุ่งขับเคลื่อนผ่าน 3 แนวรุก ได้แก่ 1. Growth Objectives 2. Business Ecosystem Segments และ 3. Sustainability and Innovation โดยเน้นเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ แต่จะให้ความสำคัญกับ 3 กลุ่มใหญ่ 1. ค้าปลีกยานยนต์ 2. เซอร์วิส 3. รถเช่าทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างยืนและก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร
