จากอดีตที่ผู้บริหาร Tesla เคยประกาศว่า เขาไม่นับแบรนด์รถไฟฟ้าจากจีนแบรนด์หนึ่งเป็นคู่แข่ง แบบสไตล์เทียบชั้นกันไม่ได้ แต่มาวันนี้แบรนด์จีนแบรนด์นั้นทำยอดขายเกินหน้าเกินตา แซงแบบทะลุทะลวง เล่นเอาหน้าแหกไปตามๆ กัน ซึ่งก่อนหน้านี้เราต้องยอมรับว่า Tesla อดีตคือผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าของโลก แต่ตอนนี้กำลังเจอศึกหนักที่ถูกตีล้อมไว้รอบด้านเหมือนโดนรุมจากรถยนต์ไฟฟ้าประเทศจีน
ในประเทศไทยประเด็นมันไม่ได้อยู่แค่เรื่องของราคาที่รถไฟฟ้าจากจีนจับต้องง่ายกว่า แต่มันอยู่ที่ว่า ในราคาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้ รถจีนมีทุกอย่างที่ Tesla มี หรืออาจมีมากกว่า ด้านสมรรถนะกาขับขี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากมาย แถมโชว์รูมรถจีนก็ขึ้นใหม่เป็นดอกเห็ดไปไหนก็เจอ มีอยู่ทุกถนน มันก็สร้างความมั่นใจในเรื่องของบริการหลังการขายได้เยอะ (อันนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าทั่วไปเข้าใจ) ในขณะที่ Tesla Thailand เอาจริงๆ ลูกค้าก็ยังไม่เห็นความชัดเจนอะไรนัก ทั้งเรื่องความยั่งยืนในฝั่งขาย และความมั่นใจในเซอร์วิส ไม่ใช่แค่ตาเห็น แต่ในด้านการสื่อสารกับลูกค้าก็มีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย อาศัยว่าแบรนด์เขามีชื่อเสียงอยู่ทั่วโลกเท่านั้นเอง
นี่ผมยังไม่นับรวมทางเลือกของลูกค้าที่ตอนนี้ในประเทศโดย Tesla Thailand ก็มีรถขายอยู่แค่ 2 รุ่นเท่านั้นเอง นั่นคือ Tesla Model 3 ที่อย่างน้อยตอนนี้เป็น Minorchange แล้ว กับอีกรุ่นคือ Model Y มีแค่นี้เอง ในขณะที่รถทางค่ายรถยนไฟฟ้าจากจีนหลายๆ แบรนด์ มีผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเลือกแทบทุกเซ็กเมนท์ตั้งแต่รถซิตี้คาร์ใช้ในเมือง รถครอบครัวขนาดกลาง Crossover SUV หรือแม้กระทั่งรถตู้ MPV เขามีมาหมด ราคามัดรวมมาทุกยี่ห้อก็มีตั้งแต่ 5 แสนต้น ไปจนถึงเกือบๆ 3 ล้าน
ยังไม่หมดแค่นั้น รูปร่างหน้าตาของรถจีนมันก็สวยๆ เด่นๆ ทั้งนั้นเลยด้วย ใครจะว่าก๊อปปี้ยี่ห้อนั้นมา ก๊อปปี้ยี่ห้อนี้มา แต่ถ้าถามว่าสวยมั้ยล่ะ? ตอบได้ทันทีว่าสวย!! ในขณะที่รูปร่างหน้าตา Tesla ดูเหมือนจะไม่ไปไหนและน่าจะขยับยาก และถ้าหวังจะไปเอาดีไซเนอร์ออกแบบรถเก่งๆ มาช่วยปรับปรุงล่ะก็ ตอนนี้คนเหล่านั้นไปรับเงินเดือนมหาศาล มีบ้านหลังใหญ่เป็นคฤหาสน์อยู่ในประเทศจีนกันเกือบหมดแล้ว
ยังไม่หมด ที่ Tesla เจ็บแค้นมากไปกว่านั้นคือ ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ของจีน มันเหมือนมาแหย่ หรือเอานิ้วมาจี๋เอว Tesla อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีที่จัดมาเต็มชนิดที่ว่าล้นทะลัก ลองคิดดูว่าจากผู้นำที่กร่างอยู่ได้พักใหญ่ๆ มาถึงวันนี้เริ่มหงอย แล้วอีกอย่างนิสัยลูกค้าปัจจุบันโดยเฉพาะลูกค้าไทย มีทัศนคติการซื้อรถที่ต่างไปจากสมัยก่อนเยอะ สำหรับลูกค้าทั่วไปความคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายมันสำคัญกว่ายี่ห้อเสียแล้ว เอาง่ายๆ จ่ายเงินซื้อรถไฟฟ้าราคา 8 แสนกว่าบาท ได้รถไซส์คอมแพ็คหน้าตาดี 200 กว่าแรงม้า ฟังก์ชั่นให้เล่นเพียบ เครื่องเสียงดี เบาะคู่หน้ามีรูให้แอร์เป่า อัพเดทซอฟท์แวร์ได้ตลอดเวลาผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ต และอื่นๆ อีกมากมาย คุณไม่ซื้อเหรอครับ ราคานี้ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น สิ่งที่ผมยกตัวอย่างมา คุณไม่ได้สักอย่างเลยนะ ส่วน Tesla ไม่ต้องพูดถึง เพราะ Model 3 รุ่นเริ่มต้นก็ปาไปเกือบล้านหกแล้ว! ซึ่งในราคานั้นผมยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็ BYD Seal เพราะเป็นซีดาน 4 ประตูอยู่ในเซ็กเมนท์เดียวกัน คุณได้รุ่นท็อป AWD Performance เลย
ที่นอกเหนือจากอุปกรณ์ฟังก์ชั่นมาเต็มแล้ว ยังทำเอาสายซิ่งเท้าหนักมือไม้สั่นกับพละกำลัง 530 แรงม้า มาพร้อมมอเตอร์คู่หน้า-หลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.8 วินาที ซึ่ง Seal AWD Performance นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวนะครับ เพราะมีอีกหลายรุ่นจากหลายยี่ห้อที่รอเอาถาดตีหัว Tesla Model 3 อยู่ ก็เลยเป็นสาเหตุให้ Tesla Thailand เกือบจะหลังชนฝาแล้วงัดกระบวนท่า (เกือบ) สุดท้ายออกมาด้วยการหั่นราคาโดยเฉพาะรุ่นเริ่มต้นมอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง Minorchange ลงมาเหลือ 1,599,000 บาท ทำเอาเจ้าของ Model 3 รุ่นแรก โดยเฉพาะที่ซื้อไปกับผู้นำเข้าอิสระตอนนั้นราคาสองล้านกว่า นั่งกอดเข่าก้มหน้าทำใจยาก แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจความคุ้มค่าว่าราคาเท่านี้ต้องได้นั่นได้นี่ ต้องทำอย่างนั้นได้ ต้องทำอย่างนี้ได้ ผมว่า Tesla Model 3 Minorchange มันก็สวยน่าขับดีเหมือนกันนะครับ ไม่โหลดีด้วย (เพราะคนไปซื้อรถจีนกันหมด)
รวมไปถึงคู่แข่งของ Tesla Model Y รถไฟฟ้าราคาสูง ดูไฮโซภูมิฐาน สำหรับคนไทยก่อนหน้านี้ก็ต้องรวยพอสมควรถึงขับรุ่นนี้ แต่ตอนนี้รุ่นเริ่มต้น Model Y ปี 2024 มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคาลงมาที่ 1,749,000 บาท เล่นเอาเจ้าของ Model Y ที่ซื้อกับผู้นำเข้าอิสระก่อนหน้านี้แทบจะเอารถบุกเข้าชนสำนักงานใหญ่ Tesla Thailand เลยทีเดียว แต่ก็ติดตรงถ้าไม่ใช่ FC จริงๆ ก็ไม่รู้อีกว่าสำนักงานใหญ่เขาอยู่ที่ไหน
ซึ่งสำหรับคนที่ขึ้นไปเล่น Model Y ตัวท็อปสุดรุ่น Performance มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ 537 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.7 วินาที วิ่งได้ไกลสุดต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็มที่ 514 กม. (WLTP) ก็ต้องจ่ายถึง 2,329,000 บาท ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าจีนที่เห็นกำลังออกมาวิ่งกันเกลื่อนถนนอย่าง Deepal S07 หรือที่ผมชอบเรียกมันว่า Urus จูเนียร์นี่แหละครับ รูปทรงล้ำสมัยละม้ายคล้ายคลึง SUV จากค่ายซูเปอร์คาร์ ของเล่นมาเพียบ และราคาไม่ถึงล้านสี่!! แล้วไหนจะรถใหม่จากมณฑลกวางโจวอย่าง Xpeng G6 อีก ที่รูปร่างหน้าตาสวยเหลือเกิน แต่ไซส์อาจจะเล็กกว่า แล้วก็เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาติคือ พกเทคโนโลยี และฟังก์ชั่นทันสมัยมาท่วมคัน
นอกจากนี้ใน Model Type อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ORA Good Cat , BYD Dolphin หรือ MG4, Changan Lumin รวมไปถึง Neta V ก็ยังมีตัวเลือกที่มากโข ถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเริ่มเห็นด้วยแล้วใช่มั้ยว่า Tesla เขาเจอศึกใหญ่ที่ดูแล้วไม่จบง่ายๆ แต่จะปรับไปทางไหนนี่สิ น่าสนใจ วิธีการทำตลาดของเขา จะยังคงเป็นแบบเดิมไหม เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง มันไม่น่าลงไปกว่านี้แล้ว หรือถ้าจะมีรุ่นใหม่ๆ มาที่จะมาทำราคาต่ำกว่านี้ ผมเชื่อว่าของเล่นต่างๆ โดยเฉพาะที่คนไทยชอบ ก็ไม่น่าจะสู้รถยนต์ไฟฟ้าจีนได้ หรือถ้าจะเล่นเรื่องบริการหลังการขายที่ลูกค้า และที่ไม่ได้เป็นลูกค้าแต่ทำตัวยิ่งกว่าลูกค้าของรถยนต์ไฟฟ้าจีนกำลังเปิดประเด็นตำหนิรถแบรนด์จีนอยู่ทุกวี่วัน ก็ไม่ง่ายอีก เพราะหนึ่งเลยคือ Tesla ก็ไม่ใช่แบรนด์ที่ดูแลลูกค้าได้ทีเท่ารถญี่ปุ่น ประการที่ 2 รถ EV มันแทบไม่ต้องมีอะไรให้เซอร์วิส นอกเสียจากว่าจะมีอุบัติเหตุ หรือความบกพร่องของระบบตัวรถเอง ซึ่งจากที่ผมเองเคยได้คลุกคลีกับวิศวกรจีนที่พัฒนารถไฟฟ้า มันทำได้ง่ายกว่า และแก้ปัญหาได้เร็วกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปเยอะ คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวเสียบกับตัวรถ หรือแค่เชื่อมต่อบลูทูธ กดหน้าจอดิสเพลย์ที่ตัวรถ กดแป้นแล็ปท็อปแก๊กๆๆๆ แค่จิบกาแฟแก้วเดียวก็แก้ปัญหาเสร็จหมดแล้ว
ส่วนประเด็นที่ว่ารถจีนจะมาทำธุรกิจรถยนต์เมืองไทยพังระเนระนาดตามกระเสข่าวที่กำลังร้อนแรงตอนนี้ ส่วนตัวผมมองว่า มันก็เป็นการแข่งขันทางธุรกิจซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกวงการอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะปรับตัวได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง ของถ้าดี มันก็ขายดี คนก็ซื้อ บริการถ้าดี คนก็ชอบ ถ้าของไม่ดี คนก็ไม่ซื้อ วันหนึ่งมันก็เจ๊ง อย่างกรณีนี้ รถจีนถ้าลูกค้าซื้อไปแล้วมันใช้งานไม่ดีจริง ไม่ทน เซอร์วิสห่วย ปัญหาเยอะ ขายไม่ได้ วันหนึ่งก็เจ๊งพับลับบ้าน เพราะถ้าลงไปดูถึงยอดขายรถจีนวันนี้ มันก็ไม่ได้มากมายเท่าช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนเรื่องนโยบายภาษีนำเข้ารถจีน หรือมาตรการต่างๆ เพื่อพยุงธุรกิจ และอุสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ผมไม่มีความเห็น และผมแนะนำให้คุณอ่าน ฟัง วิเคราะห์ จากนักข่าวหรือนักวิจารณ์สายธุรกิจ หรือเศรษฐกิจ จะแม่นกว่าครับ แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนจะแห่มาซื้อรถจีนกันหมดเสียเมื่อไหร่ คนที่ยังไม่เปิดรับรถจีน คนที่ยังเป็นแฟนเหนียวแน่นรถค่ายญี่ปุ่น ค่ายรถเกาหลี และลูกค้าที่ถ้าต้องเสียเงินล้านปลายขึ้นไป เขาก็ไปเอารถยุโรป แต่ถึงยังไงเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้มันเป็นยุคของรถยนต์ไฟฟ้าจีนจริงๆ หรือคุณว่ายังไงครับ