เชื่อว่าหลายคนมีคำถามคาใจกับการมาของกระบะไฟฟ้า Toyota Hilux Travo-e ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา ที่ตั้งโดดทะลุไปถึงเกือบล้านห้า (1.491 ล้านบาท) หรือว่าจะเป็นเรื่องระยะทาง ที่ทำไมใส่แบตให้วิ่งมาได้แค่นี้ เราหาคำตอบมาให้แล้วครับ

ก่อนอื่นเรามาพูดถึงตัวรถ และสเปคกันซักหน่อยดีกว่า สำหรับ Toyota Hilux Travo-e หน้าตาอาจจะคุ้นๆ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในต้องบอกว่าใหม่หมด รูปลักษณ์ภายนอก Hilux Travo-e ยังคง DNA ของ Hilux Travo แต่ใต้ตัวถังนั้นคือการรื้อโครงสร้างใหม่แทบทั้งคันเพื่อรองรับพลังงานไฟฟ้า

ภายในห้องโดนสารหรูหราดี วัสดุที่ใช้เกรดดีทีเดียว คันเกียร์กะทัดรัดสไตล์จอยสติ๊ก โตโยต้า ใส่ฟังก์ชั่นการขับเคลื่อนมาให้ครบตามสภาพเส้นทางต่างๆ โดยเลือกเปลี่ยนได้หลากหลายไม่จำกัด มีโหมดการขับทั้ง ECO, NORMAL, SPORT พร้อม Multi Terrain Select (MTS) ที่เอาไว้สำหรับสายลุย

โดยโครงสร้างเป็น Body-on-Frame แบบกระบะพันธุ์แท้ ระบบขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ หน้า–หลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา Full-time 4WD การกระจายน้ำหนักหน้า–หลัง 50:50 ผลลัพธ์คือมีสเถียรภาพในการขับดี มั่นคง แม้จะหนักขึ้นจากแบตเตอรี่กว่า 500 กิโลกรัม ความรู้สึกหลังพวงมาลัยคือ เป็นรถกระบะที่ขับได้นิ่ง ทรงตัวดี อาการโคลงตัวของรถน้อย แต่ถ้าวิ่งโดยไม่มีน้ำหนักบรรทุกจะรู้สึกกระด้างแบบรู้สึกได้ทันที โดยเฉพาะเวลาวิ่งบนถนนคอนกรีต แต่ก็แลกมากับการควบคุมรถง่าย ไม่เหวอเวลาเข้าโค้ง

ด้านหัวใจการขับเคลื่อนของ Hilux Travo-e คือระบบ E-Axle ซึ่งมอเตอร์แยกอิสระหน้า–หลัง กระจายแรงขับ ด้านหลัง 60% ด้านหน้า 40% มี LSD แบบกลไก ทั้งหน้าและหลัง เมื่อรวมกับโหมด E-Trail รถจะควบคุมแรงบิดที่ล้อแต่ละข้างแทนผู้ขับ ลดการลื่นไถลในทางชัน โคลน หิน หรือทราย เปรียบง่ายๆ เหมือนมีผู้ช่วยลุยเส้นทางออฟโรดแบบมืออาชีพนั่งอยู่ใต้ท้องรถมาด้วยตลอดเวลานั่นเอง

เอาล่ะ!! มาเข้าคำตอบที่ทุกคนอยากรู้แล้วว่า เรื่องแบตเตอรี่ที่ใส่อยู่ใน Toyota Hilux Travo-e ทำไมถึงใช้ขนาดเล็ก 59.2 kWh ทั้งๆ ที่ได้ลงทุนกับเรื่องของแบตเตอรี่ไปมากกว่าคู่แข่ง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ารถไฟฟ้าหลายคันหลายค่าย พยายามอัดแบตเตอรี่ให้ได้ความจุสูงที่สุด แต่ Toyota เลือกใช้แนวคิดตรงข้ามในชื่อว่า Diamond Guard ไม่วางเซลล์แบตเตอรี่ให้ชิดขอบเฟรม มีการสร้าง Safe Zone รอบแบตเตอรี่ให้มากขึ้น ป้องกันแรงกระแทกจาก 6 ทิศทาง ด้านข้างมีเกราะซับแรงหนา 29.5 ซม. ด้านหน้า ด้านหลัง มีการเสริมคานกันกระแทก รวมถึงด้านบนและด้านล่าง ซึ่งทำให้ขนาดแบตเตอรี่เลยมีพื้นที่บรรจุได้แค่นี้ ทำให้เจ้า Hilux Travo-e วื่งได้ระยะต่อการชาร์จแค่ 315 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว ได้ลองวิ่งระยะทางใช้ได้จริงก็ไม่ถึง 300 กม.

ยังไม่หมด เรื่องของความปลอดภัย Toyota Hilux Travo-e ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับไฟรั่วอีก 12 จุด ระหว่างเฟรมและตัวถัง เซ็นเซอร์อีก 5 ตัวในแบตเตอรี่ หากพบกระแสไฟผิดปกติ ระบบจะตัดไฟทันที ผลลัพธ์คือ แบตเตอรี่ปลอดภัย ตรงจุดนี้ถ้ามองผิวเผินอาจมองว่าแค่เรื่องความปลอดภัย แต่นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว ยังได้ประโยชน์เรื่องอื่นเสริมมาอีก อย่างเรื่องตัวประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันภัยสามารถมองเห็นเป็นจุดแข็งก็กล้ารับประกันภัย ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันถูกกว่ารถยนต์ EV หลายรุ่นในท้องตลาด

ส่วนใครที่ปรามาสว่าใช้ปิกอัพ BEV จะลุยงานไว้เหรอ ขอบอกคันนี้ไม่ได้บอบบาง เพราะ Travo-e ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อโชว์หรือวิ่งใช้งานในเมืองอย่างเดียว เอาจริงๆ เค้าลุยน้ำได้ลึกถึง 70 ซม. เลยนะ (ซึ่งเรามีคลิปมาให้ดูในลิงค์ https://youtube.com/shorts/gYuV1hGJiPQ?si=k1Lql0QXrM_4KTgV) พร้อมทั้งยังมี MTS ไว้สลับโหมดเพื่อเอาไว้ลุยเส้นทางทุรกันดาร เช่น หลุมบ่อ โคลน หิน ทราย โดยตัวมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และสายไฟ โตโยต้าออกแบบให้มีเกราะป้องกันหลายชั้น ปลอดภัยแม้ขับผ่านน้ำสูงๆ

ด้านช่วงล่างปรับใหม่ ให้รองรับงานหนักได้ และทุกอย่างของความเป็นกระบะยังอยู่ครบ แค่เปลี่ยนพลังงานไปเป็นไฟฟ้าก็เท่านั้น นอกจากนี้ใครที่คิดว่าพอปิกอัพ Travo-e เป็นปิกอัพไฟฟ้าที่มาพร้อมระบบเบรกไฟฟ้าแล้ว จะไม่สามารถเข็นได้ บอกเลยคันนี้จอดรถเกียร์ว่างได้สบายๆ เพียง 6 ขั้นตอน โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเหยียบเบรกค้างไว้เสมอในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ 1. เปิดสวิตช์กุญแจ (IG ON) ในขณะที่ยังเหยียบเบรกอยู่ 2. เข้าเกียร์ตำแหน่ง N ค้างไว้แล้วรอสักครู่ 3. กดปุ่มหรือจัดการระบบเบรกมือไฟฟ้า 4. สังเกตจนกระทั่งไฟตำแหน่ง P กระพริบ 5. ปิดสวิตช์กุญแจ (IG OFF) เพื่อดับระบบ 6. ถอนเท้าออกจากเบรก เป็นขั้นตอนสุดท้าย รถจะอยู่ในสถานะที่สามารถเข็นได้แม้จะจอดดับเครื่องอยู่ก็ตาม ซึ่งฟังก์ชันนี้เป็นฟังก์ชันพิเศษที่มีเฉพาะในประเทศไทย และอินโดนีเซียเท่านั้น เพื่อรองรับการจอดรถในลักษณะที่ต้องมีการเข็นเคลื่อนย้ายได้

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของรถคันนี้ Toyota รู้ดีต้องเป็นลูกค้าระดับพรีเมียม ดูจากเป้าหมายการขายปีนี้เอาแค่ 500 คัน ส่วนปีหน้า 1,000 คัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก 1. กลุ่มลูกค้าบุคคล กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และเทคโนโลยี ชื่นชอบความ พรีเมียม ทันสมัย และมีใจรักโลก มักเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้สูง ซึ่งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นเครื่องมือในลักษณะสะท้อนถึงความสำเร็จและภาพลักษณ์ของตนเอง มองหาโอกาสในการลงทุนเพื่ออนาคต โดยเฉพาะในด้านความยั่งยืน มักจะใช้รถรุ่นนี้เป็น รถคันที่สองและจะพิจารณาตัดสินใจซื้อโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

อีกกลุ่ม ลูกค้าองค์กรที่ขายกันเป็นฟลีตจำนวนเยอะๆ บริษัทเหล่านั้นต้องการลดคาร์บอน หรือคาร์บอนเครดิต เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่ง Travo-e ลดได้ถึง 75% จากรถที่ใช้เครื่องยนต์ ยิ่งระยะหลังคาร์บอนเครดิตเข้ามามีบทบาทมาก บริษัทใหญ่ๆ ให้ความสำคัญ อีกอย่างที่ลูกค้าองค์กรต้องการ คือ Total Cost of Ownership ต้องการรถที่ซ่อมง่าย ใช้ยาว ซึ่งรถไฟฟ้าหลายแบรนด์ให้ไม่ได้

นอกจากนี้ยังมีในกลุ่มของลูกค้าที่โตโยต้า ส่งออกไปอีกหลายประเทศด้วย โดยเฉพาะโซนยุโรป และยังไม่รวมถึงเรื่องของการผลิตชดเชยคืนโครงการ EV3.5 ที่โตโยต้าได้รับการซับพอร์ตจากภาครัฐในการขายตัว bZ4X แต่ก็ต้องผลิตคืน ซึ่ง Travo-e ก็ทำหน้าที่ตรงนี้อยู่

โดยสรุปไล่เรียงจุดขายหลักของ Travo-e ซึ่งมีถึง 7 ประการลองไปดูกัน
1. ความแข็งแกร่งตามมาตรฐาน Hilux ตัวรถได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแกร่งในมาตรฐานเดียวกับรถกระบะ Hilux ที่ผู้ใช้ไว้วางใจ พร้อมทั้งมีเทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญของระบบไฟฟ้า
2. ศูนย์บริการที่ครอบคลุม มากกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ และยังมีบริการ Mobile Service ที่สามารถเข้าไปสนับสนุนผู้ใช้ได้อย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่
3. ความพร้อมของอะไหล่ ที่พร้อมส่งมอบด้วยมาตรฐานการจัดการเดียวกับรถยนต์รุ่นน้ำมันและรถไฮบริด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการรอคอยอะไหล่นาน
4. มีทีมช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ ได้รับการอบรมการซ่อมแซมรถยนต์ไฟฟ้าขั้นสูงมาโดยเฉพาะ
5. นอกจากช่างในพื้นที่แล้ว ยังมีทีมวิศวกรส่วนกลางที่พร้อมจะเข้าไปสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทั่วประเทศภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมง
6. ราคาเบี้ยประกันภัยชั้น 1 ของรถรุ่นนี้มีราคาที่ถูกกว่าแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ ในตลาดปัจจุบัน
7. ทางเลือกในการเป็นเจ้าของ มีโปรแกรม KINTO ซึ่งเป็นทางเลือกในการเช่าใช้รายเดือน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการความยืดหยุ่น
ดังนั้นการเลือกซื้อรถรุ่นนี้จึงเปรียบเสมือนการย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่สร้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ซึ่งไม่เพียงแต่ตัวบ้านจะแข็งแรงทนทานเท่านั้น แต่ยังมีทีมช่างซ่อมบำรุงและอะไหล่เตรียมพร้อมดูแลอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้พักอาศัยได้อย่างสบายใจ

Toyota Hilux Travo-e อาจไม่ใช่รถกระบะไฟฟ้าที่สเป็กหวือหวาที่สุด และไม่ใช่รถที่ราคายั่วใจที่สุด แต่มันคือรถที่ตอบคำถามสำคัญที่สุดของคนใช้รถจริงซึ่งโตโยต้ายึดปฎิบัติมาตลอดนั่นคือเลือกขาย “ความเชื่อมั่น” นั่นเอง















