เมื่องาน BIG Motor Sale ที่ผ่านมา หากใครได้ไป จะเห็นเลยว่าบูธ Omoda & Jaecoo คนแน่น ตั้งแต่หน้าบูธ ยันไปถึงโต๊ะปิดการขาย ซึ่งพระเอกของงานครั้งนี้คงหนีไม่พ้นรถรุ่นใหม่ Jaecoo 5 ที่ไม่ใช่แค่บูธแน่น แต่แน่นยาวไปถึงลานทดลองขับ มีลูกค้าลงคิวกันทั้งวัน

และที่สำคัญลูกค้าหลายๆ คนที่มาทดลองขับคือจองรถไปก่อนแล้ว อะไรมันจะขนาดนั้น! รถเค้าดีอะไรดีขนาดนั้น ทีมงานเราเลยต้องขอเอามาลองซะหน่อย Jaecoo 5 ต้องบอกว่าเปิดราคาได้เย้ายวนชวนเสียเงินซะเหลือเกิน กับราคาในช่วงเปิดตัวช่วงแรก หรือเรียกภาษาอังกฤษเท่ห์ๆ ว่า ‘Early Bird’ รุ่นเริ่มต้น Dynamic 549,000 บาท ส่วนรุ่นท็อป Max 599,000 บาท

เฮ้ย!!! SUV ไฟฟ้าไซส์คอมแพค แถมออปชั่นท่วมเปิดราคามาไม่ข้าม 6 แสนเนี่ยนะ! มิน่า ยอดจองช่วงงาน BIG MOTOR SALE ที่ผ่านมาแค่ 10 วันของบูธนี้ล่อไป 6,500 คัน และเชื่อว่าในจำนวนทั้งหมดน่าจะเป็น Jaecoo 5 เกิน 80% ถึงตรงนี้เริ่มเกิดคำถามแล้วว่า เจ้ารถคันนี้มันดีจริง หรือแค่ “ถูก” คนถึงได้แห่จองกันขนาดนี้ เดี๋ยวเรามาดูกัน ซึ่งเราได้มีโอกาสสัมผัสกับตัวท็อป รถมันเป็นยังไง ขับดีมั้ย เดี๋ยวรู้กัน???

ก่อนอื่นเลย Jaecoo 5 จัดเป็นรถ SUV ขนาดคอมแพค คือไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไปนัก และที่สำคัญเป็นรถ EV ไฟฟ้า 100% รูปร่างหน้าไม่ล้ำจนเกินไป เอาว่าถูกใจทั้งคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นใหญ่ที่ชอบอะไรเรียบๆ แต่ยังมีสไตล์ โดยหลายคนรวมถึงผมเองด้วยก็รู้สึกได้ว่าดีไซน์ภายนอกของมันได้รับอิทธิพล แรงบันดาลใจ หรือจะอะไรก็แล้วแต่จาก SUV แบรนด์อังกฤษชื่อดังมาแทบทั้งคัน เอาว่าแค่จอดอยู่เฉยๆ ก็นับว่าเป็น SUV ที่ดูดีมีราคา

ภายนอกระหว่างรุ่นเริ่มต้น Dynamic และ Max ถ้ามองรวมๆ แทบไม่มีอะไรแตกต่าง ที่เห็นชัดมีแค่รุ่น Max หลังคาเป็นกระจก Panoramic Glass Roof และฝาท้ายเป็นแบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าตั้งระดับการเปิดได้ ส่วนรุ่นเริ่มต้น Dynamic เป็นหลังคาธรรมดา ฝาท้ายเป็นแบบธรรมดามีโช้คอัพผ่อนแรงเท่านั้นเอง ราคาต่างกันแค่ 50,000 บาท แค่ภายนอกก็ไฮโซต่างกันแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ไปผมจะพูดถึงแค่รุ่นท็อปเลยนะครับ

เปิดมาภายในห้องโดยสารด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะเข้าใกล้ตัวรถก็มีฟังก์ชั่นปลดล็อคประตูอัตโนมัติเลย โอ้โห…รถราคา 6 แสนได้ภายในห้องโดยสารหน้าตาแบบนี้มันดูดีเกินราคา ดีไซน์ดูเรียบๆ ไม่เวิ่นเว้อ แต่ออกแบบได้ดูราคาแพงดี วัสดุที่ใช้ก็เหนือกว่ารถ EV สัญชาติจีนในระดับราคาเดียวกันหลายๆ ค่าย เบาะนั่งหุ้มหนัง ถึงจะไม่ใช่หนังแท้แต่ก็ดูแพงดี แต่ผิวสัมผัสก็อีกเรื่อง เพราะผิวเบาะมันออกจะแข็งๆ สักหน่อย เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ฝั่งคนนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง แต่ทีเด็ดอยู่ที่เบาะนั่งคู่หน้ามีระบบระบายอากาศให้แอร์เป่าออกมาได้ด้วย แบบนี้ดีและเหมาะกับเมืองไทย จอดไว้กลางแดดร้อนๆ เข้ามาในรถได้เบาะนั่งเย็นๆ ก็สบายขึ้นเยอะ

ส่วนเบาะหลังพนักพิงพับลงได้เผื่อขนของขนาดใหญ่ แต่ตัวพนักพิงดันปรับระดับไม่ได้ จากที่ผมลองนั่งเบาะหลังก็ไม่มีปัญหาอะไรกับองศาพนักพิงอาจด้วยผมมีรูปร่างเล็ก แต่สำหรับหลายคนบอกว่ามันตั้งชันเกินไป นั่งระยะทางไกลน่าจะเมื่อย แต่ที่แน่ๆ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง สิ่งที่ได้รับคือ ความโปร่งโล่งสบาย พื้นที่เหนือศีรษะมีเหลือเฟือ คนสูง 180 กว่าๆ บริเวณเหนือศีรษะยังมีที่เหลือ บริเวณที่วางเท้าก็กว้างขวาง ที่สำคัญกระจกหน้าต่างด้านข้างค่อนข้างกว้างทำให้มุมมองกว้างไม่ทึบอึดอัดเหมือน SUV บางคัน เอาว่าถ้าไม่ติดเรื่ององศาพนักพิงที่หลายคนบอกมันตั้งเกินไป คันนี้จัดว่าด้านหลังนั่งสบายเลย

ขอย้อนกลับมาในตำแหน่งคนขับ เราจะเห็นแดชบอร์ดเรียบๆ ใช้วัสดุบุนุ่มช่วยให้รถดูแพงดี หน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 13.2 นิ้ว เหมือนเอาแท็ปเล็ทมาแปะไว้ ให้ความชัดเจนและง่ายต่อการใช้งาน ฟังก์ชั่นหรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนหน้าจอใช้งานง่าย ไม่ต่างจากรถ EV คันอื่นๆ (เพราะมันก็พื้นฐานซอฟท์แวร์เดียวกันทั้งหมดทุกค่ายนั่นแหละ) เพียงแต่องศาของหน้าจอในบางกรณีที่กำลังขับใช้งาน มันสะท้อนแสงแดดจากกระจกบานหน้าเห็นเป็นเงา แต่สำหรับผมมันไม่ใช่อุปสรรคอะไรมากมาย เพราะการใช้งานหน้าจอมันควรใช้ตอนรถหยุดนิ่งอยู่แล้ว ไม่ใช่ขับไปกดไป มันอันตราย

ระบบปฏิบัติการของหน้าจอตัวนี้ตอบสนองเร็วดี ไม่เหมือนบางรุ่นที่กดแล้วระบบคิดอ่านนาน เมนูลัดบนหน้าจอที่ใช่วิธีสองนิ้วรูดสัมผัสจากขอบบนลงล่าง ต้องอาศัยความเคยชินเล็กน้อย เพราะถ้าสองนิ้วลงสัมผัสไม่เท่ากัน หรือจังหวะการรูดไม่ได้ มันจะไม่ขึ้นมา มาถึงตัวพวงมาลัย ดีไซน์ดูสวยดี แต่ส่วนตัวผมว่ามันจับไม่ถนัด ตัววงจับพวงมาลัยน่ะโอเค แต่ดีไซน์ก้านพวงมาลัยที่มีแถบก้อนหนาๆ ด้านล่างอีกชั้นที่เพิ่มความสวยงาม ผมว่ามันเกะกะ ถ้ามีแค่ก้านด้านบนตรงกลางที่มีปุ่มมัลติฟังก์ชั่นซ้าย-ขวาน่าจะดีกว่า ส่วนปุ่มมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัยที่เป็นกึ่งสัมผัส (ต้องกดลงไปด้วย มาใช่แค่แตะๆ) ที่บางคนบอกว่ามองไม่ชัดมองไม่เห็น ผมดูแล้วมันก็ชัดเจนเห็นง่ายดีนะ ไม่ได้มีปัญหาอะไร

ส่วนหน้าจอหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว ก็แสดงผลตัวเลขในฟังก์ชั่นที่สำคัญ ไม่เยอะจนเกินไป แต่ติดว่าหากคนขับมีรูปร่างเล็ก ตัววงพวงมาลัยด้านบนมันบัง ถึงจะปรับต่ำแหน่งพวงมาลัยให้เตี้ยลง ปรับเบาะนั่งยกให้สูงขึ้น มันก็ยังบังอยู่ดี ทัศนวิสัยจากตำแหน่งคนขับค่อนข้างดีเลยทีเดียว กระจกบานหน้า และกระจกหน้าต่างด้านข้างกว้าง เสา A-Pillar ไม่อ้วนหน้าจนเกินไป จะเลี้ยวจะอะไรเห็นได้เคลียร์ ที่ชอบอีกอย่างคือจุดยึดเข็มขัดนิรภัยสำหรับคู่หน้าปรับระดับสูง-ต่ำได้ คอนโซลกลางมี Wireless Charger แหงนขึ้นด้านบน เป็นม่านไฟฟ้าเปิด-ปิดรับแสงผ่านหลังคากระจก Glass Roof ดูหรูหราไฮโซดี
มาถึงเรื่องการขับ โดยโหมดการขับหรือ Drive Mode เป็นปุ่มแยกออกมาจากหน้าจออยู่ที่คอนโซลกลางใต้จอกลางนั่นแหละครับ ซึ่งผมว่าแบบนี้สะดวกดี เพราะการจะปรับโหมดการขับแล้วต้องเข้าไปกดผ่านหน้าจอมันวุ่นวายและอันตรายเกินไป เนื่องจากฟังก์ชั่นปรับโหมดการขับนี้มันต้องเป็นอะไรที่ทำได้เลยทันที คันนี้มีให้เลือก Eco / Normal / Sport

จากนั้นลองมาเปิดดูการปรับระบบต่างๆ ที่หน้าจอกลางก่อน มีฟังก์ชั่นให้เลือกในหลายเมนูอย่างกับสั่งอาหาร พวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ 2 ระดับคือ Comfortable กับ Sport โดยที่จะปรับแยกเองหรือให้มันลิงค์กับโหมดการขับก็ได้ ซึ่งอันนี้ดี นอกจากนี้น้ำหนักแป้นเบรก Brake Pitch ก็ปรับได้เช่นกัน ให้เป็นแบบเบาสบายหรือตึงขึ้น แต่จากที่ได้อยู่กับเจ้าคันนี้มา แค่ปรับแบบเบาสบายถ้ายังเคยชินกับรถเครื่องยนต์สันดาปทั่วไป มาขับคันนี้ก็ยังอาจมีเบรกหัวทิ่มอยู่ดี ต้องทำความเคยชินกับน้ำหนักเท้าเวลาเบรคพักนึง

ส่วนระบบการชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่เมื่อยกคันเร่ง ก็สามารถตั้งระดับความหน่วงได้ มี Low / Medium / High ซึ่งส่วนตัวผมจากที่ลองหมดแล้ว บอกได้เลยว่าถึงปรับเป็น High หรือหน่วงมากสุด ก็ยังไม่หน่วงมากเท่าไหร่ พอได้ความหนืดๆ บ้างแวลายกคันเร่ง ก็น่าจะเป็นรถ EV ที่คนนั่งไม่เมารถง่ายๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับคนขับด้วยแหละครับ เหยียบๆ ยกๆ รถอะไรใครนั่งก็เมาครับ การถอยหลังหรือการขับในทางแคบมีตัวช่วยที่ดีอย่างกล้อง 540 องศา คือมองได้รอบคัน และสามารถปรับฟังก์ชั่นให้มองทะลุเห็นพื้นใต้รถได้ ภาพที่แสดงขึ้นบนหน้าจอกลางชัดเจนแจ่มแจ๋ว เซ็นเซอร์หน้า-หลัง บอกระยะห่างจากวัตถุ

การขับในเมืองช่วงความเร็วต่ำถึงปานกลาง ส่วนตัวผมมองว่าก็ไม่ต่างจากรถ EV สัญชาติจีนคันอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกัน มอเตอร์ตัวเดียวพละกำลัง 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 288 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ยังไงมันก็เพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว แบตเตอรี่ขนาดความจุ 58.9 kWh โรงงานเคลมไว้ว่าต่อการชาร์จเต็มวิ่งได้ 400 กม. (WLTP) หรือ 461 กม. (NEDC) แต่ใช้งานจริงคงไม่ถึงหรอกครับ ประมาณ 300 กม. ปลายๆ น่าจะได้อยู่ ซึ่งก็พอๆ กับรถ EV ไซส์เดียวกันคันอื่น ถ้าต่อวันใช้รถไม่เยอะ สักวันละ 30 กม. ชาร์จเต็มครั้งหนึ่งก็วิ่งได้ทั้งสัปดาห์สบายๆ การออกตัว เร่งแซง เพิ่มหรือลดระดับความเร็ว ตอบสนองดีตามคาแร็คเตอร์ของรถ EV

การเก็บเสียงรอบคันในจราจรหนาแน่นทำได้ดีกว่าที่คิด แต่…ถ้าเจอถนนไม่เรียบ ขรุขระ ฝาท่อ หลุม รอยต่อถนน สัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนและเสียงที่มาจากด้านล่างตัวรถพอสมควร อธิบายง่ายๆ คือบนเส้นทางที่ไม่เรียบ มันรู้สึกได้ถึงความตึงตังจากล้อที่สัมผัสถนนอยู่พอควร แต่ก็ไม่ถึงกับรำคาญจนทนไม่ได้ Jaecoo 5 อาจได้เปรียบรถ EV ในไซส์ใกล้ๆ กันค่ายอื่นตรงที่ ช่วงล่างด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ ก็จะซับแรงสั่นสะเทือน และให้การทรงตัวได้ดีกว่าช่วงล่างหลังแบบทอร์ชั่นบีม ซึ่งถ้าถามว่ามันส่งผลอะไร ก็ต้องบอกว่า มันน่าจะทำให้ผู้โดยสารด้านหลังนั่งสบายขึ้น กระเทือนน้อยลง และส่งผลต่อการทรงตัวเมื่อเข้าโค้ง แต่พอขับใช้งานจริง ก็ยังมีอาการที่ผมได้รับจากรถ EV คันอื่นๆ อยู่ดีคือ การขับผ่านคอสะพานที่ความเร็วปานกลาง ท้ายรถยังมีอาการดีดดิ้นและโยนให้รู้สึกได้

ส่วนการเข้าโค้งถ้าทางไม่เรียบบวกกับคนขับพวงมาลัยไม่นิ่ง เตรียมยาดมได้เลยครับ ท้ายมันจะย้วยๆ ยวบๆ ซึ่งก็เป็นอาการประจำของรถ EV สัญชาติจีนที่จนถึงวันนี้ยังมีน้อยรุ่นที่แก้ปัญหานี้ได้ ในความเร็วสูงขึ้นระดับ 120 กม./ชม. ขึ้นไป ในทางตรงยังเป็นรถที่ขับสบายไม่มีอะไรให้ระแวง แต่จะเริ่มรู้สึกถึงหน้ารถที่เริ่มลอยๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นแย่จนต้องยกคันเร่ง ซึ่งไม่ต้องไปเทียบกับใครไกล เอาแค่พี่น้องในบ้านเดียวกัน ผมว่าระบบช่วงล่างการซับแรงสะเทือนหรือการทรงตัว Jaecoo 6 ดีกว่าอย่างรู้สึกได้
เรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการขับ เจ้า Jaecoo 5 มีมาให้ครบเท่าที่ลูกค้าคนไทยกำลังต้องการ Adaptive Cruise Control (ACC) มีติดตั้งมาให้ ระบบทำงานเสถียรดี ADAS มาครบ โดยเฉพาะระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ที่ยุคนี้ลูกค้าหลายคนถามหา ระบบเครื่องเสียงที่มีมาให้กับลำโพง 8 ตัว เชื่อมต่อ Apple CarPlay กับ Andriod Auto ได้ ส่วนคุณภาพเสียง ผมให้คะแนนระดับกลางๆ ยังสู้พี่น้องบ้านเดียวกันอย่าง Jaecoo 7 หรือ Omoda C5 ไม่ได้

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ ถ้าถามเรื่องสมรรถนะหรือฟิลลิ่งการขับขี่ของ Jaecoo 5 ผมบอกตรงๆ ว่า มันไม่ได้โดดเด่นกว่ารถ EV สัญชาติจีนขนาดเดียวกันคันอื่นๆ ความแรงกับการตอบสนองคันเร่งมันก็รวดเร็วว่องไวเหมือนกันหมดอยู่แล้ว รถคันขนาดนี้ แรงม้ากับแรงบิดตัวเลขเกิน 200 มันก็สร้างความตื่นเต้นประทับให้คนไม่เคยขับรถ EV เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมยอดจองยอดทดลองขับมันถึงระเบิดระเบ้อได้ขนาดนั้น ก็เพราะออปชั่นที่มากับเจ้าคันนี้ มันเกินคุ้มกับราคาค่าตัวไงครับ รูปร่างหน้าตาก็ละม้ายคล้ายคลึงกับรถ SUV แบรนด์ผู้ดีอังกฤษ ภายในก็ออกแบบได้สวย วัสดุดี อุปกรณ์บวกกับเทคโนโลยีภายในก็มีมาให้ท่วมคัน กับราคารุ่น Max ที่ตัวเลขกลมๆ 6 แสน ช่วงเปิดตัว บอกเลยว่ามันเป็นรถใหม่ที่สุดจะคุ้ม เข้าทางคนไทยที่ชอบของดีราคาถูก ตัดสินใจจองหรือซื้อโดยไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย

แต่ส่วนตัวผม การจะซื้อรถ EV สักคัน ผมคงไม่ดูที่ความใหม่ เทคโนโลยี ราคา หรือความคุ้มค่าอย่างเดียว บริการหลังการขาย และที่สำคัญความเสถียรของซอฟท์แวร์ เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ด้วยยอดจองมากมายขนาดนี้ สิ่งที่ Omoda & Jaecoo ละเลยไม่ได้คือ คุณภาพสินค้า การผลิต และความเอาใจใส่ลูกค้าหลังการขาย ถ้าทำได้ดี ลูกค้าพอใจ ก็จะไปได้ยาวๆ แต่ถ้ากะจะขายอย่างเดียว เรื่องอื่นไว้ทีหลัง อันนี้น่าห่วง ห่วงทั้งลูกค้าที่ซื้อรถไป และห่วงเรื่องความยั่งยืนของบริษัทฯ หรือผู้จำหน่ายในระยะยาว เพราะมันก็มีอุทาหรณ์จากบางค่ายให้เห็นมาแล้วไงครับ













