• Home
  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle
CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์
No Result
View All Result
  • Home
  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle
CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์
No Result
View All Result
CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์
No Result
View All Result

Lamborghini Temerario กำเนิดสายพันธุ์ Fuoriclass เครื่องไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ 920 CV

Admin by Admin
September 23, 2024
in Car
3
SHARES
25
VIEWS
Share on FacebookShare on Twitter

ลัมโบร์กินี (Lamborghini) แบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์หรูระดับโลกสัญชาติอิตาลี เปิดตัว “Temerario” ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับระบบส่งกำลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ ประสบการณ์การขับขี่ และความสะดวกสบาย โดย Temerario นับเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) ของลัมโบร์กินี หลังจากเปิดตัว Revuelto

Temerario สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่เหนือกว่าด้วยสุดยอดสมรรถนะ ระบบส่งกำลังไฮบริดรูปแบบใหม่ซึ่งเกิดจากการผสานเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบที่พัฒนาใหม่ในทุกรายละเอียดเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบกำลังเครื่องยนต์รวมถึง 920 CV โดยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบได้รับการออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมดโดยโรงงาน Sant’Agata Bolognese และยังเป็นเครื่องยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในการผลิตที่สามารถทำความเร็วรอบได้สูงถึง 10,000 รอบต่อนาที มอบประสิทธิภาพที่สั่นสะเทือนวงการอย่างแท้จริงโดยมีความเร็วสูงสุดมากกว่า 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 2.7 วินาที

Temerario เป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะขั้นสูงในสนามแข่ง ในขณะเดียวกันก็มอบพื้นที่กว้างทั้งสำหรับผู้โดยสารและช่องเก็บสัมภาระได้มากกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน พร้อมกันนี้ Temerario ยังมอบประสบการณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี ด้วยการเปิดตัวระบบ Lamborghini Vision Unit ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงฟังก์ชันและแอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้ผู้ใช้สามารถย้อนดูและแบ่งปันประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่านมา ทั้งในสนามแข่งขันและบนถนนของตนให้แก่คนอื่นได้

ระบบส่งกำลังรูปแบบใหม่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นที่สองในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) ของลัมโบร์กินี โดยเป้าหมายแรกคือการบรรลุถึงกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดจำเพาะในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะดียวกันก็ต้องมีการตอบสนองในแบบฉบับเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศรอบสูงแบบดั้งเดิม ดังนั้น ทีมวิศวกรจึงคัดสรรเฉพาะองค์ประกอบประสิทธิภาพสูงสำหรับระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ ซึ่งได้แก่เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ขนาด 4.0 ลิตรแบบใหม่ที่มีกำลังเครื่องจำเพาะที่ 200 แรงม้าต่อลิตร โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันที่ผสานการทำงานได้อย่างสมบูรณ์กับตัวเครื่องยนต์ V8 พร้อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าที่ช่วยส่งกำลังขับเคลื่อน

เครื่องยนต์รุ่นใหม่ซึ่งใช้ชื่อเรียกภายในว่า “L411” ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดของรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ โดยเครื่องเทอร์โบคู่ V8 มอบกำลังสูงสุด 800 แรงม้าที่ 9,000 – 9,750 รอบต่อนาที และแรงบิด 730 นิวตันเมตรที่ 4,000 – 7,000 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้าในตำแหน่ง P1 (ระหว่างเครื่องยนต์ V8 และกระปุกเกียร์) ยังช่วยการันตีการตอบสนองที่ฉับไวโดยเริ่มจากความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำและดำเนินอย่างต่อเนื่องผ่านการเปลี่ยนเกียร์ โดยทำหน้าที่เป็น “ตัวทดแทนแรงบิด” และเพิ่มระดับการตอบสนองให้แบบชั่วคราว เพื่อให้ความรู้สึกของการเพิ่มความเร็วรอบเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนไปถึงจุดสูงสุดที่ 10,000 รอบ โดยประสิทธิภาพและสมรรถนะจะไต่ระดับเพิ่มขึ้นเมื่อขับด้วยความเร็วสูงสุดผ่านการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาดใหญ่ 2 ตัว ซึ่งติดตั้งอย่างแนบเนียนอยู่ในตำแหน่ง V ของเครื่องยนต์ สมฉายาเครื่องแบบ “Hot V8” เพื่อยกประสิทธิภาพทั้งในการติดตั้งและการระบายความร้อนเมื่อเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ทำความเร็วรอบได้สูงสุดที่ 10,000 รอบต่อนาทีด้วยแรงดันบูสต์สูงสุดของเทอร์โบชาร์จเจอร์คือ 2.5 บาร์ และชุดกังหันจะถูกควบคุมด้วยเกจไฟฟ้าและเซ็นเซอร์วัดความเร็วล้อ ลัมโบร์กินียังได้ออกแบบกล่องไส้กรองอากาศแบบตลับท่อ เพื่อให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่และเสริมประสิทธิภาพได้มากกว่า

หัวใจคือเพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-plane ซึ่งทำมุม 180 องศาอยู่ระหว่างส่วนโค้งของเพลาข้อเหวี่ยง โดยเพลาข้อเหวี่ยงทั่วไปจะใช้ในเครื่องยนต์รถแข่ง จะช่วยควบคุมให้เกิดพฤติกรรมพลศาสตร์ของไหลที่เหมาะสมที่สุดผ่านการเรียงลำดับการจุดระเบิดภายในที่สม่ำเสมอเมื่อเปรียบเทียบกับเพลาข้อเหวี่ยงแบบ Cross-plane ทั้งยังให้เสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ ก้านสูบไทเทเนียมยังช่วยลดมวลการหมุนและมอบคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมทั้งในแง่ความแข็งแรงและความเบา จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง ส่วนวัสดุหล่อเครื่องยนต์ประกอบด้วยอลูมิเนียมอัลลอย A357 ผสมทองแดง ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ในแวดวงมอเตอร์สปอร์ต

คันโยกวาล์ว (Finger Followers) ที่แข็งแรงมากเป็นพิเศษซึ่งถูกเคลือบแบบ DLC (Diamond Like Carbon) สามารถทนต่อความเร็วรอบได้สูงสุดถึง 11,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เคยสงวนไว้สำหรับเครื่องยนต์รถแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ตเท่านั้น ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งแรงบันดาลใจที่ทีมวิศวกรนำมาใช้เป็นแนวคิดโครงสร้างเครื่องยนต์ เพราะตามปกติในวงการมอเตอร์สปอร์ต ชิ้นส่วนเสริมส่วนใหญ่จะถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงปั๊มน้ำสองตัวสำหรับอินเตอร์คูลเลอร์และการระบายความร้อนเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับวาล์วบาร์เรลที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรักษาระดับคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม

ระบบปั้มน้ำมันและปั๊มน้ำซึ่งถูกจัดเรียงตามลำดับทางด้านขวาของเครื่องยนต์ จะถูกขับเคลื่อนการทำงานไปจนถึงอัตราส่วนที่กำหนดและทำความเร็วปั๊มได้สูงสุดที่ 7,800 รอบต่อนาที ทีมวิศวกรได้รวมถังน้ำมันไว้ที่ด้านหนึ่งของเครื่องยนต์ซึ่งทำงานตามหลักการหล่อลื่นแบบดรายซัมด้วยปั๊มขับเกียร์แบบ 5 ขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้คือ ชุดขับเคลื่อนนี้มีลักษณะแบนราบและทอดตัวในระดับต่ำของตัวรถและช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของ Temerario ให้ต่ำลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ถูกออกแบบใหม่ยังช่วยให้มั่นใจได้ถึงระดับอุณหภูมิที่สมดุล ส่วนการระบายความร้อนภายในฝาสูบก็ได้รับการปรับปรุงคุณภาพอย่างมาก โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติในการทำแกนหล่อ ช่วยให้ห้องเผาไหม้เย็นลงอย่างสม่ำเสมอและป้องกันเครื่องน็อกได้อย่างดีเยี่ยม การฉีดน้ำมันเบนซินเข้าโดยตรงจะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นฝอยละเอียดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ทั้ง 8 ห้องด้วยแรงดันสูงถึง 350 บาร์ จึงการันตีการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจดและรวดเร็ว

ระบบไอเสียที่ทอดตัวจากท่อรวมไปยังท่อไอเสียจะช่วยขับเน้นเสียงของกระบวนการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ โดยลัมโบร์กินีสร้างคุณภาพเสียงที่ชัดใสและสะอาดด้วยการเดินแนวท่ออย่างไหลลื่น การกำหนดระดับความสูงและตำแหน่งของปลายท่อไอเสียอย่างพิถีพิถันยิ่งขับเน้นเสียงความถี่สูงอันเฉียบคมของเครื่องยนต์อีกด้วย ซึ่งช่วยแสดงถึงกำลังของเครื่องยนต์อันน่าเกรงขามอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ลัมโบร์กินียังได้ออกแบบแท่นเครื่องยนต์และตัวถังในลักษณะที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสได้ถึงระบบขับเคลื่อนแบบเพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-plane เมื่อเครื่องยนต์ทำความเร็วรอบสูงหรือเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานอย่างเต็มกำลัง โดยการใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-plane ซึ่งหมุดข้อเหวี่ยงทำมุม 180° ยังทำให้เครื่องเทอร์โบคู่ V8 เกิดการสั่นสะเทือนเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา

ลัมโบร์กินียังทำให้การสั่นสะเทือนเหล่านี้มีความเด่นชัดมากขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ทำความเร็วรอบสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรื่นรมย์จากประสบการณ์แห่งความเร็วและกำลังรอบสูงได้มากยิ่งขึ้น ทีมวิศวกรด้านเสียงยังทำให้เสียงเครื่องยนต์แนวสปอร์ตคาร์อันน่าพึงพอใจถูกส่งเข้าไปถึงภายในห้องโดยสาร

ลัมโบร์กินีได้ออกแบบทัศนียภาพของเสียงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแต่ละโหมดการขับขี่ทั้งในโหมด Città, Strada, Sport และ Corsa โดยโหมด Città จะให้เสียงที่ฟังสบายๆ ระดับพรีเมียมด้วยโทนเสียงพิเศษจากชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า ซึ่งจะให้ประสบการณ์เสียงที่นุ่มนวล ลื่นไหล และน่าพึงพอใจในสภาพแวดล้อมแบบตัวเมือง ซึ่ง Temerario จะไม่มีการปล่อยมลพิษและทำงานเงียบมากในโหมด Città

โหมด Strada ที่เหมาะสำหรับการวิ่งบนถนนในชนบทและเส้นมอเตอร์เวย์ที่รวดเร็ว ผู้โดยสารจะได้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การขับขี่ของเครื่องเทอร์โบคู่ V8 พร้อมการกระจายความถี่เสียงที่สม่ำเสมอโดยปราศจากเสียงลั่นหรือเสียงแหลมสูงที่บาดหู เพื่อมอบความสุขในการขับขี่แนวสปอร์ตที่เปี่ยมด้วยความสุขุมในแบบผู้ใหญ่ ส่วนโหมด Sport และ Corsa ลัมโบร์กินีได้ขยายเสียงโอเวอร์โทนระดับ 2 และ 4 ของเครื่องยนต์ V8 แบบสี่จังหวะ ผสานกับเสียงประสานของช่องลมเข้าเพื่อมอบประสบการณ์เสียงที่ทรงพลังและดังเร้าใจ เมื่อความเร็วรอบสูงสุดแตะ 10,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์จะไม่เพียงมอบกำลังอันน่าเหลือเชื่อถึง 920 CV เท่านั้น แต่ยังให้เสียงที่ดังกระหึ่มอย่างที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ และนี่จะเป็นเสียงเครื่องยนต์รูปแบบใหม่ของรถยนต์ลัมโบร์กินีในเจเนอเรชั่นต่อไป

ระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แต่ละตัวให้กำลังไฟ 110 กิโลวัตต์และถือเป็นส่วนสำคัญของระบบส่งกำลังใน Temerario โดยมอเตอร์ไฟฟ้าระบายความร้อนด้วยน้ำมันติดตั้งตามแนวแกน 2 ตัวซึ่งมีกำลังสูงสุดรวม 220 กิโลวัตต์และแรงบิดสูงสุด 2,150 นิวตันเมตร (กำลังเครื่องต่อเนื่องที่ 60 กิโลวัตต์) จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนเพลาหน้าเมื่อต้องใช้การขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งเพลาหน้าไฟฟ้ามีน้ำหนักเพียง 73 กิโลกรัม และมอเตอร์ไฟฟ้าแต่ละตัวมีน้ำหนักเพียง 15.5 กิโลกรัม

ความท้าทายหลักคือการออกแบบระบบส่งกำลังให้มีขนาดเล็กกะทัดรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ทีมวิศวกรได้ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับตัวเครื่องเทอร์โบคู่ V8 โดยตรง โดยไม่ต้องใช้คลัตช์ตัวกลาง วิธีการนี้ช่วยอุดช่องว่างด้านความหน่วงของเทอร์โบได้ โดยในทุกระดับความเร็วก็ยังสามารถสร้างแรงบิดได้ถึง 300 นิวตันเมตร ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าทั้งหมดนี้ถูกติดตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและระบบส่งกำลังคลัตช์คู่ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวนี้ยังทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ทและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบสามเฟสอีกด้วย

Temerario ติดตั้งชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนกำลังสูงแบบเฉพาะ (4500 วัตต์/กก.) อยู่ภายในช่องกลางตัวรถ ทำให้ได้จุดศูนย์ถ่วงต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และการันตีการกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุด แบตเตอรี่ยังได้รับการปกป้องด้วยชั้นโครงสร้างด้านล่างและเชื่อมต่อกับทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง และอุปกรณ์ชาร์จไฟในตัวรถ

ชุดแบตเตอรี่ประกอบด้วยเซลล์แบบกระเป๋า (pouch cells) ที่มีความจุรวม 3.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อประจุไฟลดลงเหลือศูนย์ ก็สามารถชาร์จไฟใหม่ได้ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับและคอลัมน์ชาร์จไฟในบ้านทั่วไปซึ่งมีกำลังไฟสูงสุด 7 กิโลวัตต์ และชาร์จใหม่จนเต็มได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้จากแรงเบรกรูปแบบใหม่ที่มาจากล้อหน้าหรือจากเครื่องยนต์ V8 โดยตรง

ชุดขับเคลื่อนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (e-axle) ทำให้ Temerario สามารถผสานระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo (LDV) 2.0 เข้าด้วยกันได้ ซึ่งเวกเตอร์แรงบิดไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าโค้งที่แคบหรือเพิ่มความเสถียรในการเข้าโค้งเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงโดยกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้ออย่างเหมาะสม ซึ่งนับเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากระบบทั่วไป โดยระบบเวกเตอร์แรงบิดใหม่จะแทรกแซงการเบรกเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการันตีการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติรวมถึงมอบสมรรถนะที่สูงขึ้นด้วย โดยเมื่อทำการเบรก ชุด e-axle และมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังจะช่วยลดความเร็ว ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดบนเบรกไปพร้อมกับการชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ไปในตัว

ระบบเกียร์ 8 สปีดของซูเปอร์สปอร์ตคาร์จากลัมโบร์กินีรุ่นที่สองในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) นี้จะถูกเปลี่ยนเป็นระบบเกียร์คลัตช์คู่ (DCT) 8 สปีดที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์ V8 โดยระบบส่งกำลังขนาดกะทัดรัดดีไซน์ใหม่นี้สามารถตอบโจทย์ชุดขับเคลื่อนกำลังสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ลัมโบร์กินีได้ติดตั้งระบบเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดแบบใหม่ด้านหลังเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ซึ่งจะทำให้เหลือพื้นที่มากพอในส่วนช่องตรงกลางสำหรับติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับจ่ายไฟให้มอเตอร์ไฟฟ้า ข้อดีอีกประการหนึ่งคือรูปแบบเลย์เอาต์เชิงเทคนิคนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนักของ Temerario และทำให้เกิดฐานล้อที่กะทัดรัดเพื่อยกระดับพลศาสตร์การขับขี่ที่เหมาะสมและการควบคุมที่สมดุลยิ่งขึ้น

ด้วยระบบเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดแบบใหม่ ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสประสบการณ์การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วทันใจเมื่อเลือกขับขี่สไตล์สปอร์ตขั้นสุด หรือแม้แต่การขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวันก็ตาม การลดเกียร์ลงอย่างต่อเนื่องจะกลายเป็นเรื่องง่าย โดยเมื่อเบรกและกดแป้นเปลี่ยนเกียร์ด้านซ้ายค้างไว้พร้อมกัน ระบบเกียร์จะเปลี่ยนเกียร์ลงตามลำดับ ช่วยให้ผู้ขับรู้สึกและได้ยินเสียงการเปลี่ยนเกียร์อย่างชัดเจน เกียร์ 8 สปีดอัตราทดยาวจะลดความเร็วรอบเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิงและเพิ่มความสามารถในการขับขี่ที่ความเร็วคงที่ โดย Temerario ยังมีกล่องเกียร์ที่ได้รับการติดตั้งระบบเกียร์ถอยหลังแบบกลไกมาให้ด้วย

Temerario มอบรูปลักษณ์ที่ดุดัน สวยงามเหนือล้ำทุกความคาดหมาย และสื่อถึงแบบฉบับในสไตล์ลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง โดยฝ่ายออกแบบ Lamborghini Centro Stile ได้พยายามสร้างสรรค์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ถือเป็นการพัฒนา DNA การออกแบบแนวใหม่ให้กับแบรนด์

ไฟ DRL ทรงหกเหลี่ยมมีเซ็นเซอร์เรดาร์ในตัวและช่องอากาศในตัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาในการออกแบบที่ผสานระบบไฟส่องสว่างเข้ากับหลักการอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง นอกจากนี้ ช่องอากาศที่อยู่ด้านล่างไฟหน้ายังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการไหลของอากาศและการระบายความร้อนของระบบเบรกหน้าประสิทธิภาพสูง เพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

ทีมนักออกแบบของ Temerario ได้ผสานองค์ประกอบจากอุตสาหกรรมการบินเข้ากับภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งภายในได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ดูแข็งแรงและห้องโดยสารที่เพรียวลู่ไปทางท่อไอเสียหกเหลี่ยมด้านหลัง ปลายฝากระโปรงครอบส่วนหน้าทั้งหมดใช้ดีไซน์จมูกฉลามอันแข็งแกร่งและโดดเด่น และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความความเร็วที่แบรนด์ภาคภูมิใจ ดีไซน์ไฟหน้าที่เฉียบคมและหรูหรายังซ้อนทับไปกับฝากระโปรงเล็กน้อยซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรถจักรยานยนต์สปอร์ต ส่วนบานเกล็ดนำอากาศถูกเชื่อมต่อกับ สปอยเลอร์หน้าระดับต่ำพร้อมฝากระโปรง ในขณะที่ครีบด้านข้างช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศตามแนวด้านข้าง ประกอบกับสเกิร์ตข้างรูปฉลามเพื่อเสริมแรงอากาศพลศาสตร์และเพิ่มแรงกดไปพร้อมกัน

ด้วยดีไซน์ขอบที่กว้างและยาว พร้อมรูปลักษณ์อันทรงพลัง ทำให้รูปลักษณ์ด้านข้างของ Temerario ทอดยาวจากด้านหน้าขึ้นไปเหนือประตู ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ตสุดขั้วอย่างแท้จริง ช่องดักอากาศเข้าอันทรงพลังและเปี่ยมประสิทธิภาพที่อยู่หลังประตูข้างยังช่วยการันตีการไหลของอากาศที่เพียงพอสำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ประสิทธิภาพสูง และในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มแรงกดของโครงแชสซีได้อย่างชัดเจน สปอยเลอร์หลังแบบฟิกซ์ตำแหน่งช่วยเน้นความกว้างด้านหลังของรถ และสำหรับส่วนท้ายรถขนาดกะทัดรัดแต่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพด้านเทคนิคยังได้ผสานรายละเอียดต่าง ๆ จากวงการมอเตอร์สปอร์ตเข้าไว้อย่างลงตัว ทั้งดิฟฟิวเซอร์แบบกว้างที่ยื่นไปใต้ตัวรถและท่อไอเสียรวม ซึ่งไฟท้ายดีไซน์หกเหลี่ยมรูปแบบใหม่ก็มีส่วนช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ง่าย เพื่อเสริมการระบายความร้อนของเครื่องยนต์

ส่วนหลังคาได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ โดยรูปแบบที่เอนลู่ไปทางด้านหลังเล็กน้อยจะช่วยนำอากาศไปยังปีกหลังที่รวมไว้โดยตรง ซึ่งส่วนนี้จะมีประโยชน์มากโดยช่วยให้เครื่องยนต์ หม้อน้ำ และเครื่องเทอร์โบชาร์จเจอร์มีอากาศไหลเวียนอย่างเพียงพอ

หัวใจสำคัญของ Temerario คือเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ขนาด 4.0 ลิตรที่พัฒนาใหม่ในทุกรายละเอียดซึ่งมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าฟลักซ์ตามแนวแกน โดยในการสร้างคอนเซ็ปต์ระบบส่งกำลังรูปแบบใหม่ ทีมนักออกแบบและวิศวกรได้พัฒนาโครงแชสซีและตัวถังแบบใหม่ ซึ่งฝ่าย Lamborghini Centro Stile ได้ใช้แนวคิดอิสระมากที่สุดในการคิดค้นระบบขับเคลื่อนที่เหมาะสมและสวยงาม เพื่อเน้นสัมผัสของเครื่องยนต์ติดตั้งกลางตัวรถอย่างชัดเจน ทำให้ลัมโบร์กินีนำเสนอความเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 อย่างเปิดเผย ราวกับเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ภายใต้ฝากระโปรงโปร่งใสที่ชัดเจน

“ปรัชญา ‘รู้สึกเสมือนเป็นนักบิน’ ของลัมโบร์กีนีได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยรูปแบบใหม่ใน Temerario ด้วยตำแหน่งเบาะนั่งต่ำ แดชบอร์ดดีไซน์เพรียวบางน้ำหนักเบา และองศาการเอียงพวงมาลัยที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับเข้าถึงสไตล์การขับขี่ที่สนุกสนานในแบบฉบับลัมโบร์กินี การผสานระหว่างหน้าจอดิจิทัลเข้ากับปุ่มกลไกแบบกด เช่น ปุ่มสตาร์ทที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ หรือพวงมาลัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง ก่อให้เกิดประสบการณ์สุดพิเศษในแบบ ‘สไตล์นักบิน’”

เบาะนั่งนำเสนอออปชันให้เลือกหลายสีพร้อม 4 รูปแบบการเย็บ โดยในปัจจุบันยังไม่มีเบาะนั่งของรถยนต์ลัมโบร์กีนีรุ่นใดที่นำเสนอตัวเลือกได้หลากหลายเท่ากับเบาะนั่งคอมฟอร์ตที่พัฒนาขึ้นใหม่ในรุ่น Temerario ซึ่งสามารถปรับได้ถึง 18 ทิศทาง พร้อมระบบทำความร้อนและระบายอากาศที่ดีเยี่ยม

ห้องโดยสารภายในเลือกใช้วัสดุคุณภาพดีที่สุดทั้งคาร์บอน หนัง และไมโครไฟเบอร์แบบ Corsatex ในทุกองค์ประกอบการตกแต่งภายในและผสานเข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์ห้องโดยสาร ลูกค้ายังสามารถเลือกองค์ประกอบการตกแต่งภายในด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นออปชันเสริม ทั้งชิ้นส่วนคอนโซลกลาง ช่องระบายอากาศ แผงประตู ชิ้นส่วนแผงหน้าปัด พวงมาลัย และคอพวงมาลัย ซึ่งนอกจากวัสดุน้ำหนักเบาที่มอบความหรูหรา ลูกค้ายังสามารถเลือกองค์ประกอบคลาสสิกของแบรนด์ ทั้ง “ปุ่มเพาเวอร์” Start/Stop ที่นำแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบิน รวมถึงคันเกียร์ไฟฟ้าและไฟแสดงสถานะ “ไลน์อัพ” สีแดงบนพวงมาลัย เพื่อขับเน้นถึงความเป็นสปอร์ตคาร์สุดขั้วของ Lamborghini Temerario

พวงมาลัยที่พัฒนาขึ้นใหม่พร้อมออปชันอุปกรณ์เสริมวัสดุคาร์บอน ได้รับแรงบันดาลใจจากสนามแข่งรถ  ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมฟังก์ชันการขับขี่ที่จำเป็นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้านซ้ายของพวงมาลัยติดตั้งปุ่มสวิตช์แบบหมุนสีแดงเพื่อใช้เลือกโหมดการขับขี่ ด้านล่างติดตั้งปุ่มควบคุมฟังก์ชันการยก ปุ่ม “Race start” และระหว่างปุ่มเหล่านั้นยังมีสวิตช์สำหรับอินดิเคเตอร์ต่างๆ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งงาน Launch Control ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเพื่อเข้าถึงการควบคุมระดับสูงสุด

ระบบ “Pilot Interaction” ที่ทำงานผ่านอินเตอร์เฟซ Human-Machine Interface (HMI) รูปแบบใหม่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลของ Temerario โดยลัมโบร์กีนีได้พัฒนาลวดลายกราฟิกและดีไซน์ใหม่ขึ้นโดยเฉพาะ ถือเป็นการพัฒนาต่อยอด DNA ลายกราฟิกขึ้นใหม่จากที่เคยเริ่มต้นไว้ในรุ่น Revuelto โดยมีการติดตั้งจอแสดงผลขนาด 8.4 นิ้วแบบใหม่บนคอนโซลกลาง เพื่อให้สามารถปรับแต่งธีมต่าง ๆ ได้ในทันที ทั้งนักบินและนักบินผู้ช่วยยังสามารถเลื่อนแอปและข้อมูลต่างๆ จากจอแสดงผลกลางไปทางซ้ายหรือขวา เพื่อย้ายเนื้อหาไปยังจอหน้าผู้ขับและนักบินผู้ช่วยได้เช่นเดียวกับในสมาร์ตโฟน โดยผู้ขับจะได้รับข้อมูลบนแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ส่วนข้อมูลของผู้โดยสารด้านข้างจะถูกแสดงพร้อมกันบนจอหน้าขนาด 9.1 นิ้ว หากนักบินเปลี่ยนโหมดการขับขี่ กราฟิกที่จอแสดงผลก็จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบการขับขี่ด้วยเช่นกัน

ห้องโดยสารของ Temerario ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracán ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาต่อยอดการออกแบบที่ปรากฏครั้งแรกในรุ่น Revuelto โดยใช้โครงแชสซีสเปซเฟรมรุ่นใหม่ซึ่งทำให้ Temerario มีพื้นที่ภายในที่กว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน การวางตำแหน่งเบาะนั่งต่ำและถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์ช่วยให้นักขับและผู้โดยสารรู้สึกเชื่อมโยงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับให้ความสะดวกสบายในระดับสูง ตามปรัชญาของลัมโบร์กีนีที่ว่า “Feel like a pilot”

คอนเซ็ปต์โครงแชสซีสเปซเฟรมแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะได้ถึง 34 มม. และพื้นที่วางขา 46 มม. บวกกับทัศนวิสัยที่เพิ่มขึ้น 4.8° และสามารถรองรับผู้โดยสารที่สูงถึง 200 ซม.แม้จะสวมหมวกกันน็อกก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้แต่นักแข่งรถที่สูงที่สุดที่สวมหมวกกันน็อกก็ยังสามารถโลดแล่นในสนามแข่งขันได้อย่างสบายๆ โดยยังมีพื้นที่สำหรับเก็บสิ่งของต่างๆ เช่น อุปกรณ์กีฬาในช่องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้า ด้วยพื้นที่เก็บของมากถึง 112 ลิตร เทียบเท่ากับกระเป๋าเดินทาง 2 ใบ ส่วนของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ก็สามารถเก็บไว้ได้บริเวณด้านหลังเบาะนั่ง

ระบบเสียงของ Temerario ได้รับการสร้างสรรค์โดย Sonus faber ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงชาวอิตาลีจากเมืองวิเซนซา โดยระบบเกรดพรีเมียมนี้จะมอบประสบการณ์แห่งเสียงที่ดื่มด่ำ โดยโดดเด่นด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติอันกระจ่างใสที่ได้รับการยกย่องของ Sonus faber ทุกส่วนประกอบได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันและปรับแต่งอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะมอบประสบการณ์การฟังอันเปี่ยมด้วยสุนทรียศาสตร์และความเที่ยงตรงสมกับเป็นงานฝีมือในแบบฉบับอิตาลี ห้องโดยสารที่กว้างขวางและเครื่องยนต์อันทรงพลังของ Temerario ยังได้รับการเสริมด้วยระบบเสียง Sonus faber อย่างลงตัว จึงรับประกันประสบการณ์ที่หรูหราและเร้าอารมณ์ในทุกเส้นทาง

Temerario เปิดตัวด้วย 2 โทนสีใหม่ที่ออกแบบมาพร้อมกับรถรุ่นนี้ ได้แก่ สีน้ำเงิน Blu Marinus และสีเขียว Verde Mercurius พร้อมนำเสนอสีตัวถังมากกว่า 400 รายการและลวดลายพิเศษ พร้อมให้ลูกค้าเลือกปรับแต่งได้อย่างไม่รู้จบผ่านโปรแกรม Ad Personam ของลัมโบร์กีนี นอกจากนี้ ยังนำเสนอล้อหน้าใหม่ขนาด 20 นิ้วและล้อหลัง 21 นิ้ว โดยมีให้เลือก 3 แบบในวัสดุที่แตกต่างกัน ทั้งล้อโหละผสม, ล้อฟอร์จ และล้อคาร์บอน โดยการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในก็มีออปชันคาร์บอนไฟเบอร์ให้เลือกหลากหลายส่วน อาทิ สปลิตเตอร์หน้า ฝาครอบกระจก ช่องระบายอากาศด้านข้าง ดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง ช่องกลาง แผงหน้าปัด ช่องระบายอากาศ กรอบสวิตช์ประตู พวงมาลัยคาร์บอน ฝาครอบคอพวงมาลัย และหัวเกียร์

นี่คือครั้งแรกที่ลัมโบร์กินีเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับแพ็คเกจ ‘Alleggerita’ (วัสดุน้ำหนักเบา) โดยสามารถลดน้ำหนักรถลงได้ถึง 12.65 กก.เมื่อนับรวมส่วนประกอบต่างๆ ของตัวรถเพียงอย่างเดียว และจะลดลงได้มากกว่า 25 กก. เมื่อเลือกใช้วัสดุตกแต่งภายในน้ำหนักเบาและขอบล้อคาร์บอน และยิ่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่มากขึ้นเมื่อพิจารณาบนมุมมองตามหลักอากาศพลศาสตร์ (แรงอากาศพลศาสตร์เพิ่มขึ้น 67%)

แพ็กเกจ Alleggerita ประกอบด้วยสปลิตเตอร์ที่ทำจากโพลีเมอร์เสริมคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP (-0.19 กก.) และแผงใต้ท้องรถคาร์บอนไฟเบอร์รีไซเคิล (-0.55 กก.) ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนของลัมโบร์กีนี ส่วนสเกิร์ตข้างแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ CFRP ยังช่วยลดน้ำหนักได้อีก 0.6 กก. เช่นเดียวกับฝากระโปรงหลัง (-9.2 กก.) และแผงสำหรับติดตั้งสปอยเลอร์รับน้ำหนัก (-1.6 กก.)

สำหรับห้องโดยสารภายใน ชุดตกแต่ง Lightweight Pack จะประกอบด้วยแผงประตูคาร์บอนไฟเบอร์และยังสามารถเลือกเบาะนั่งแบบสปอร์ตที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งการแข่งรถ ส่วนน้ำหนักหน้าต่างก็ลดลงเช่นกัน โดยกระจกด้านหลังใช้กระจกน้ำหนักเบาเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้ 0.85 กก. ส่วนหน้าต่างข้างแบบฟิกซ์ตำแหน่งก็ใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต (-0.45 กก.)

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกชุดแต่งคาร์บอนเสริมสำหรับภายนอกของตัวรถยนต์ ซึ่งประกอบด้วยดิฟฟิวเซอร์หลัง ฝาครอบกระจกมองหลัง และฝาครอบช่องลมเข้าคาร์บอนด้านข้าง ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงได้อีก 1.82 กก.

ทีมนักออกแบบและวิศวกรของลัมโบร์กีนีมุ่งมั่นพัฒนาระบบส่งกำลังไฮบริดรุ่นใหม่และการสร้างแรงตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่มากขึ้นโดยเฉพาะที่ด้านหลังตัวรถ ซึ่งเมื่อพัฒนาตัวถังและส่วนล่างของ Temerario แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือแรงกดด้านหลังเพิ่มขึ้น +103% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracán EVO และจะเพิ่มขึ้นเป็น +158% เมื่อใช้ชุดวัสดุ Alleggerita Pack

ทุกองค์ประกอบได้รับการออกแบบเพื่อสร้างสมรรถนะตามหลักอากาศพลศาสตร์อันยอดเยี่ยม เริ่มจากด้านหน้าซึ่งดวงไฟหกเหลี่ยมแบบ DRL ได้กลายมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบอากาศพลศาสตร์ โดยมีช่องลมเข้าและแผงปรับทางลมซึ่งทำหน้าที่นำกระแสลมจากกันชนไปยังส่วนบนของหม้อน้ำด้านข้างซึ่งมีการติดตั้งครีบ 2 ตัวที่ช่องทางเข้า ครีบทรงปีกด้านบนจะปรับทางลมให้ไหลลงด้านล่าง ซึ่งลมจะถูกจับโดยครีบแนวนอนตัวที่สอง และนำลมให้ไหลเข้าสู่หม้อน้ำในแนวตั้งฉากซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้มากที่สุด

นอกจากนั้น ครีบที่ประกอบเป็นกระจังหน้าบนซุ้มล้อยังช่วยถ่ายเทอากาศให้ไหลไปยังด้านนอกของล้อ โดยเคลื่อนออกจากหม้อน้ำด้านข้างและลดการเกิด Air Turbulence พร้อมมอบสองเอฟเฟกต์พร้อมกัน ทั้งการลดแรงต้านอากาศพลศาสตร์ และเพิ่มแรงกดไปทางด้านหลังของตัวรถ

กระจกมองข้างซึ่งทำงานประสานกับส่วนหน้าของรถ ไม่เพียงช่วยลดแรงต้านเท่านั้น แต่ยังช่วยนำอากาศไปยังหม้อน้ำด้านข้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายความร้อนให้กับส่วนประกอบกลไกต่าง ๆ

การออกแบบหลังคาพร้อมช่องกลางยังช่วยนำอากาศไปยังสปอยเลอร์หลังซึ่งติดตั้งกับตัวรถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์และเพิ่มแรงกดได้ในตัว ด้านที่มีความโค้งของฝากระโปรงรถก็มีส่วนช่วยเสริมผลลัพธ์ในด้านอากาศพลศาสตร์เช่นกัน โดยจะช่วยเพิ่มปริมาณอากาศที่ไหลผ่านด้านข้างของสปอยเลอร์ โดยแพ็คเกจเสริม Alleggerita มาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังน้ำหนักเบาที่สามารถรับแรงกดได้อย่างมหาสาร ซึ่งเกิดจากการเพิ่มความสูงของขอบท้ายรถรวมถึงส่วนโค้งที่เพิ่มขึ้น

ส่วนท้องรถก็มีเป็นโครงสร้างที่มีบทบาทสำคัญในแง่ประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ โดยใต้ท้องรถมีการติดตั้งระบบอัดเรียงอากาศ กล่าวคือมีครีบสามคู่ที่จัดเรียงเหมือนกิ่งก้านของต้นไม้เพื่อช่วยเพิ่มแรงอากาศพลศาสตร์บริเวณส่วนท้ายรถและเสริมการทำงานของดิฟฟิวเซอร์ซึ่งมีพื้นที่ผิวที่มากขึ้นถึง 70% เมื่อเปรียบเทียบกับของรุ่น Huracán EVO และมีมุมที่เพิ่มขึ้น 4° จึงช่วยเพิ่มการสกัดลมแนวตั้งจากด้านล่างได้มากที่สุด เนื่องจากระบบส่งกำลังเทอร์โบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ต้องการระบบระบายความร้อนที่ดีขึ้น ทำให้ทีมออกแบบจำเป็นต้องพัฒนาโครงหม้อน้ำรุ่นใหม่ ซึ่งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ถึง 30%นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่โดดเด่นของ Temerario ให้ถึงขีดสุด จึงเกิดแนวคิดพัฒนาการระบายความร้อนเบรกแบบใหม่เพื่อให้ประสิทธิภาพการเบรกดีขึ้น โดยส่วนหน้ามีแผ่นบังคับทางลมที่ติดอยู่กับแกนระบบกันสะเทือนด้านล่าง ซึ่งใช้ประโยชน์จากการไหลของอากาศที่ถูกเปลี่ยนทิศทางโดยดิฟฟิวเซอร์หน้า โดยนำลมไปทางคาลิปเปอร์เบรกหน้าเพื่อช่วยระบายความร้อน ช่องลมเข้าเฉพาะอีกสองช่องได้ถูกออกแบบรวมในส่วนกันชน เพื่อถ่ายเทลมที่ไหลมาในระดับสูงจากกันชนไปยังช่องระบายอากาศของแผ่นดิสก์เบรก จากนั้นจะมีท่อตัววาย (Y)  ซึ่งมีช่องลมเข้าคู่แต่มีช่องออกเดียว ช่วยดึงอากาศเข้ามาด้วยแรงดันสูง เพื่อเพิ่มการระบายความร้อนของระบบเบรกได้อย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์โดยรวมคือการยกระดับประสิทธิภาพการระบายความร้อนในภาพรวมซึ่งเหนือกว่ารุ่น Huracán EVO ถึง 20% สำหรับส่วนดิสก์เบรกและดีกว่าถึง 50% ในส่วนคาลิปเปอร์

ในส่วนท้ายรถใช้เทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่น Revuelto โดยช่องระบายอากาศสำหรับดิสก์เบรกหลังจะทอดผ่านท่อ NACA ที่วางอยู่ด้านหน้าของโครงล้อหลัง ซึ่งจะรวมกระแสลมกำลังสูงที่อยู่ใต้ท้องรถและส่งต่อไปยังท่อระบายความร้อนของเบรก

โครงสร้างของ Temerario เผยให้เห็นตัวถังสีขาว (Body-in-White) แบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสเปซเฟรมเพื่อให้ทนทานต่อแรงเค้นที่สูงขึ้นจากหน่วยพลังงานไฮบริดรูปแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยรับประกันคุณภาพเชิงกลไกที่ยอดเยี่ยม พร้อมประสิทธิภาพการลดโหลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ

โครงของ Temerario ผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งหมด ถือเป็นการเปิดตัววัสดุโลหะผสมที่มีความแข็งแรงสูงชนิดใหม่สำหรับงานหล่อแรงดันสูง ซึ่งประกอบด้วยการอัดขึ้นรูปไฮโดรฟอร์มความแข็งแรงสูงและการเพิ่มจำนวนการหล่อแบบกลวงที่มีส่วนแรงเฉื่อยบางเฉพาะเพิ่มขึ้นโดยใช้แกนภายใน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดความซับซ้อนในเชิงโครงสร้างของสเปซเฟรมและช่วยให้โครงมีน้ำหนักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันระบบส่งกำลังไฮบริดรุ่นใหม่ยังใช้ชิ้นส่วนน้อยลงกว่า 50% เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรวัดเดียวกันของรุ่น Huracán นอกจากนี้ Temerario ยังลดจำนวนรอยเชื่อมลงอย่างมาก โดยความยาวแนวเชื่อมรวมลดลงกว่า 80% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracán

โครงสร้างสเปซเฟรมแบบใหม่เพิ่มความแข็งแรงมากขึ้นถึง 20% เมื่อเปรียบเทียบกับสเปซเฟรมรุ่นก่อนหน้า พร้อมทั้งมอบขีดจำกัดด้านน้ำหนักที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงมั่นใจได้ถึงระดับความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับผู้โดยสาร และไดนามิกในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม

Temerario นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ 13 รูปแบบที่ทำให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์มีความอเนกประสงค์และความเร้าใจทั้งในการขับขี่ในชีวิตประจำวันและบนสนามแข่ง โดยสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ด้วยปุ่มสั่งงานบนพวงมาลัย ซึ่งปุ่มสั่งงานสีแดงด้านซ้ายบนจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ทั้งโหมด Città, Strada, Sport, Corsa และ Corsa Plus (เมื่อ ESC Off ปิดใช้งานการควบคุมแบบไฟฟ้า) นอกจากนี้ เมื่อกดปุ่ม “Checkered flag” นาน 2 วินาที ระบบ Launch Control จะถูกเปิดใช้งานเพื่อเข้าถึงศักยภาพสูงสุดเมื่อออกตัวจากจุดสตาร์ทแบบหยุดนิ่ง

ด้วยการใช้ระบบไฮบริด ลัมโบร์กินีจึงสามารถเปิดตัวโหมดการขับขี่ 3 โหมดใหม่ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance ซึ่งสามารถเลือกได้โดยใช้ปุ่มสั่งงานด้านขวาบนพวงมาลัย ตัวเลือกโหมดการขับขี่จะแสดงบนแดชบอร์ดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้วของผู้ขับขี่ โดยที่กราฟิกแอนิเมชันจะจำลองการหมุนของตัวเลือก เพื่อทำให้สามารถเลือกได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

โหมด Città คือประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในเขตเมืองซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งแบบไฮบริด (ขับเคลื่อนล้อหน้าโดยมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ผ่านชุดขับเคลื่อนเพลาหน้า e-axle ที่ให้กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ 190 CV) และในโหมด Recharge ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์ V8 สามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับได้อย่างรวดเร็วหากจำเป็น และโหมด Strada เหมาะสำหรับการขับขี่ในเส้นทางนอกเมืองและการเดินทางระยะไกล และเพื่อให้การขับขี่แบบสปอร์ตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมเปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องยนต์ V8 จะสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเสมอด้วยกำลังสูงสุด 800 CV ผ่านระบบส่งกำลังในโหมดไฮบริด ในขณะที่อยู่ในโหมด Recharge กำลังขับสูงสุดจะเท่ากับ 725 CV โดยชุดขับเคลื่อน e-axle ด้านหน้าจะรองรับแรงบิดเวกเตอร์และการทำงานของอากาศพลศาสตร์ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดเสถียรภาพสูงสุดเมื่อขับด้วยความเร็วสูง เช่น บนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น

เมื่อเลือกโหมด Sport จะเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของ Temerario ไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกตั้งค่าใหม่เพื่อมอบการขับขี่ที่เร้าใจ สนุกสนาน และตอบสนองร่วมกันได้ทั้ง 3 โหมด คือ Recharge, Hybrid และ Performance เครื่องยนต์สันดาปซึ่งได้รับการเสริมกำลังจากระบบไฮบริดจะทำงานทั้ง 3 สถานการณ์ โดยให้กำลังสูงสุด 920 CV ขณะที่เสียงเครื่องยนต์ V8 จะดังกระหึ่มขึ้น ชุดเกียร์จะตอบสนองอย่างรวดเร็วขั้นสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือนและอากาศพลศาสตร์จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวและอรรถรสในการขับขี่ในยามเข้าโค้ง

ในโหมดการขับขี่แบบ Corsa ซึ่งเป็นโหมดที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแบบไดนามิกของ Temerario บนสนามแข่ง โดยในด้านสมรรถนะ ระบบส่งกำลังจะแสดงศักยภาพสูงสุดด้วยกำลังเครื่องยนต์ถึง 920 CV และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับค่าเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากชุดขับเคลื่อน e-axle ทั้งในแง่ของการควบคุมแรงบิดและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเพื่อมอบสัมผัสการขับขี่แบบสปอร์ตขั้นสุด แต่ก็ยังสามารถเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมอบเสียงเครื่องยนต์ที่เข้าถึงอารมณ์ได้สูงสุดเพื่อสร้างประสบการณ์เสียงอันน่าดึงดูดและเร้าใจTemerario ยังมาพร้อมกับโหมด Drift เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมพวงมาลัยเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ ด้วยการเปิดใช้งานผ่านปุ่มปรับโหมดด้านล่างทางด้านขวาของพวงมาลัย โหมด Drift สามารถปรับได้ 3 ระดับ โดยระดับ 1 จะเพิ่มความไวโค้งโดยมีมุมสไลด์ที่จำกัด ไปจนถึงระดับ 3 สำหรับผู้ขับขี่ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะซึ่งจะมีมุมสไลด์ที่กว้างมากขึ้น

Temerario เป็นรถยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินีในด้านมัลติมีเดีย ผู้ขับขี่สามารถใช้ระบบนำทางพร้อมการอัปเดตแผนที่แบบ Over-the-air และข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการจราจรและสถานที่ใกล้เคียง ชุดเชื่อมต่อออนไลน์ยังประกอบด้วยเนื้อหาความบันเทิงมากมาย เช่น วิทยุผ่านเว็บ ระบบสั่งงานด้วยเสียง และการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนแบบไร้สายผ่าน Apple Car Play และ Android Auto โดย Temerario ได้นำเสนอระบบ Human Machine Interface (HMI) ซึ่งประกอบด้วยจอแสดงผล 3 จอ ได้แก่ แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอกลางขนาด 8.4 นิ้ว และจอแสดงผลของผู้โดยสารขนาด 9.1 นิ้ว มาพร้อมกราฟิกรูปแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงภาพ 3 มิติ ภาพเคลื่อนไหว วิดเจ็ตและการออกแบบสไตล์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ หน้าจอทั้งสามยังควบคุมโดย “กล้องควบคุม” เพียงตัวเดียว จึงมั่นใจได้ว่าการออกแบบ การตอบสนอง และการใช้งานจะมีความสอดคล้องกัน

สำหรับแผงหน้าปัด นอกจากการออกแบบกราฟิกที่ปรับปรุงใหม่ในทุกรายละเอียดแล้ว ยังนำเสนอฟังก์ชันการปรับแต่งใหม่ๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกมุมมองได้ถึง 3 แบบ ทั้ง “Dynamic” ที่มาพร้อมข้อมูลการเคลื่อนที่ของรถยนต์ “Navi” ที่แสดงแผนที่แบบเต็มหน้าจอ และ “Essential” ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ ระบบอินโฟเทนเมนต์ยังใช้ฟังก์ชั่นใหม่พร้อมตัวเลือกการปรับแต่งที่หลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบครันอย่างแท้จริง รวมถึงฟังก์ชันการปัดเลื่อนหน้าจอที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลที่แสดงอยู่จากหน้าจอกลางไปยังหน้าจอของผู้ขับขี่และผู้โดยสารแต่ละคน ด้วยการปัดจอหมือนกับที่ทำในสมาร์ตโฟน

Temerario ยังเปิดตัวระบบ Lamborghini Vision Unit (LAVU) ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เปิดใช้งาน 3 บริการออนบอร์ดรูปแบบใหม่ผ่านทางกล้อง 3 ตัวและชุดควบคุมเฉพาะ ซึ่งได้แก่บริการ Lamborghini Telemetry 2.0, Memories Recorder และ Dashcam โดยสามารถเข้าถึงแอปต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านระบบอินโฟเทนเมนต์และชุดควบคุมบนพวงมาลัย รวมถึงผ่านแอป Lamborghini Unica

ระบบ LAVU สามารถส่งข้อมูลระยะไกลที่บันทึกข้อมูลการขับขี่บนสนามแข่งเพื่อช่วยปรับปรุงการขับให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบันทึกทุกช่วงเวลาการขับที่ดีที่สุดด้วย Memories Recorder และเพิ่มความปลอดภัยผ่านทาง Dashcam

กล้องความละเอียดสูงทั้ง 3 ตัวถูกติดตั้งเพื่อจัดวางตำแหน่งทั้งห้องโดยสารและถนน กล้องด้านหน้าติดตั้งอยู่บนแผ่นบุหลังคาและบันทึกภาพจากถนนหรือสนามแข่ง ส่วนกล้อง “Emotion” ซึ่งอยู่บนแผ่นบุหลังคาเช่นกัน จะจับภาพห้องโดยสารเพื่อบันทึกอารมณ์ต่าง ๆ ของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ในขณะที่กล้องติดผนังด้านหลังซึ่งติดอยู่กับแผงกันไฟด้านหลังเบาะนั่ง จะบันทึกภาพของพวงมาลัย แผงหน้าปัด และกระจกบังลม

หมวด Driving Experience จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูประสบการณ์ทั้งหมดที่บันทึกไว้กับรถของตัวเอง ผ่านระบบ LAVU ที่เก็บบันทึกข้อมูลการเดินทางระยะไกล ซึ่งจะช่วยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระยะทางการเดินทางและการใช้ระบบส่งกำลังไฮบริดหลังจบทริปแต่ละครั้ง

แอป Lamborghini Unica สามารถมอบประสบการณ์แม้ในขณะที่เครื่องยนต์ยังดับอยู่ โดยผู้ใช้สมาร์ตโฟนหรือ Apple Watch สามารถตรวจสอบสถานะรถยนต์ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเรียกดูข้อมูล เช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ระดับพลังงานแบตเตอรี่ ระยะทาง และตำแหน่งจอดรถที่แน่นอน นอกจากนี้ แอปยังสามารถใช้งานชุดคำสั่งควบคุมระยะไกล เช่น การล็อกและการปลดล็อกประตูได้อีกด้วย

หนึ่งในฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการปกป้องกันใน Temerario คือระบบ Lamborghini Connect Vehicle Tracking System (LCVTS) ซึ่งสามารถตรวจจับการใช้รถโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างแม่นยำและทำการแจ้งเตือนเจ้าของรถผ่านแอป รวมถึงศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย เพื่อให้เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นในทันที โดยลัมโบร์กินีรับประกันการรักษาความลับและการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบรถยนต์ โดยใช้แนวทาง “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยด้วยการออกแบบ” ซึ่งรักษามาตรฐานสูงสุดตลอดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์

ในช่วงการขับขี่ในสนาม ผู้ขับยังสามารถเรียกดูเส้นทางในสนามและข้อมูลเกี่ยวกับเวลารอบของแต่ละส่วนได้บนจอแสดงผลแดชบอร์ด นอกจากนี้ยังสามารถเลือกเวลาอ้างอิงเพื่อดูรายงานประสิทธิภาพได้ในทันที โดยLamborghini Telemetry 2.0 มีข้อมูลสนามแข่งที่สำคัญของโลกมากกว่า 150 สนาม (รวมถึงสนามจำลองต่าง ๆ) เมื่อเปรียบเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้าที่มีในรุ่น Huracán STO นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่นๆ เช่น แรงดันลมยาง หรือตำแหน่งและเวลาที่ระบบไฟฟ้าเริ่มเข้ามาประสานการทำงานของเครื่องยนต์

ผู้ใช้ยังสามารถบันทึกวิดีโอประสบการณ์การขับขี่ของตนเองด้วยกล้องที่รวมอยู่ในระบบ LAVU โดยหลังจากจบรอบการขับ สามารถเรียกดูข้อมูลและวิดีโอได้โดยตรงบนหน้าจอแดชบอร์ดหรือแชร์บนแอป Unica นอกจากนั้นเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึกยิ่งขึ้น แม้กระทั่งการเชื่อมต่อข้อมูลรถยนต์เข้ากับอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ใช้งานผ่านการทำงานร่วมกับ Apple Watch

ความสนุกยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดแม้อยู่นอกช่วงเวลาการขับขี่ในสนาม โดยผู้ใช้สามารถบันทึกทุกช่วงเวลาใน Temerario ได้ด้วย Memories Recorder ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ขับขี่บันทึกการขับขี่ได้สูงสุด 2 นาทีโดยใช้กล้องระบบ LAVU และแชร์วิดีโอผ่านแอป Unica ซึ่ง Memories Recorder มีตัวเลือกการใช้งานและการปรับแต่งส่วนบุคคลมากมายที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม ให้คุณสามารถเลือกเฟรมกล้อง ข้อมูลที่แสดงบนอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก และฟอร์แมตวิดีโอ

ระบบ LAVU ยังรองรับการใช้งานแอป Dashcam ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ กล้องทั้ง 3 ตัวมีระบบเฝ้าระวังต่อเนื่องที่มีประสิทธิภาพ และในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือกรณีฉุกเฉิน กล้องจะบันทึกวิดีโอความยาวหนึ่งนาทีให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถเรียกดูภาพได้สูงสุด 40 วินาทีก่อนช่วงเวลาการชนหรือการหลบหลีก และยังสามารถรับชมวิดีโอได้ทั้งบนระบบอินโฟเทนเมนต์และจากแอป Unica

ในฐานะพันธมิตรระยะยาวของลัมโบร์กินีและถือเป็นพันธมิตรยางแต่เพียงผู้เดียวของ Lamborghini Temerario ทำให้บริดจสโตน (Bridgestone) ได้หันมาใช้ยางในซีรีย์ Potenza อันเป็นเอกลักษณ์สำหรับการขับขี่บนถนนและในสนาม โดยนำเสนอยาง Potenza Sport และ Potenza Race ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งสำหรับ Bridgestone Potenza Sport ที่สั่งทำพิเศษสำหรับใช้ในการพัฒนายางที่เพิ่มการควบคุมบนถนนแห้ง การควบคุมบนถนนเปียก และสมรรถนะที่ความเร็วสูง เพื่อยกระดับการขับขี่แนวสปอร์ตให้ถึงขีดสุด

นอกเหนือจากการเป็นยางติดรถที่มีมาตรฐานสมรรถนะสูงพิเศษเหล่านี้ บริดจสโตนยังได้ออกแบบให้ Potenza Sport ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน Run-Flat ช่วยให้ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้แม้ยางรั่ว โดยขับต่อไปได้อย่างปลอดภัยเป็นระยะทางกว่า 80 กม. ที่ความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม. บริดจสโตนยังได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ใน Temerario ในรูปแบบของยางรถยนต์ที่มอบการยึดเกาะที่ดีขึ้น สร้างการยึดเกาะพื้นผิวที่เหนือกว่าและความสบายในการขับขี่บนถนนแบบทุกสภาพผิว เพื่อความปลอดภัยและความอุ่นใจในทุกสภาวะ

นอกจากนี้ บริดจสโตนยังได้ออกแบบยางสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะ เพื่อปลดปล่อยสมรรถนะอันน่าทึ่งของซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ โดยยาง Bridgestone Potenza Race สามารถให้การยึดเกาะที่ดีเยี่ยม การควบคุมรถที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพที่ยาวนานสำหรับผู้ชื่นชอบการขับขี่ในสนาม ซึ่งประสิทธิภาพการยึดเกาะระดับสูงนี้เกิดจากการใช้ส่วนผสมเฉพาะที่พัฒนาขึ้นสำหรับยางสนามแข่ง หลังจากนั้นจึงนำไปใช้กับการขับขี่ทั่วไปบนท้องถนน

บริดจสโตนยังเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองทุกข้อจำกัดและความต้องการของผู้ขับขี่ โดยได้ออกแบบยางสำหรับฤดูหนาว รุ่น Blizzak LM005 ซึ่งช่วยให้ซูเปอร์คาร์สามารถมอบประสิทธิภาพระดับสูงสุด แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาวที่ท้าทาย

ยางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะแต่ละเส้นล้วนได้รับการพัฒนาและผลิตในยุโรป โดยมีจำหน่ายใน 8 ขนาด หน้ายางและขนาดเส้นรอบวง 20 นิ้ว และ 21 นิ้ว โดยหลังจากรุ่น Huracán STO, Tecnica, Sterrato, Huracán EVO และ V12 HPEV Revuelto โดย Temerario เป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลัมโบร์กินีรุ่นล่าสุดที่ติดตั้งยางบริดจสโตนเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน

ข้อมูลด้านเทคนิค

POWERTRAIN                                                                                                             

Engine: V8 Bi-Turbo – Hot-V 4.0l

Displacement: 3995,2 cm3 (243,8 cu in)

Bore and Stroke: 90 mm x 78,5 mm (3,54 x 3,09 in)

Compression Ratio: 1 : 9,3

Max power @ rpm (ICE): 800 CV @ 9000-9750 rpm

Max power (combined ICE+EE): 920 CV

Max torque @ rpm (ICE): 730 Nm @ 4000-7000 rpm

Cooling System: Liquid cooled – dedicated circuit for HV components

Engine Management System: Central DI – Bosch

Lubrication System: Dry sump

TRANSMISSION                                                                                                          

Transmission: Automatic

Gearbox: 8 gears

Clutch: Dual clutch

HYBRID SYSTEM                                                                                                        

Battery: Lithium-ion high specific power battery with pouch cells

Generator: P1 eMotor

Electric Engines: Front e-axle (220kW @3500rpm)

PERFORMANCE                                                                                                         

Max Seed: 343 km/h

Acceleration 0-100 km/h: 2.7 s

Braking 100-0 km/h: 32 m

BODY AND CHASSIS                                                                                                  

Frame: Full Alluminium

Body: Alluminium

WHEELS                                                                                                                     

Tyres – Front: Bridgestone Potenza Sport 255/35 ZR20

Tyres – Rear: Bridgestone Potenza Sport 325/30 ZR21

Front Rims: 20 x 9J

Rear Rims: 21 x 11.5J

BRAKING SYSTEM                                                                                                      

Brakes: CCB Plus (Carbon Ceramic Brakes Plus) brakes with fixed monoblock calipers in aluminum with 10 pistons (front) and 4 pistons (rear)

Front Brakes: 410x38mm discs

Rear Brakes: 390x32mm discs

DIMENSIONS                                                                                                              

Wheelbase: 2.658 mm (104,6457 in.)

Lenght: 4.706 mm (185,2756 in.)

Width (Excluding Mirrors): 1.996 mm (78,58268 in.)

Width (Including Mirrors): 2.246 mm (88,4252 in.)

Height: 1.201 mm (47,28346 in.)

Dry Weight: 1.690 kg (3.725,8 lb)

Weight-to-power Ratio: 1,84 kg/CV

Related Posts

Lamborghini Temerario GT3 สายพันธุ์สนามแข่งขันจากโรงงานซัง’อกาตา
Car

Lamborghini Temerario GT3 สายพันธุ์สนามแข่งขันจากโรงงานซัง’อกาตา

July 14, 2025
NISSAN NAVARA MY2025 เพิ่ม 3 รุ่นใหม่ ราคาเร้าใจ
Car

NISSAN NAVARA MY2025 เพิ่ม 3 รุ่นใหม่ ราคาเร้าใจ

July 9, 2025
Lamborghini Temerario ก้าวสู่ยุคใหม่ของขุมพลังไฮบริด V8
Car

Lamborghini Temerario ก้าวสู่ยุคใหม่ของขุมพลังไฮบริด V8

July 9, 2025
เปิดสเปก NEW GWM TANK 500 DIESEL พร้อมรุ่นย่อย Black Warrior
Car

เปิดสเปก NEW GWM TANK 500 DIESEL พร้อมรุ่นย่อย Black Warrior

July 8, 2025

Category

  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle
  • Uncategorized

Tags

Bentley BRIC Superbike BYD Fast Auto Show Thailand Fast Auto Show Thailand 2025 Ford GWM Honda Hyundai JAECOO KIA Lamborghini Lexus Mercedes-Benz MG MINI Mitsubishi MOTIF Motorrad NETA Nissan Porsche Rolls-Royce Suzuki Toyota Volvo XPENG Yamaha Zeekr ฺBMW

About

มิติใหม่แห่งข่าวสาร ความเคลื่อนไหวในแวดวงยานยนต์ และไลฟ์สไตล์ บนโลกออนไลน์ ในรูปแบบวาไรตี้ ที่ไม่ควรพลาด

Categories

  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle
  • Uncategorized

Browse by Tag

Bentley (1) BRIC Superbike (1) BYD (2) Fast Auto Show Thailand (1) Fast Auto Show Thailand 2025 (1) Ford (1) GWM (3) Honda (1) Hyundai (1) JAECOO (1) KIA (2) Lamborghini (2) Lexus (1) Mercedes-Benz (1) MG (1) MINI (1) Mitsubishi (1) MOTIF (1) Motorrad (1) NETA (1) Nissan (1) Porsche (2) Rolls-Royce (1) Suzuki (1) Toyota (3) Volvo (1) XPENG (2) Yamaha (2) Zeekr (1) ฺBMW (2)

Recent Posts

  • กรังด์ปรีซ์ฯ ผุดโปรเจ็กต์ใหม่ “THAILAND DIECAST EXPO” งานแสดงสินค้า โมเดลรถและของสะสมไดแคสต์ (Diecast) ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
  • Lamborghini Temerario GT3 สายพันธุ์สนามแข่งขันจากโรงงานซัง’อกาตา

© 2024 CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์

No Result
View All Result
  • Home
  • Review
  • Car
  • Bike
  • Other
  • Motorsport
  • Lifestyle

© 2024 CARZANOVA เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์