บอร์ด EV ปรับมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ยกกะบิ ขยายเวลาจดทะเบียนนับการผลิตชดเชย 1 คันเป็น 1.5 คัน เผย 9 เดือนตัวเลขจดทะเบียนรถEV โตเกือบ 60%

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมบอร์ดEV ชุดใหม่ เปิดเผยว่า เห็นชอบปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าทั้ง EV3.0 และ EV3.5 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดของโลกและตลาดในประเทศไทย

โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.ปรับปรุงมาตรการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและ 2.ปรับปรุงมาตรการเพื่อลดหรือป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ
ประกอบด้วย 1.ขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 จากเดิมที่จะต้องจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 (สำหรับEV 3.0 ) และ 2570 (สำหรับEV 3.5) ขยายเวลาเป็นภายในเดือนมกราคมของปีถัดไปเพื่อช่วยให้รถEV ที่ขายช่วงปลายปีจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้ทันกำหนด
2. เงื่อนไขในการจ่ายเงินอุดหนุนหากผู้ประกอบการผลิตล่าช้ากว่าแผนกรมสรรพสามิตจะชะลอการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะดำเนินการได้ตามแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยงหากผลิตชดเชยไม่ได้ตามกำหนด

3.ปรับปรุงเงื่อนไขการขยายเวลาผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3.0 ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของภาคธุรกิจโดยอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 สามารถเพิ่มรายชื่อโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นคู่สัญญาในมาตรการ EV3.5 เข้ามาในสัญญา EV3.0 ได้ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตชดเชยตามกรอบเวลาที่กำหนด
4.ขยายเวลาการผ่อนผันการนับมูลค่าวัตถุดิบที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย สำหรับเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศจากเดิมสิ้นสุดปี 2568 ขยายออกไปอีก 6 เดือนจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2569

5.กำหนดวิธีปฏิบัติและแนวทางสำหรับมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ HEV (ไฮบริด) 3 ด้าน
1) การปล่อย CO₂ ผู้ผลิตต้องผ่านการทดสอบและรับรองค่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตามเกณฑ์ที่กำหนดพร้อมแสดงข้อมูลผ่านระบบ ECO Sticker
2) ด้านการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตหรือประกอบในประเทศต้องมีการใช้ชิ้นส่วน HEV ที่มีมูลค่าสูงหรือปานกลางที่ผลิตในประเทศตามเงื่อนไขที่กำหนดและมีการใช้แบตเตอรี่ที่มีการผลิตอย่างน้อยในระดับ Pack Assembly ในประเทศมีโรงงานที่มีสาระสำคัญของการผลิตและรักษากำลังผลิตของเครื่องจักรมีโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่ผลิตหรือใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ 4 ใน 5 ชิ้นหรือมีสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% ตามวิธีคำนวณและเงื่อนไขของกระทรวงอุตสาหกรรมมีการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาหรือมีการจ้างแรงงานไทยไม่น้อยกว่า 75% ของคนทำงานในสำนักงาน
3) ด้านความปลอดภัยและระบบ ADAS ผู้ผลิตต้องนำรถเข้าทดสอบการทำงานของระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะที่ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ครอบคลุมการทดสอบทั้ง 4 กลุ่มได้แก่ Car-to-Car Rear Stationary, Lane Keeping, ระบบเตือนการออกนอกช่องจราจร (LDW) และระบบตรวจจับจุดบอด (BSD)

ส่วนการปรับปรุงมาตรการป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศ (Oversupply)
1.ปรับปรุงเงื่อนไขการนับจำนวนการผลิตชดเชยโดยในส่วนของการผลิตชดเชยเพื่อส่งออกให้นับการส่งออก 1 คันเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คันเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการส่งออกเพิ่มเติมและป้องกันปัญหาการผลิตล้นตลาดในประเทศซึ่งจะกระทบต่อตลาดรถยนต์โดยรวมรวมถึงขยายเวลาให้ส่งออกและส่งหลักฐานการส่งออกได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายนปีถัดไป
2.เพิ่มทางเลือกในการออกจากมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายแล้วแต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนให้สามารถจ่ายส่วนต่างภาษีสรรพสามิตที่ได้รับการลดหย่อนคืนพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเพื่อลดยอดที่ต้องนำไปคำนวณการผลิตชดเชย
สำหรับช่วง 9 เดือนปี 2568 (มกราคม – กันยายน) ประเทศไทยมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่องเกือบ 60% มีจำนวนทั้งสิ้น 87,112 คัน














