ค่ายรถยนต์ BYD มีประเด็น และสร้างไวรัลในโซเชียลได้ตลอดเวลา ตั้งแต่เปิดตัว มีผู้คนแห่ต่อแถวจองกันคิวยาวเยียด ถัดมาเปิดศึกถล่มราคาแล้วถล่มราคาอีก จนเกิดดราม่า ลูกค้าที่ซื้อรถไปก่อนหน้าได้รับผลกระทบ ถูกด้อยค่า ราคารถถูกลงมีผลต่อราคาขายต่อ จนบานปลายไปถึงกลุ่มผู้ให้บริการเป็นรถเช่าออกมาโวยวายไม่พอใจกับกลยุทธ์เอาแต่ได้

ล่าสุดมีดีลเลอร์ 2 ราย คลอดแคมเปญนำใบจองที่จองรถยี่ห้อใดก็ได้มาเป็นใช้เป็นส่วนลดโดยเสนอให้มูลค่า 5,000 บาท เมื่อลูกค้ารายนั้นต้องการซื้อรถ BYD DOLPHIN รุ่น Standard หรือ BYD ATTO3 รุ่น Extended Range และ BYD DOLPHIN รุ่น Extended

เอาล่ะซิ! เคสนี้ก็มีประเด็นถกเทียงกันพอสมควร บางคนก็ว่าดีมีทางออกให้กับลูกค้าที่อยากได้รถไปใช้งานเร็ว แต่บางคนกลับมองเรื่องจริยธรรม และที่ใหญ่ไปกว่านั้น จะมีประเด็นข้อกฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

CARZANOVA สอบถามผู้รู้ที่คว่ำหวอดกับการค้าขายรถยนต์มานาน และมีความรู้ด้านกฎหมายดี ลองไปดูการวิเคราะห์เกี่ยวกับแคมเปญนี้กันเลย
ประเด็นแรก ถือเป็นการดึงดูดลูกค้าจากคู่แข่ง ลูกค้าที่อยากใช้รถเร็วไม่อยากรอรถนานจึงเสนอตัวเป็นทางเลือกให้ตัดสินใจหันมาซื้อ BYD แทน แคมเปญนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ตรงกับความต้องการลูกค้าได้ระดับหนึ่ง แต่ยังตั้งข้อสังเกตุเพิ่มเติมว่า เดี๋ยวนี้จองรถแค่ 1,000 บาท ก็มีให้เห็นเกลื่อนกราดโดยเฉพาะรถจีน ดังนั้นลูกค้ายังจะได้ส่วนต่างเพิ่มเติมด้วย แต่เชื่อว่าคงไม่เยอะนะ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะชื่นชอบแบรนด์ที่ตัวเองเลือกพร้อมที่จะรอ และรถของ BYD ก็มีจำนวนจำกัด และอาจจะเลือกสีไม่ได้ด้วย จะมีแค่ในสต็อกที่ค้างมานาน

ประเด็นที่สอง ผลด้านกฎหมาย ประเด็นนี้ยังเป็นคำถามและความท้าทายทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายเดิม ซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อความน่าเชื่อถือในกระบวนการจองรถของตลาด EV โดยรวม ส่วนจะผิดเงื่อนไขการจองหรือไม่ คงไม่ผิดเพราะยังไม่มีสัญญาผูกมัด ลูกค้าอาจแค่สูญเสียเงินมัดจำเดิมเท่านั้น และจะเกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ด้วยหรือไม่ ก็ไม่น่าเกี่ยวเพราะผู้บริโภคยังไม่เสียสิทธิ

แต่ที่น่ากังวลคือ ประเด็นนี้จะเข้าข่าย ซื้อขายใบจอง หรือไม่… ซึ่งผู้เชี่ยวชาญพยายามอธิบายทางกฎหมายว่า ใบจองรถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินตามหลักกฎหมายแพ่งไทย ใบจองเป็นเพียงหลักฐานแสดงเจตนาทำสัญญาในอนาคตระหว่างผู้จองกับบริษัทจำหน่ายรถยนต์ค่ายนั้นๆ ซึ่งยังไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในตัวรถ และโดยทั่วไปไม่สามารถโอนสิทธิจองได้ เว้นแต่บริษัทอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร

ดังนั้นถ้าใช้ใบจองของค่ายหนึ่งเป็นส่วนลดกับอีกค่ายหนึ่ง จะต้องแยกกรณีให้ชัดเจน แบ่งเป็น
1. ใช้ใบจองจากค่าย A ที่ระบุชื่อเราไปยื่นขอส่วนลดกับค่าย B โดยตรง เพื่อแสดงว่าเราเคยสนใจอีกค่ายถือเป็นหลักฐานประกอบการเจรจาส่วนลดเท่านั้น ไม่ถือเป็นการซื้อขายใบจองเพราะไม่ได้โอนสิทธิ์หรือโอนมูลค่าใบจองนั้นให้ค่าย B
2.ถ้าเป็นการซื้อหรือรับใบจองจากบุคคลอื่น เช่นในโซเชียล แล้วนำไปใช้กับอีกค่ายเพื่อขอลดราคา ถือเป็น “การซื้อขายสิทธิในสัญญา” ซึ่งผิดเงื่อนไขใบจองเดิมเกือบทุกกรณี ถือเป็นการ “ซื้อขายใบจอง” และบริษัทสามารถปฏิเสธการรับรองสิทธินั้นได้ทันที

3.ถ้ามีการ “ขายใบจอง” ของค่ายหนึ่งในราคาสูงกว่าค่าจองจริง เช่นจอง 5,000 แต่ขายต่อ 20,000 แบบนี้เข้าข่าย เก็งกำไรจากสัญญา ผิดเงื่อนไขบริษัทแน่นอน และอาจเข้าข่ายฉ้อโกงถ้ามีการโฆษณาเกินจริง
ดังนั้นการนำใบจองของค่ายหนึ่ง ไปใช้เป็นส่วนลดกับอีกค่ายหนึ่ง ไม่ถือเป็นการซื้อขายใบจองเพราะเป็นเพียงหลักฐานประกอบการขอส่วนลด เท่านั้นแต่ถ้ามีการโอนมูลค่าหรือสิทธิ์ในใบจอง เช่น ซื้อ,ขายหรือเปลี่ยนชื่อผู้จอง ถือเป็นการซื้อขายใบจอง ซึ่งขัดต่อเงื่อนไขสัญญาเดิมแน่นอน














