เศรษฐีกระเป๋าหนัก หรือผู้ที่หลงใหลซูเปอร์คาร์เป็นชีวิตจิตใจ คงได้ตีปีกกันอุตลุด หลังเสี่ยนัท “อภิชาติ ลีนุตพงษ์” ประธานกรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายซูเปอร์คาร์ ลัมโบร์กินี (Lamborghini) ออกมาตะโกนดังๆว่า ปี 2569 หรือปีหน้าราคาขาย กระทิงดุ ลัมโบร์กินี จะถูกลง 15% หลังภาษีสรรพสามิตใหม่มีผลบังคับใช้

แล้วอย่างนี้ซูเปอร์คาร์แบรนด์อื่นๆ ที่ขายในไทย อาทิ Ferrari ที่ทำตลาดโดยกลุ่มภิรมย์ภักดี หรือ Cavallino Motors, Porsche Thailand ที่ AAS Auto ดูแลอยู่ทั้งหมด, McLaren โดย Niche Cars Group ภายใต้การบริหารงานของเสี่ยแชมป์ วิทวัส ชินบารมี และ Aston Martin พันธมิตรในเครือ MGC Asia ราคาขายจะถูกลงตามด้วยมั้ย?

แน่นอนรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลัง ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ให้เอื้อต่อเทคโนโลยีสะอาด เช่น รถ Plug‑in Hybrid (PHEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องยนต์ที่มีปริมาตรกระบอกสูบมากกว่า 3,000 ซีซี. ซึ่งปกติจะโดนภาษีสูงถึง 50% แต่โครงสร้างใหม่ถ้าเป็น PHEV จะเสียภาษีเพียง 30% ส่งผลให้ราคาลดลงอย่างน้อย 15-20% ตรงกันข้ามหากยังเป็นเครื่องยนต์สันดาปเพียวๆ (ICE) จากเดิมที่เคยเสีย 40% จะต้องขยับขึ้นเป็น 50%

ดังนั้นลัมโบร์กินี รุ่น อูรุส เอสอี (Urus SE) ที่ปัจจุบันมีราคาขายเริ่มต้น 24.95 ล้านบาท จะปรับลดลงเริ่มต้น 21.5 ล้านบาท ส่วนเทเมราริโอ (TEMERARIO) ราคาเริ่มต้นแค่ 23.76 ล้านบาทเท่านั้น
หรืออย่าง McLaren Artura ราคากว่า 30 ล้านบาท หากได้ประโยชน์จากโครงสร้างภาษีใหม่ราคาขายจะลดลงอย่างฮวบฮาบ หรือ Koenigsegg Gemera ไฮเปอร์คาร์ไฮบริด มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 300 คันทั่วโลก หากได้ลดภาษี คาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่ราวๆ 100 ล้านบาทต้นๆ จากเดิมที่ทะลุ 200 ล้านบาท

ไม่ต่างจากแบรนด์ เฟอรารี่ ที่มี Ferrari 296 GTB / GTS สปอร์ต PHEV เครื่องยนต์ V6 ระดับ 819 แรงม้า (รวมมอเตอร์ไฟฟ้า) เปิดตัวตั้งแต่ปี 2021–2022 และมีรุ่น SuperSport Speciale ที่จะเริ่มส่งมอบต้นปี 2026 นอกจากนี้ยังมี SF90 Stradale / SF90 XX (PHEV) เครื่องยนต์ V8 ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วย เพิ่มสมรรถนะและใช้เทคโนโลยีจาก F1 หรืออย่าง F80 ไฮเปอร์คาร์รุ่นพิเศษแทน LaFerrari ใช้ระบบไฮบริดผสาน V6 กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมกว่า 1,200 แรงม้า ถ้าได้โครงสร้างภาษีใหม่ช่วยก็จะทำให้ราคา ลดลงได้มากทีเดียว

Ferrari ยังเตรียมเปิดตัว รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรก ในวันที่ 9 ตุลาคม 2025 นี้โดยการเปิดตัวจะมีขึ้นในงาน Capital Markets Day และคาดว่าจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าภายใน ตุลาคม 2026 ถ้าหลุดรอดมาถึงเมืองไทยราคาขายคงเร้าใจไม่น้อย
เช่นเดียวกับ Aston Martin Valhalla ซูเปอร์คาร์แบบ Plug-in Hybrid (PHEV) รุ่นแรกของแบรนด์ มีเครื่องยนต์ V8 ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมส่งมอบภายในปี 2025 โดย Aston Martin ยังวางแผนจะเปิดตัวรุ่น PHEV เพิ่มเติมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เช่น DBX, DB12, Vantage, DBS ซึ่งใช้เทคโนโลยีจาก Mercedes‑AMG กลยุทธ์นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายเพื่อให้รถทุกรุ่นมีทางเลือก “Electrified” ภายในปี 2026

อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือค่าย AAS ผู้แทนจำหน่าย ปอร์เช่ รายใหญ่ในไทย เชื่อว่าโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่นี้ จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสและความท้าทาย โดยแบรนด์ Porsche มีซูเปอร์คาร์ที่เป็น ไฮบริดและปลั๊ก-อินไฮบริด เยอะ อาทิ Porsche 918 Spyder (PHEV) ในกลุ่ม Hypercar อย่าง Porsche 911 GTS T‑Hybrid ที่เริ่มผลิตตั้งแต่ มิถุนายน 2024

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า 911 Turbo S Hybrid กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 ปัจจุบันมีอย่างน้อย 2 รุ่น ที่เป็นไฮบริด ส่วนซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าล้วน อาทิ Porsche Mission X เป็นคอนเซปต์ EV supercar ที่เปิดตัวในปี 2023 Taycan EV ประสิทธิภาพสูง ในสายสปอร์ตของ Porsche และยังมีการวางแผนเปิดตัว 718 Boxster และ Cayman EV ในอนาคตราวๆ ปี 2026

เห็นเงื่อนไขภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มซูเปอร์คาร์ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้า หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่า แบบนี้แนวโน้มตลาดซูเปอร์คาร์ในไทยอนาคตจะเป็นอย่างไร ผู้บริหารซูเปอร์คาร์หลายยี่ห้อ ยืนยันตรงกันว่า ตลาดซูเปอร์คาร์ ที่ใช้เครื่องยนต์ล้วนๆ ยังไม่หายไปง่ายๆ แน่นอนว่า ICE จะไม่ถูกแบนอย่างทันทีในอนาคตอันใกล้ และจะทำให้ EV / HEV และ PHEV ขยายตัวอย่างรวดเร็ว