จริงๆ ไม่อยากจะเขียนถึงเรื่องนี้เลย เพราะประเด็นดราม่ามันมีเยอะ เขียนไปก็อาจจะโดนด่า แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างที่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว หวังว่าจะทำให้การจราจรของประเทศไทยมันจะพัฒนาขึ้น กับเคสลูกนักการเมืองท้องถิ่น ย่านปทุมธานี ซิ่งบีเอ็มดับเบิลยูป้ายแดง สบัดท้ายตบปิกอัพลุงกับป้า เซเข้าแท่งแบริเออร์บนมอเตอร์เวย์พื้นที่อำเภอลำลูกกา จนรถเสียหายและได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 คน โดยเฉพาะคุณลุงผู้ขับขี่บาดเจ็บสาหัสซี่โครงหักหลายซี่

ทันทีที่มีคลิปออกมามากมาย มีอดีตตำรวจ ทนายความ และนักวิชาการผู้เชื่ยวด้านกฎหมายออกมาให้ความเห็นกันอย่างอื้ออึง อ้างกฎหมายข้อนั้นข้อนี้ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติจราจรทางบก ปี 2522 รวมถึงยกฎีกามาประกอบการนำเสนอของตัวเองกันอุตลุด

บางท่านตีความ (ช่วงเกิดเหตุครั้งแรกหลังออกจากด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์) ว่าเป็น “ประมาทร่วม” บางกูรูฟันธงเลยว่ารถกระบะผิดเปลี่ยนเลนกระทันหัน บางท่านมองว่า น่าจะเป็นบีเอ็มดับเบิลยูมากกว่าที่ผิด เพราะรถหลังต้องระวังรถหน้า จุดเกิดเหตุแรกนี้มันมีหลากหลายความคิดเห็น ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 ไม่ต้องไปพูดถึงมากนักเพราะน้ำหนักทั้งหมดความผิดทั้งหมดคงเทไปที่ลูกนักการเมืองขับบีเอ็มดัเบิลยูอย่างปฎิเสธไม่ได้

เรื่องนี้จริงๆ คงยังสรุปอะไรชัดเจนไม่ได้ ต้องรอตำรวจทำสำนวนยื่นอัยการส่งฟ้องตามขั้นตอนกฎหมาย แล้วรอศาลพิพากษา ซึ่งผลจะออกมาอย่างไร ฝ่ายไหนถูกหรือผิด และคำพิพากษาถ้าฝ่ายไหนยังรู้สึกไม่พอใจ ยังมีอีก 2 ช่องทาง ทั้งอุทรณ์ ฎีกา เพื่อให้เกิดความยุติธรรมอย่างเต็มที่
แต่หากย้อนกลับมาดูอุบัติเหตุบนท้องถนนบ้านเรา เกิดขึ้นเยอะมากไม่เว้นแต่ละวัน ตัวเร่งปฎิกิริยาที่ทำให้เกิดเหตุคงปฎิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีคนใช้รถใช้ถนนที่ระยะหลังหัวร้อนมากขึ้น ขับรถไม่เคารพกฎจราจร รวมไปถึงมือใหม่หัดขับ แต่ที่เราพูดมาทั้งหมดนี้คือสาเหตุมาจากผู้ควบคุมรถ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งที่หลายคนไม่ค่อยพูดถึงนั่นก็คือ “ถนน” ที่ใช้สัญจร
ประเด็นนี้ ต้องคงฝากผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะกรมทางหลวง กรมโยธา กทม. และรัฐบาล ช่วยกันหน่อยเถอะครับ ถนนหนทางที่ท่านสร้าง ท่านออกแบบ บอกตรงๆ ไม่แน่ใจว่าคำนึงถึงหลักวิศวกรรมจราจรกันมากน้อยแค่ไหน ทำไมมันถึงได้พร้อมทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียจริง (เราพูดกันด้วยความเป็นจริง อย่างไม่มีอคตินะครับ)
ตัวอย่างเหตุการณ์ดังกล่าว ดูจากภาพมุมสูงต้องบอกว่าโหดจริง ออกจากด่านเกือบ 10 ช่องทาง บีบเหลือแค่ 3 ช่องทาง แถมอีก 2 ช่อง บรรดารถบรรทุกยึดไปหมดแล้ว ขณะที่หันไปมองช่อง M-Flow โอ้โหกินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่ง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าอยากให้คนใช้ M-Flow แต่เวลาทำอะไรอย่าลืมนะครับ ว่าต้องค่อยเป็น ค่อยไป คนไทยไม่ได้สะดวกใช้ M-Flow กันหมดนะครับ เคยไปนั่งทำสถิติดูไหมว่ารถเข้า M-Flow กับรถที่ยังจ่ายเงินหน้าด่าน ปริมาณรถมันมีสัดส่วนเป็นอย่างไร ไม่ใช่สักแต่จะให้คนหลงเข้า M-Flow แล้วลืมจ่าย ต้องมาเสียค่าปรับ 10 เท่า (ซึ่งผมว่ามันก็แพงเกินไป) หากแต่เรามีใจเป็นกลาง แล้วค่อยๆ ปรับรูปแบบการใช้งานช่อง M-Flow ให้เหมาะสมกับช่วงเวลา นอกจากปัญหารถติดสะสมหน้าด่านจะน้อยลงแล้ว เรื่องของอุบัติเหตุอย่างเคสที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงตามไปด้วย


รวมไปถึงอย่างจุดยูเทิร์นรถ หรือคอสะพาน ซึ่งหลายที่พร้อมทำให้เกิดอุบัติเหตุ อย่างคอสะพาน ขอยกตัวอย่างเส้นมอเตอร์เวย์ ที่กำหนดความเร็วในการขับ 120 กม./ชม. และถ้าคนไม่คุ้นทาง ไม่คุ้นสะพาน กดมา 120 มีรถบินรถเหินแน่นอนครับ ถามจริงผู้มีอำนาจ หรือผู้สร้างไม่ทราบกันเลยหรือไงครับ นี่ยังไม่รวมถึงถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ที่หลายคนประชดว่านี่มันไม่ใช่หลุมบ่อธรรมดา นี่มันหลุมควายบ่อวัว กันเลยขนาดนั้น รถยนต์ยังไม่เท่าไหร่ หากตกลงไปก็แค่รถพัง แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์นี่สิ มีกระเด้งกระดอน ล้มกลิ้งล้มหงายไม่เป็นถ้า ไม่สงสารคนเหล่านี้กันบ้างเหรอครับ เขาอาจมีครอบครัวที่ต้องดูแล มีคนที่บ้านที่รอคอยเขากลับไปอยู่

นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องสมรรถภาพการขับขี่ของผู้ขับ ที่บางทีอายุ สายตา และประสาทสัมผัสต่างๆ อาจมีผลต่อการตัดสินใจ ซึ่งก็เป็นเหตุก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อีก และเมื่อพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุแล้ว ขอเลยเถิดไปเรื่องสาธารณสุขต่อเลยอีกก็แล้วกัน หากบาดเจ็บเข้ารักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลอีกเท่าไหร่ ควบคุมเรื่องค่ารักษาพยาบาลกันหน่อยเถอะ ซึ่งพอค่ารักษาพยาบาลแพง จะมาส่งเสริมให้คนทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุค่าประกันก็แพงอีก เห็นไหม ทุกปัญหา มันส่งผลกันต่อไปเป็นโดมิโน่

ส่วนเรื่องกฎหมายจราจร อันนี้ก็ต้องนำมาพิจารณากันใหม่แบบด่วนๆ เอาที่จริงน่าจะต้องรีบกว่าการพิจารณา Entertainment Complex อีกซะด้วยซ้ำ เพราะบ้านเรามี พ.ร.บ.จราจรทางบกมาตั้งแต่ปี 2522 นี่ผ่านมา 45 ปีแล้ว ท่านผู้อ่านคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะต้องปรับปรุงให้เข้ากับยุคเข้ากับสมัยกันหน่อยหรือยัง เช่น การกำหนดความเร็วโดยเฉพาะรถยนต์นั่ง เดี๋ยวนี้สมรรถนะรถดีกว่าแต่เก่าแต่ก่อนเยอะ ใช่แม้จะมีการปรับปรุงแก้ไขไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุม
อ่ะเรื่องความเร็วก็เรื่องหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้จะเห็นรถช้าวิ่งแช่ขวากันเยอะ แถมยังวิ่งคู่กันเต็ม 2 ช่องทางซะอีก รถที่เร็วกว่าถ้าอยากแซงก็ต้องใช้วิชาซิกแซกเพื่อให้ผ่านไปได้ แต่ต้องแลกกับการถูกมองว่าเป็นพวก “ตีนผี” ทั้งที่จริงๆ ต้นเหตุมันเกิดมาจากอะไร?? หรือกรณีรถบรรทุก มันแย่ตั้งแต่บรรทุกน้ำหนักเกินแล้ว เมื่อวิ่งช่องทางซ้ายจนถนนเสียหายเละเทะไปหมด พอถนนช่องทางซ้ายเสีย ทีนี้ก็ขยับมาวิ่งขวา รถอื่นๆ ก็ต้องไปเสี่ยงภัยกับการแซงช่องซ้ายมือ

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังไม่เลวร้ายเท่า การทำหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ลองไปดูครับมีหลายพื้นที่เวลาตั้งด่านตรวจ เหมือนต้องแอบๆ กลัวรถที่วิ่งมาจะเห็น เช่น ไปอยู่ด้านหลังทางโค้ง หรือหลังสะพาน เอาเป็นว่าพอเห็นด่านตั้งตัวกันไม่ทันสักราย แต่ที่แย่กว่านั้นคือมันทำให้เกิดอุบัติเหตุ รถที่วิ่งมาเมื่อคุณเจ้าหน้าที่เค้าตั้งด่านแบบไม่อยากให้รู้ คันที่ขับมาก็คงไม่รู้อย่างที่เจ้าหน้าที่เค้าปรารถนา ขึ้นสะพานมาปกติ พอพ้นเนิน มีรถติดหน้าด่าน บางทีใครมันจะไปเบรกทัน พอเกิดอุบัติเหตุก็บอกว่าคนขับรถประมาท รีบเก็บด่านหนี ถึงตอนนี้พอซะทีเถอะครับ กับการโยนความผิด หรือทำอะไรแบบไม่ตระหนักถึงความปลอดภัย ลองคิดว่าเป็นญาติพี่น้องของท่านบ้าง แล้วท่านจะเข้าใจครับ
อีกเคสอย่างรถที่เดินด้วยเครื่องยนต์เวลาเกิดเหตุกับคู่กรณีซึ่งเป็นยานพาหนะที่ไม่มีเครื่องยนต์ ทำไมต้องเสียเปรียบตลอด วันก่อนเติมน้ำมันเสร็จ เลี้ยวออกจากปั้ม โดยสามัญสำนึกคนขับรถต้องหันไปมองรถด้านขวา พอว่างก็เคลื่อนรถออกไป ปรากฎมีรถจักรยานวิ่งชิดขวาสวนทางมาซะงั้น แต่โชคดีคนในรถร้องกันเสียงหลงเลยรอด เฮ้ย…ไม่งั้นคงต้องไปนั่งเถึยงคอเป็นเอ็นกับพนักงานสอบสวน ทั้งที่จริงๆ จักรยานขี่สวนเลนมา แถมเห็นรถจะออกจากปั๊ม ยังไม่ยอมเบรกอีก กลัวเหนื่อยต้องออกตัวใหม่ แต่ไม่กลัวเจ็บ
ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ เชื่อว่ามันเป็นบทความที่เสี่ยงจะมีดราม่ามากๆ แต่เราถือเป็นการติเพื่อก่อ เพื่อช่วยกันทำให้ประเทศนี้มันน่าอยู่มากขึ้นกว่านี้ และก็คงถึงเวลาที่น่าจะ “สังคายนา” การจราจรกันเสียที …