ตั้งแต่โตโยต้า เปิดเกมทำรถสมรรถนะสูงภายใต้รหัส GR ทีมงาน CARZANOVA ก็ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอว่าจะมีรถอะไรออกมาภายใต้รหัส GR บ้าง แม้ทีมงานจะได้ลองขับเพียงไม่กี่รุ่น แต่ก็บอกได้เลยว่ารถ Performance รหัส GR มันมีคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจ และยิ่งเป็นคนมอเตอร์สปอร์ตอย่างเราๆ ด้วยแล้ว บอกเลยว่า มันคือรถในฝันที่อยากเป็นเจ้าของ

ดูอย่าง GR Yaris ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทอร์โบ ที่ดูสเปคดูออปชั่นแล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไร แถมค่าตัวก็ไม่ได้ถูก แต่บอกได้เลยว่า หากได้ลองขับคุณจะอยากเป็นเจ้าของ เพราะเจ้านี่มันคือรถยนต์ขุมพลัง 3 สูบ ที่แรงที่สุดในโลก นี่ยังไม่รวมถึงตัวสปอร์ตในตำนานอย่าง GR Supra ที่พัฒนาร่วมกับ BMW อันนี้ทั้งหล่อทั้งเท่ แถมขับสนุก เรียกได้ว่าครบเครื่อง ครบครัน จริงๆ

แต่นอกจากเรื่องของการทำรถให้เป็น Performance Car ดีๆ ซักคันนึงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทีมงาน CARZANOVA สนใจก็คือกลยุทธ์การวางคาแรกเตอร์ของรถ ซึ่งมันเป็นยังไง สำหรับผมมันเป็นแผนการอันแยบยล ของโตโยต้า ที่จะมาวิเคราะห์ในได้รู้กันในมุมมองของเราครับ

ก่อนอื่นเรามาดูสเปคคร่าวๆ กับค่าตัวของ 4 โมเดล GR ที่ได้รับความนิยมกันก่อนเลย ขอเริ่มจาก GR 86 เลยแล้วกันครับ ตัวเครื่องยนต์ที่เป็น Boxer 4 สูบนอน พร้อมระบบ D-4S หัวฉีดจ่ายน้ำมันตรงเข้าแต่ละสูบ ขยายขนาดความจุจากเจนฯ ที่แล้วมาเป็น 2.4 ลิตร เพื่อให้มีแรงบิดสูงขึ้นในรอบเครื่องยนต์ต่ำ พละกำลังของ GR 86 อยู่ที่ 235 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 3,700 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 6.3 วินาที โหมดการขับมี Normal , Sport และ Track ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Super ECT ขับเคลื่อนล้อหลัง ราคาที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,799,000 – 3,512,000 เยน


ต่อด้วย GR Yaris (Minorchange) รถแฮทช์แบคขนาดกระทัดรัดแต่แรงจัด มากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร 3 สูบ เทอร์โบ 280 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 390 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ปรับกระจายแรงขับเคลื่อนล้อหน้า-หลังได้ มีโหมดการขับให้เลือกทั้ง Normal , Sport และ Track ราคาที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,650,000 – 4,560,000 เยน






คันต่อมาเป็น GR Corolla (Minorchange) แฮทช์แบคตัวแรงที่แรงขึ้นไปอีก กับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ ที่มีพละกำลังถึง 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ปรับกระจายแรงขับเคลื่อนล้อหน้า-หลังได้ มีโหมดการขับให้เลือกทั้ง Normal , Sport และ Track ราคาที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 5,250,000 – 7,150,000 เยน


ค้นสุดท้ายคือ GR Supra ที่ญี่ปุ่นมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ และ 6 สูบ เทอร์โบ แรงม้ามีตั้งแต่ 197 แรงม้าไปจนถึง 387 แรงม้า ส่วนแรงบิดมีตั้งแต่ 320 นิวตันเมตร ไปจนถึง 500 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เป็นรถสปอร์ตเครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวรุ่นพิเศษเป็น Supra A90 Final Edition ออกมา โดยปรับทั้งภายนอก ภายใน พละกำลังถูกเพิ่มขึ้นไปเป็น 435 แรงม้า และมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์อีกหลายรายการเพื่อสมรรถนะที่สูงขึ้น แต่ในรุ่นทั่วไปตอนนี้ที่ญี่ปุ่นค่าตัวอยู่ที่ 4,900,000 – 6,900,000 เยน


เอาล่ะ!! ถึงตรงนี้หากมองดีๆ แน่นอนว่ารถ GR ไม่ใช่สินค้าสำหรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ แต่เจาะเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่เน้นสมรรถนะการขับขี่มาก่อนอย่างอื่น และลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้คำว่า “เงินถึง พร้อมซื้อ ถ้าชอบ” และที่สำคัญเมื่อเป็น FC ของ GR แล้ว เราเชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะไม่หยุดแค่นั้น เพราะกลยุทธ์การวางคาแรกเตอร์ของรถที่ต่างกัน มันทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ แม้จะมี GR คันนึงแล้ว ก็อยากมี GR อีกคันที่มีคาแรกเตอร์อีกแบบ

ซึ่งนอกจากการที่จะได้มีรถสมรรถนะสูงที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างอยู่ด้วยกันแล้ว มันยังได้ในแง่ของ Collection อีกด้วย ลองคิดดูว่าหากมี GR 2 คัน 2 คาแรกเตอร์จอดอยู่ในบ้าน มันจะดูเท่ขนาดไหน ไม่เชื่อก็ลองดูครับ เพราะผมเห็นมาหลายบ้านแล้วที่มีทั้ง GR Yaris และ GR 86 หรือ GR Supra จอดอยู่คู่กัน


นอกจากนี้ยังมีข่าวลืออีกว่า Toyota มีแผนเอาเจ้าแฮทช์แบคคันจิ๋วภายใต้ชื่อ Starlet ที่เคยโด่งดังมากในสมัยก่อนกลับมาทำสร้างชื่อเสียงอีกครั้ง และแน่นอนว่าในแผนจะต้องมีเวอร์ชั่น GR Starlet ด้วย รวมถึงสปอร์ตคาร์ ในตำนานอย่าง Celica ก็แน่นอนแล้วว่า จะผลิตเป็นเวอร์ชั่น GR Celica ออกมาแน่นอน สาวก หรือบรรดา FC เตรียมเงินรอกันกันไว้ได้เลยครับ





