แบรนด์รถยนต์จากประเทศเกาหลี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทย โดยจะเห็นได้รถยนต์สัญชาติเกาหลีเข้ามาเฉิดฉายในตลาดบ้านเราก่อนรถยนต์จากประเทศจีนหลายช่วงตัว แต่วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันถูกรถยนต์จีนเร่งแซงไปแบบไม่เห็นฝุ่น

การเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรงของรถยนต์แบรนด์จีน ทำให้รถยนต์แบรนด์เกาหลี โดยเฉพาะ 2 แบรนด์ใหญ่ทั้ง “เกีย-ฮุนได” ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกันดี จำเป็นต้องปรับตัวแบบพลิกฝ่ามือ ซึ่งเกมการปรับตัวนั้น เรามาลองวิเคราะห์กันดูว่าจะใช้แนวทางอะไร??

โดยในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา “เกีย” หนึ่งในรถยนต์แบรนด์เกาหลี ประกาศบุกตลาดประเทศไทยอย่างเต็มสูบจัดตั้ง บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมดึงพันธมิตร ลีนุตพงษ์โฮลดิ้ง เข้าถือหุ้น 5% ในฐานะเป็นผู้ที่เคยทำตลาดมาก่อนหน้านี้ และเสริมแกร่งแบบครบวงจร โดยมี สยามกลการอะไหล่ ของตระกูลพรประภา เข้ามาถือหุ้นอีก 25% มีทุนจดทะเบียน 700,000,000 บาท แม้ว่าโรงงานผลิตตอนนี้ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่เป็นแผนในอนาคต โดยมั่นใจว่าพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้ง 3 รายจะนำพาความสำเร็จมาได้อย่างรวดเร็ว

แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะค่ายรถยนต์จีนต่างบุกตลาดกันอย่างเมามัน ทั้งเปิดตัวแบรนด์โน้นแบรนด์นี้ ออกโปรดักส์ที่มีความทันสมัย และน่าสนใจกันแบบไม่ได้หายใจหายคอ เริ่มต้นแต่รถยนต์สำหรับกลุ่มแมส ไปจนถึงกลุ่มพรีเมียม ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้รถยนต์แบรนด์ “เกีย” จากฝั่งเกาหลีนั้นต้องเดินเกมอะไรซักอย่าง และล่าสุดเราก็ได้เห็นแผนการประกาศทวงคืนตลาดรถยนต์ MPV ซึ่งตัวเองเคยเป็นผู้นำ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

แผนนี้เริ่มชัดเจนขึ้น ตั้งแต่การพยายามส่งโปรดักต์ใหม่ลงตลาด ทั้งรถยนต์ EV รวมถึงรถยนต์ในกลุ่มไฮบริดและปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดยรถยนต์ไฟฟ้าประเดิมด้วย 2 รุ่น ประกอบด้วย EV9 และ EV5 รวมทั้งเผยแผนว่าเร็วๆ นี้จะมีรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ออกมาอีก ทั้ง EV7 และ EV3 เข้ามาเสริมทัพ

ขณะที่กลุ่มรถสันดาปหรือกลุ่มรถยนต์ HEV ก็ยืนยันว่าครบไลน์ทั้ง Sorento HEV, Sorento PHEV และไม่ลืมกลุ่มรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบอย่าง Carnival


พร้อมกันนี้ยังเสริมความั่นใจให้ดีลเลอร์และลูกค้าด้วยแผนธุรกิจระยะยาว 5 ปี (2567 ถึง 2571) ชู “S-5 Plan” แต่มี 4 ประการหลัก เพื่อให้สามารถรักษาฐานะผู้นำในตลาด MPV มุ่งหวังที่จะบรรลุเป้าหมายสำคัญ
1. ส่วนแบ่งตลาด 5% ของตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในไทย
2. เพิ่มสัดส่วนการทำตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวขึ้นเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมด
3. ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบแบรนด์ที่มีการรับรู้จากผู้บริโภคสูงสุด 5 อันดับแรก
และ 4. ขยายเครือข่ายดีลเลอร์ทั่วประเทศให้เติบโตขึ้น 5 เท่าตัว

โดยแผนงานเหล่านี้ ดูแล้วมันเป็นแผนระยะยาว ซึ่งคงใช้ไม่ได้ในสถานการณ์การทำตลาดรถยนต์ในช่วงนี้ เพราะปัจจุบันตลาดมีการปรับตัวอย่างไวมากๆ ทำให้เกีย ต้องเดินหมากล่าสุด ที่เชื่อว่าเกียก็ไม่อยากจะทำแต่ต้องทำ กับการสั่งดีลเลอร์ทุบราคาขายรถทุกรุ่น โดยมีส่วนลดตั้งแต่ 70,000-300,000 บาท ไล่เรียงตั้งแต่
KIA CARNIVAL
KIA CARNIVAL LX ลดราคาจาก 1,892,000 บาท เหลือ 1,599,000 บาท
KIA CARNIVAL EX ลดราคาจาก 2,234,000 บาท เหลือ 1,999,000 บาท
KIA CARNIVAL SLX ลดราคาจาก 2,594,000 บาท เหลือ 2,349,000 บาท
KIA CARNIVAL SLX LUXURY ลดราคาจาก 2,999,000 บาท เหลือ 2,699,000 บาท


KIA SORENTO
KIA SORENTO PREMIUM HEV ลดราคาจาก 1,959,000 บาท เหลือ 1,699,000 บาท
KIA SORENTO PREMIUM PLUS PHEV ลดราคาจาก 2,099,000 บาท เหลือ 1,899,000 บาท

KIA EV5
KIA EV5 LIGHT FWD ลดราคาจาก 1,299,000 บาท เหลือ 1,099,000 บาท
KIA EV5 AIR FWD ลดราคาจาก 1,399,000 บาท เหลือ 1,299,000 บาท

เห็นการทุบราคาแบบนี้แล้วเชื่อเหลือเกินว่า อีกไม่นานแบรนด์รถยนต์เกาหลีอีกแบรนด์อย่าง “ฮุนได” ที่ยังไม่เริ่มขยับตัวกับสงครามราคา น่าจะอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว ต้องปรับตัวเข้ามาร่วมวงอย่างแน่นอน แต่ก่อนอื่นเรามาดูแผนของแบรนด์ “ฮุนได” กับการทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ถือว่าเคลื่อนไหวรุนแรงอยู่ โดยเฉพาะการปูพรมรถยนต์ใหม่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า EV โดยเฉพาะแบรนด์ IONIQ หลากหลายรุ่น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มรถยนต์ Performance ภายใต้แบรนด์ N อย่าง IONIQ 5 N รวมถึงกลุ่มรถยนต์ใช้น้ำมัน อย่าง สตาร์เรีย, สตาร์เกเซอร์, ซานตาเฟ่ เสริมทัพด้วยรถครอบครัว H1 และล่าสุดอย่าง PALISADE

พร้อมกันนี้เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมาฮุนไดยังประกาศลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท หลังได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ตั้งโรงงานผลิตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนการเติบโตของอีโคซิสเต็มยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยหวังทำราคารถยนต์ EV ให้ต่ำลง

การขยับตัวแบบพลิกฝ่ามือของทั้ง 2 แบรนด์รถยนต์เกาหลีที่ผ่านมา ถ้ามาในภาวะที่ตลาดขาขึ้น เราคงได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างชัดเจน แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์บ้านเราได้รับผลกระทบอย่างรุ่นแรงจากกำลังซื้อที่อ่อนแอส่งผลต่อภาวะการขาย หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงลิ่วรบกวนการปล่อยสินเชื่อจนทำให้ลูกค้าที่มีความต้องการใช้รถจำนวนมากกู้ไฟแนนซ์ไม่ผ่าน และประเด็นที่เลวร้ายสุดๆ คือ สงครามราคาโดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้ารถยนต์จีน

ทำให้วันนี้ ค่ายรถเกาหลีต้องผันตัวเองจากมาดสุขุมนุ่มลึก มาเล่นสงครามราคาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะรู้ว่าอนาคตตลาดจะเสียหาย แต่เพื่อเรียกกำลังซื้อที่หายไปให้กลับมา ถึงตรงนี้ก็คงต้องยอมแหล่ะครับ
