ได้มีโอกาสลองขับ JY AIR หรือ JUNEYAO AIR ซะที เปิดหัวมาอย่างนี้ ถ้าเป็นสายนักเดินทาง นั่งเครื่องบินบ่อยๆ คงคิดว่าผมเป็นนักบินไปแล้วมั้งครับ ก็ชื่อ JUNEYAO AIR มันเป็นชื่อสายการบินสัญชาติจีนนิ แต่ตอนนี้เค้าเติมไลน์ธุรกิจใหม่มาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่าย โดยใช้ชื่อ JY AIR หรือ JUNEYAO AIR เหมือนกับสายการบินซะด้วย

ซึ่งแน่นอนเป็นบริษัทในเครือกันขนาดนี้ หากใครจะพูดแซวกันเล่นๆ ว่า ซื้อรถแถมตั๋วเครื่องบิน เอาไว้หยอกกันขำๆ คงไม่ได้นะครับ เพราะทางรถยนต์ไฟฟ้า JUNEYAO AIR เค้าแถมให้จริงๆ โดยถ้าซื้อรถไป 1 คัน จะได้ตั๋วบินฟรีไป 4 ใบต่อปี นาน 3 ปีเลยทีเดียว ส่วนเที่ยวบิน จะบินไปไหนบ้าง ลองไปสืบค้นต่อกันเอาเองแล้วกันนะครับ

นอกเรื่องไปซะเยอะ มาเข้าเรื่องรีวิวรถกันดีกว่า สำหรับ JY AIR Plus มากับมอเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ที่ล้อหลังให้พละกำลังสูงสุด 214 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 250 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 -100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 170 กม./ชม. ระยะทางวิ่งสูงสุด 520 กิโลเมตร (NEDC)

ด้านกำลังไฟใช้แบตเตอรี่ขนาดความจุ 64 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ซึ่งการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุดได้เพียงแค่ 90 กิโลวัตต์/ชม. เท่านั้นเอง ทำให้เวลาชาร์จแบตเตอรี่จาก 30% – 80% ต้องใช้เวลาถึงประมาณ 21 นาที

ส่วนการออกแบบตัวรถ ถือว่าทำได้ดี แม้จะดูเป็นยานอวกาศหน่อย แต่ก็ตามสไตล์สายการบินที่คงชอบการดีไซน์ออกมาแนวนี้ หากแต่สิ่งสำคัญคือเรื่องแอโรไดนามิกส์ ถูกจัดมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นช่องดักอากาศบริเวณกันชนหน้า และมุมกันชนหน้า ตัวสปอยเลอร์หลังที่ฝากระโปรง รวมไปถึงบริเวณใต้กันชนหลัง รวมไปถึงงานออกแบบล้ออัลลอยด้วยลวดลาย Turbo Fan ซึ่งทั้งหมดช่วยให้ JY AIR มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.23 cd เท่านั้นเอง

โดย JY AIR Plus จะมาพร้อมหลังพาโนรามิค ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว กับยางไซส์ 235/45 R19 พร้อมกล้องตรวจจับความปลอดภัยบนหลังคาส่วนหลัง ส่วนภายในรุ่น Plus จะมีระบบแท่นชาร์จไร้สาย จอหมุนเอียงตามคนขับ ระบบกล้องตรวจจับตรวจใบหน้าผู้ขับขี่ช่วยตรวจสอบ และเบาะปรับไฟฟ้าในคู่หน้า นี่คือฟีเจอร์ที่รุ่นท็อปให้มามากกว่ารุ่นเริ่มต้น

ภายในห้องโดยสารของ JY AIR Plus ถือว่าออกแบบมาได้ล้ำดี เบาะก็นั่งสบายทุกตำแหน่ง การควบคุมสั่งการในรถรุ่นนี้ จะถูกสั่งผ่านหน้าจอกลางขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ทั้ง Apple Carplay, Android Auto และ Bluetooth รวมถึงบริการแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งการจะใช้งานที่สั่งการบนหน้าจออย่างเดียว หลายคนอาจจะบ่นว่าลำบาก กว่าจะเข้าไปปรับค่าต่างๆ ได้ ต้องใช้เวลา แต่สำหรับ JY AIR Plus เค้ารวมเอาระบบต่างๆ ที่ใช้งานประจำๆ อย่างการปรับกระจกมองข้าง, Auto hold หรือแม้การเปิด-ปิดไฟหน้า เปิดกระโปรงท้าย มาให้ใช้งานง่ายๆ เพียงแค่ปัดหน้าจอลงด้านล่างทุกอย่างก็รวมอยู่ตรงนี้


ด้านมาตรวัดหลังพวงมาลัย ที่มีไว้สำหรับคนขับนั้น มันดูคอนทราสกับหน้าจอกลางไปหน่อย เพราะมีขนาดเล็ก ถ้าปรับให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้ก็คงจะดี ส่วนอีกเรื่องที่รู้สึกได้ และควรปรับปรุงด่วน คือเรื่องกลิ่นของไอเสียภายนอกที่เข้ามาในห้องโดยสาร แม้จะกดปุ่มให้อากาศหมุนวนในรถแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกลิ่นเข้ามาอยู่ดี อันนี้ถือเป็นอีกจุดที่หากได้รับการปรับปรุง ภายในรถคันนี้จะเพอร์เฟกต์เลยทีเดียว ขณะที่เรื่องระบบความปลอดภัยในรุ่น Plus ให้ ADAS มาถึง Level 2 เรียกได้ว่าบครบ จนแทบจะเกินตัวเกินราคาไปเลยทีเดียว

มาที่เรื่องสมรรถนะการขับขี่ของรุ่น Plus อย่างที่บอกสเปคไปแล้วว่าตัวท็อป ให้มอเตอร์ไฟฟ้าที่แรงกว่าตัวเริ่มต้นอยู่ที่ 214 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 250 นิวตันเมตร ได้ลองขับขี่แล้วถือว่าเรี่ยวแรงโอเคเลย ขับแล้วไม่รู้สึกว่าตัวถังที่ใหญ่โต มันดูเทอะทะ แต่พอเจอแรงม้า แรงบิดที่โอเค มันเลยทำให้รถคันนี้ดูทะมัดทะแมง แถมช่วงล่างที่เป็นแบบเป็นอิสระ 4 ล้อ โดยด้านหน้าเป็น Macpherson ด้านหลังเป็น Five-links ผมเห็นนักรีวิวหลายคนบอกว่ามันนุ่มไป ย้วยไป แต่สำหรับผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังดี ไม่นิ่ม ไม่แข็งจนเกินไป วิ่งทางตรงตัวรถนิ่งดี เข้าโค้ง ไม่โยกไม่โยนจนเกินไป บวกกับการเซ็ตพวงมาลัยที่แม่นยำดี มีระยะฟรีน้อย ยิ่งทำให้รถคันนี้ขับสนุก ควบคุมได้อย่างใจ

แต่ถ้าจะให้ติก็คงเป็นเรื่องของบูทยางของช่วงล่างที่อาจจะเก็บแรงสั่นสะเทือน และเสียงได้น้อยไปหน่อย เวลาขับถนนในกรุงเทพฯ ที่มันแสนจะห่วยแตก มันเลยเกินความสามารถของการเก็บเสียงและสั่นสะเทือน แต่ถ้าถามเรื่องของเสียงลมที่เข้ามาในห้องโดยสาร ถือว่าเงียบดี ตรงนี้อาจเป็นเพราะการออกแบบแอโร่ไดนามิคที่ดีด้วย เลยช่วยให้เสียงลมที่ปะทะกับตัวรถเลยน้อยตามลงไปด้วย

ขณะที่เรื่องเบรกเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่ผมว่าคนที่มาขับเจ้า JY AIR หากไม่เคยขับรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อน ต้องปรับตัวนิดนึง เพราะฟิลลิ่งมันรู้สึกถึงความเป็นเบรกไฟฟ้าอย่างชัดเจน หากขึ้นมาขับแล้วไม่ลองน้ำหนักการเบรกก่อนมีหวังหัวทิ่มแน่นอน


มาถึงช่วงล่างกันบ้าง……แม้จะเป็นอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้า Macpherson ด้านหลัง Five-links แต่เซ็ทมาให้แบบนุ่มนวลมาก ยิ่งความเร็วต่ำ ๆ ยิ่งนั่งสบาย และแม้จะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ๆ หากเป็นถนนเรียบ ๆ ทั่วไปยิ่งสบายนุ่มนวลผ่อนคลายและเงียบดี แต่ถ้าจะต้องเปลี่ยนเลนหรือเข้าทางโค้ง อาจจะมีอาการโยนตัวหรือยวบ ๆ มากหน่อย ทำให้การขับขี่ในสไตล์ดุดันอาจจะทำได้ไม่เนียบพอ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เพิ่มขึ้น ซึ่งระบบช่วงล่างสำหรับคันนี้เหมาะกับการขับขี่เดินทางเป็นเรื่อย ๆ เพลิน ๆ ไม่ซิ่งมากกว่า เน้นใช้งานเป็นครอบครัวหรือการขับขี่ที่ไม่ใช้ลีลาโหด ๆ มากนักครับ





ส่วนอัตราการกินไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 156 kWh ซึ่งโดยส่วนตัวถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติที่รับได้ ไม่ใช่เป็นรถไฟฟ้าประเภทที่หิวกระแสไฟอะไรมากนัก


ปิดท้ายที่เรื่องราคา JY AIR Plus ตั้งราคาไว้ที่ 869,000 บาท นับว่าเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าในเรื่องของพละกำลัง ระยะทางที่วิ่งได้ ฟังก์ชั่นต่างๆ ที่มีให้ใช้งาน รวมไปถึงรูปร่างและขนาดรถ ก็เรียกได้ว่าให้มาเกินค่าตัว แม้จะขาดจกบกพร่องอะไรไปบางอย่าง แต่ก็อยู่ในเกณที่รับได้กับค่าตัวไม่ข้าม 9 แสนบาท นอกจากนี้ในเรื่องความปลอดภัยโครงสร้างตัวถังยังผ่านมาตรฐานการรับรองจาก CNCAP และ Euro NCAP ระดับ 5 ดาว




