บอกตามตรงเลยว่าได้ยืมเจ้า Volvo C40 Recharge คูเป้ครอสโอเวอร์พลังไฟฟ้า ตัวมอเตอร์คู่ 408 แรงม้า มาทดสอบเมื่อก่อนที่เค้าจะเปิดจองรุ่นมอเตอร์เดี่ยวเพียงไม่นาน เล่นเอาแทบเขียนรีวิวไม่ถูกเลย เพราะด้วยราคาที่ตั้งมาต่ำกว่าระดับ 7 แสนบาท ใครมันจะไปซื้อตัว 2 มอเตอร์วะ!! แต่เมื่อได้ลองขับอยู่หลายวัน ตอบโจทย์ตัวเองได้เลยว่า ถ้าใครยังชอบความแรงแบบกดคันเร่งทีหลังโคตรจะติดเบาะ ก็คงต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายแบบแพงกว่าอยู่ดี เพราะตัวมอเตอร์คู่มันแรงสะใจจริงๆ
Volvo C40 Recharge บอกอีกนัยนึงมันคือแฝดคนละฝากับตัว XC40 Recharge ที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้ แถมทำยอดขายถล่มถลาย แต่ตัว C40 เค้าจะดูมีความเป็นศิลปินมากกว่า มองดูจากภายนอกมันสะท้อนอารมณ์ความเป็นเอสยูวีสไตล์สปอร์ตคูเป้ เส้นหลังคาออกแบบมารับกับด้านท้ายที่ลาดต่ำลง ไฟท้ายที่เป็น LED มีเส้นประที่เดินไปสู่แผงไฟหลักด้านหลังตัวรถ ดูโมเดิร์นคลาสสิก แถมมี Aero Optimised Spoiler ด้านท้ายที่นอกจากจะเสริมควาทเท่ความสปอร์ตแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว ส่วนด้านหน้า ที่บ่งบอกความเป็นรถอีวี ด้วยกระจังหน้าทรงตัน ไม่ต้องมีรูตะแกรงเพื่อรับอากาศเข้าไปเป่าเครื่อง แถมมีสัญลักษณ์วอลโว่ ที่เรียบหรู ดูมินิมอล วางให้เห็นได้เด่นชัดบนกระจังหน้าพื้นเรียบ ไฟหน้ามีเดย์ไทม์รันนิ่งไลต์ ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ด้วยรูปทรง “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์”
มองโดยรวมๆ แล้ว สำหรับดีไซน์นั้น บอกได้เลยว่าเต็มสิบแบบไม่หัก เพราะไม่ว่าผมจะขับไปไหน จอดตรงไหน วัดได้จากสายตาคนที่หันมาเหลียวมอง ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะคนขับหล่อ ก็ต้องเป็นรถที่หล่อ ซึ่งประเด็นหลังน่าจะเป็นประเด็นที่น่าจะเป็นมากกว่า
ขยับเข้าไปข้างในบ้าง แค่นั่งลง ปิดประตู เหยียบเบรก ระบบทุกอย่างก็พร้อมทำงาน เตรียมพุ่งทะยานออกไป เพียงแค่จะขยับคันเกียร์ซึ่งเป็นแบบไฟฟ้า ไปทางไหน เดินหน้าหรือถอยหลัง หากแต่จะเข้าเกียร์ P จะเป็นเพียงปุ่มให้กด มาสำรวจภายในห้องโดยสารกันซักนิดนึง เริ่มตั้งแต่แผงหน้าปัด และจอควบคุมตรงกลาง จะเป็นจุดศูนย์รวมแทบทุกอย่างของรถคันนี้ ทั้งระบบปรับอากาศ ระบบควบคุมเครื่องเสียง รวมไปถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่มีอยู่ในรถ
แต่จุดที่เป็นไฮไลท์ต้องยกให้กับตัวหลังคาที่ถูกออกแบบให้ต่ำลง ซึ่งแน่นอน หากคนตัวสูงมีหวังหัวชนหลังคา แต่เรื่องนี้วอลโว่แก้ไขด้วยการไม่มีผ้าบุหลังคา มองขึ้นไปจะเห็น Panoramic Glass Roof แบบเลื่อนเปิดปิดไม่ได้ ซึ่งหลายคนสงสัยว่าหลังคาแบบนี้มาใช้กับเมืองร้อนอย่างประเทศไทยมันร้อนไหม ต้องบอกก่อนครับว่า เจ้า Glass Roof ตัวนี้มันสามารถป้องกันความร้อนภายนอกได้สูงถึง 80% แถมปกป้องรังสี UV แต่เอาจริงๆ ผมเอามาใช้ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงปลายหน้าร้อนเข้าหน้าหนาว ขับช่วงกลางวันก็ยังร้อนหนังศีรษะอยู่ดี แนะนำให้ติดฟิล์มแบบดำๆ กันความร้อนแบบมากสุดไปเลย … ฟิน
มาที่ตัวเบาะนั่งกันบ้าง สำหรับ C40 จะไม่ใช้เบาะหนัง แต่จุดที่น่าปรับปรุงคือเรื่องความโอบกระชับกับผู้ขับขี่ ซึ่งรถที่มีความแรงขนาดนี้ เบาะนั่งมันออกแบบให้ Flat ไปหน่อย เวลาเลี้ยวโค้งแรงๆ ทีก้นขยับแทบจะไปติดแผงประตู รวมไปถึงอีกจุดที่เมื่อพูดถึงแผงประตูจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้กับการดีไซน์แผงประตูที่ใช้วัสดุเหมือนกำมะหยี่มันดูลุคชิฟไปซักนิดนึง (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ คนอื่นอาจจะชอบก็ได้ ส่วนชุดเครื่องเสียงนั้นมาชุดใหญ่ กับลำโพงเบรนด์ดัง Harman Kardon ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกถือว่าครบครัน
มาถึงเรื่องสมรรถนะกันบ้าง ก็อย่างที่บอก ถ้าใครยังชอบความแรงผมแนะนำตัวนี้เลย เพราะเจ้า C40 ตัวนี้เค้ามาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Dual Motor AWD ให้กำลังสูงสุด 408 แรงม้าที่ 4,350-13,900 รอบ/นาที ขณะที่แรงบิด 660 นิวตันเมตร เห็นตัวเลขแล้วบอกได้คำเดียวว่า…แรงสะใจแน่นอน!!
ใครที่เคยขับรถไฟฟ้า คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ยิ่งเป็นเจ้า C40 Dual Motor นั้น เรียกได้ว่าทันทีที่กดคันเร่งปุ๊บ อัตราเร่งเค้ามาให้ปั๊บ ยิ่งโดยเฉพาะตีนต้น สั่งการได้แบบทันใจ มาดูอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. กันซะหน่อยว่าเค้าทำได้ภายในระยะเวลาเพียง 4.7 วินาที ส่วนความเร็วปลายก็อั้นไว้ที่ประมาณ 180 กม./ชม. โดยสรุปเรื่องพละกำลังบอกเลยเป็นรถที่ขับสนุก ปรู๊ดปร๊าดทันใจ ในขณะที่แบตเตอรี่วิ่งได้ระยะทาง 507 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แบตเตอรี่มีระบบรองรับการชาร์จเร็วไม่ต้องกลัวพัง ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% เพียงครึ่งชั่วโมง
ส่วนเรื่องการควบคุม เจาะไปที่พวงมาลัยกันก่อน สำหรับ C40 เป็นระบบไฟฟ้า ซึ่งเซ็ตอัพน้ำหนักมาได้กำลังดี ผู้ชายขับชิล ผู้หญิงขับสบาย แถมยังแม่นยำมากอีกต่างหาก ขณะที่ระบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Spring Strut ส่วนด้านหลังเป็นอิสระ Multilink มาพร้อมกับแชสซีส์ช่วงล่างแบบ Sport ซึ่งให้ฟิลลิ่งเฟิร์มดี หากแต่ลมยางที่เค้ากำหนดมาจากโรงงานดูจากสูงไปนิดในระดับ 40 ปอนด์ แต่เป็นธรรมดาครับ ที่รถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะใช้สเปคลมยางที่สูง เพราะต้องการให้ได้ระยะทางไกล แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ห่วงเรื่องระยะทางมากนัก ผมแนะนำให้ลดลมยางมาซัก 3 ปอนด์ ฟิลลิ่งจะขับนุ่มสบายขึ้นเยอะ แถมยังได้สมรรถนะการเกาะถนนที่ดีขึ้นไปอีก
ในขณะที่ฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยต่างๆ ไม่ต้องห่วงสำหรับแบรนด์นี้ เค้าจัดให้ครบๆ อยู่แล้ว อาทิ ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วแปรผันเพื่อรักษาระยะห่างกับรถคันหน้า ระบบเลี่ยงการชนและหยุดรถอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนด้วยแรงสั่นที่พวงมาลัยเมื่อรถวิ่งออกนอกช่องทางเดินรถ
สุดท้ายอย่างที่บอก สำหรับใครที่ชอบความแรงผมแนะนำว่าไม่ต้องไม่รอตัว Single Motor ให้เสียเวลา เพราะกว่าจะเริ่มส่งมอบก็เดือนตุลาคมเข้าให้แล้ว แม้ราคาจะยั่วๆ จ้า อยู่ที่ 2.09 ล้านบาท แต่ขับแล้วคงไม่แรงเร้าใจเท่าตัว Dual Motor อย่างแน่นอน ส่วนราคาก็ต้องยอมควักจ่ายแพงกว่าที่ 2.79 ล้านบาท แต่เชื่อว่าเดินเข้าโชว์รูมไปตอนนี้ มีแคมเปญส่วนลดดีๆ ให้เพียบแน่นอน คิดบวกลบคูณหารแล้ว คงจ่ายแพงกว่าตัว Single Motor ไม่เท่าไหร่ ก็ลองตัวสินใจกันดูครับ ว่าจะเอายังไง??
