ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมแฟลกชิปซีดานกลุ่ม D Segment ที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 11 แล้ว โดยเจนฯ นี้มาพร้อมขุมพลังระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ในระบบเกียร์ E-CVT ที่ให้แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร กับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย พร้อมด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายและหลากหลายเทคโนโลยีเชื่อมต่ออันล้ำสมัยที่รองรับสมาร์ตไลฟ์สไตล์ และที่สำคัญถือเป็นครั้งแรกของอนุกรมแอคคอร์ด ที่มากับเวอร์ชั่น RS ในรุ่นท็อป

ดีไซน์ภายนอก Accord e:HEV RS มาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์สปอร์ตใหม่ ไฟหน้า ไฟท้าย และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันเป็นแบบ LED ที่ได้รับการออกแบบให้เข้ากันอย่างลงตัว โดยในรุ่น e:HEV RS มากับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ตสีดำแบบแมตต์ ยิ่งรูปทรงของแอคคอร์ดใหม่นี้ ดูจะเน้นไปในทางสปอร์ตคูเป้ กับด้านท้ายที่มีการลาดลง ซึ่งพอเข้ากับชุดแต่งของรุ่น RS เข้าไปแล้ว ฟิลรถดูสปอร์ตมากกว่าความหรูหราอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่ภายในห้องโดยสารดูยกระดับความสปอร์ตหรูหราขึ้นไปจากรุ่นเดิมเยอะเลย โดยเฉพาะกับครั้งแรกที่ได้ติดตั้งปุ่ม Experience Selection Dial อย่างกับรถแบรนด์ยุโรป ซึ่งปุ่มนี้เลือกปรับได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมี Google built-in ที่มาพร้อมแอปและบริการของ Google ส่วนเรื่องความสวยงามมี Ambient Light สร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ด้านความสุนทรีมากับระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto พร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ส่วนเรื่องการแสดงข้อมูล มีให้ทั้งระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว


ส่วนเรื่องความสะดวกสบายในห้องโดยสาร สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า เพียบพร้อมดีทุกอย่างสมฐานะ แต่ในส่วนผู้โดยสารตอนหลังนั้น ดูจะยังขาดๆ อยู่พอสมควร เริ่มตั้งแต่ การออกแบบด้านท้ายแบบลาดลงสไตล์สปอร์ตคูเป้ ที่เวลาเข้าออก สำหรับคนตัวใหญ่อาจต้องระวังหัวซักนิดนึง เพราะมีโอกาสกระแทกกลับขอบหลังคาด้านได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยอมรับกับการออกแบบพื้นที่ด้านใน ที่พอเข้าไปนั่งในตัวรถแล้ว กลับไม่รู้สึกอึกอัด ยังคงดูมีความโอ่โถง แถมยังไม่ลืมใส่ในรายละเอียดของเบาะนั่งหน้าด้านข้างคนขับที่มีปุ่มปรับเลื่อนเบาะให้สำหรับคนนั่งหลังสามารถปรับเบาะได้เองโดยไม่ต้องเอื้อมมือไปปรับปุ่มบริเวณด้านล่างข้างประตู

แต่ก็มีอีกนิดที่อยากให้ปรับปรุงกับรุ่น RS ที่ตรงพักแขนสำหรับที่นั่งตอนหลัง มันน่าจะมีปุ่มปรับอะไรซักหน่อยให้ดูเป็นสไตล์รถผู้บริหารที่คนนั่งหลังพอจะควบคุมอะไรได้บ้าง นอกจากจะสั่งให้คนข้างหน้าช่วยทำ ซึ่งถ้าเติมตรงนี้เข้าไปอีกนิด แอคคอร์ด ใหม่ ดูจะสมบูรณ์เลยทีเดียว

เอาเรื่องเรื่องดีไซน์เราคงไม่ลงรายละเอียดอะไรเยอะมาก เพราะเคยเขียนพรีวิวไปก่อนหน้านี้แล้ว (New Honda Accord e:HEV เจนฯ 11 เปิดราคา 1.529 – 1.799 ล้านบาท พร้อมระบบฟูลไฮบริด อี:เอชอีวี และ Honda SENSING ทุกรุ่นย่อย – Carzanova: เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์) เรามาเน้นกันที่เรื่องสมรรถนะกันดีกว่า


เรื่องสมรรถนะต้องถือว่า แอคคอร์ด e:HEV เค้าทำการบ้านมาได้ดีกับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดที่ให้การขับที่ตอบสนองได้ดีขึ้น มีพละกำลังที่มากขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ในระบบเกียร์ E-CVT ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) ส่วนแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูง ผสานการทำงานกับเครื่องยนต์ใหม่รหัส LFC2 ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว โดยในส่วนของเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันสูงสุด E20 ซึ่งเมื่อรวมพละกำลังทั้งมอเตอร์และเครื่องยนต์แล้วจะมีพละกำลังสูงถึง 207 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร เลยทีเดียว

ส่วนโหมดการขับ ปรับทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาด ระหว่างโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่แบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) นอกจากนี้ในขณะลดความเร็ว ระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ (Regeneration) รวมถึงสามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้าอีกขั้นด้วยการกดสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ที่ได้รับการพัฒนาโดยเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรกในแอคคอร์ด ซึ่งเป็นโหมดที่จะชาร์จแบตเตอรี่ ในขณะที่รถวิ่งด้วยน้ำมัน นอกจากนี้ยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ ผ่านการกดสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่แบบ Individual (Individual Mode) ใหม่ สามารถเลือกปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย ระบบ Adaptive Cruise Control และสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ

ซึ่งฟิลลิ่งการขับขี่ต้องบอกว่าเรื่องความแรงนั้นแรงกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงเรื่องความสมูทของโหมดการขับที่ตัดต่อกำลังเครื่องยนต์กับมอเตอร์ได้อย่างนุ่มนวล แทบไม่รู้สึกว่าตอนนี้กำลังขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังอะไร หากไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ติดขึ้นมา ในขณะที่อัตราการประหยัดน้ำมันตามสเปคบอกว่าทำได้สูงถึง 25 กม./ลิตร แต่จากทดลองขับจริงผมทำได้อยู่ที่ประมาณ 18 กม./ลิตร เท่านั้นเอง

ขณะที่เรื่องของระบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut และด้านหลังแบบอิสระ Multi-link มีการปรับจูนเซ็ตติ้งช่วงล่างใหม่ พร้อมทั้งขยายความกว้างช่วงล้อหลังให้เพิ่มขึ้นประมาณ 10 มิลลิเมตร ฟิลลิ่งการขับจัดว่าดีเอาเรื่องเลยทีเดียว ฟิลลิ่งจะเป็นสไตล์นุ่มนวลแต่แน่นหนึบเกาะถนนดี ส่วนพวงมาลัยที่เป็นแบบแร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) ก็เซ็ตอัพมาได้น้ำหนักกำลังดี แถมแม่นยำอีกต่างหาก โดยรวมเรื่องการควบคุมจัดอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดีอย่างผิดหูผิดตา

และอีกหนึ่งไฮไลต์กับการทดลองการใช้งานระบบความปลอดภัย Honda SENSING บนเส้นทางจริง ระบบจะผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ได้แก่ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ซึ่งเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) ซึ่งมีแต่ในเฉพาะรุ่น RS เท่านั้น ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน และรวมถึงยังเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ช่วยให้เวลาจอดรถแล้วหยิบโทรศัพท์ เมื่อรถคันหน้าออกตัว จะได้ไม่ต้องโดนคันหลังบีบแตรด่า

พร้อมกันนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่นๆ มาช่วยอีก อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors)

และที่ถือเป็นของใหม่สำหรับแอคคอร์ด เจนฯ นี้ ก็จะมีระบบเพิ่มความเสถียรและความคล่องตัวในการขับขี่ (Motion Management System: MMS) ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหลัง และระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC) และเซนเซอร์ตรวจจับเสียงรบกวนจากพื้นถนน (Road noise ANC)

สรุป Honda Accord e:HEV RS รถในกลุ่ม D Segment ที่แม้จับกลุ่มคนอายุ 35-45 ปี แต่ด้วยดีไซน์ที่มาในสไตล์สปอร์ตคูเป้ รวมถึงการใส่ใจรายละเอียดสำหรับที่นั่งตอนหน้ามากกว่าที่นั่งตอนหลัง ซึ่งอาจจะเน้นเป็นรถไว้ขับเอง ไม่ได้เน้นนั่งเป็นบอสอยู่ด้านหลัง เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้านหลังดูจะไม่มีอะไร อีกทั้งในรุ่นท็อป ยังเป็นครั้งแรกที่จับเอารุ่น RS ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นตัวสปอร์ตมาใส่ไว้กับแอคคอร์ด ซึ่งดูรวมๆ แล้ว เจ้าแอคคอร์ด ใหม่ ที่หลายคนดูว่าดีไซน์รถจะออกไปทางคลาสสิกย้อนยุค แต่สำหรับผมกลับมองว่ามันรถสไตล์สปอร์ต เหมาะกับหนุ่มใหญ่ที่มีใจวัยรุ่นซะมากกว่า … ว่างั้นมั้ย??