Wednesday 29, November, 2023
Home » LAMBORGHINI LANZADOR คอนเซ็ปต์คาร์ GT พลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต

LAMBORGHINI LANZADOR คอนเซ็ปต์คาร์ GT พลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต

by admin
0 comment

ลัมโบร์กินี เผยโฉมคอนเซ็ปต์คาร์รุ่น Lanzador ในงาน Monterey Car Week เพื่อแสดงวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นของแบรนด์ในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% แห่งอนาคตเป็นรุ่นที่ 4 โดยคอนเซ็ปต์คาร์ Lanzador นำเสนอรถยนต์กลุ่ม GT ยกสูงพร้อมที่นั่งแบบ 2+2 ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวย มีเอกลักษณ์โดดเด่น และชูความเป็นเลิศทางเทคนิคพร้อมแนวคิดใหม่ล่าสุดในแง่สมรรถนะและประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ตามแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างเด่นชัด

LAMBORGHINI LANZADOR

การนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สอดคล้องตามกลยุทธ์ “Direzione Cor Tauri” และแผนงานการลดคาร์บอนและเปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าซึ่งได้ประกาศไว้เมื่อปี 2021 ของบริษัทซูเปอร์สปอร์ตคาร์สัญชาติอิตาลีแห่งนี้ โดยหลังจากนำเสนอ Revuelto รถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดเครื่องยนต์ V12 เมื่อไม่นานมานี้ การเปิดพรีวิวรุ่น Lanzador ถือเป็นการเผยข้อมูลของรถยนต์ซีรีส์นี้ซึ่งจะเริ่มต้นผลิตในปี 2028 เป็นต้นไป “แนวทางการผลิตรถรุ่นที่ 4 นี้ เสมือนการได้เปิดตัวรถยนต์เซกเมนต์ใหม่นั่นคือ Ultra GT

คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ผสานสุดยอดสมรรถนะอันเป็นแบบฉบับของรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินี เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่สนุกสนานขั้นสุด บวกกับคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์เพื่อให้เป็นรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้ทุกวัน โดย Lanzador จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แปลกใหม่แก่กลุ่มลูกค้าที่ “ชื่นชอบความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี” ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

นับเป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ได้ประกาศแผนการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสมรรถนะสูงในช่วงทศวรรษนี้ โดยจะยังรักษาหัวใจสำคัญและจิตวิญญาณของแบรนด์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งคอนเซ็ปต์คาร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นนี้จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Gran Turismo ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ตัวถังสวยงามอย่างน่าทึ่ง การออกแบบสัดส่วนรถใหม่ทั้งหมด และประสบการณ์การเดินทางแบบเหนือชั้นที่เพียบพร้อมด้วยระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่ล่าสุด ตลอดจนการออกแบบที่สวยงามซึ่งผสานสมรรถนะขั้นสูงระดับอัลตร้าของรถสปอร์ต Revuelto และความสามารถแบบอเนกประสงค์ของรุ่น Urus

การนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นที่ 4 เดินหน้าสู่อนาคตโดยที่ยังไม่หลงลืม DNA โดยรถคูเป้คันแรกจากลัมโบร์กินีที่มีเครื่องยนต์วางหน้าแบบ Gran Turismos แนวสปอร์ตที่หรูหราสง่างาม และเหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันจะเป็นรถยนต์แบบ 2+2 ที่นั่ง ซึ่งแนวคิดการผลิตรถรุ่นที่ 4 นี้ได้นำปรัชญารถซูเปอร์สปอร์ตของเรามาผสานกับเทคโนโลยีที่กล้าแกร่งรูปแบบใหม่

เทคโนโลยีสุดล้ำ – การขับขี่ระบบไฟฟ้า 100% ด้วยการกระจายแรงแบบแปรผัน

ลัมโบร์กินีนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์ที่ไม่ใช่แค่รถ Gran Turismo แบบดั้งเดิม แต่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เหนือล้ำกว่ายนตรกรรมทั้งมวล

มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ติดตั้งกับเพลาแต่ละตัว จะสร้างความมั่นใจถึงการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ได้ตลอดเวลาในทุกสภาวะ พื้นผิว และสไตล์การขับขี่ พร้อมให้กำลังไฟสูงสุดมากกว่าหนึ่งเมกะวัตต์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อยังมี active e-torque บนเพลาหลังเพื่อการเข้าโค้งที่เร้าใจแบบไดนามิก ซึ่งได้รับการปรับแต่งมาอย่างประณีตให้เหมาะสำหรับทุกสถานการณ์ พลังงานของตัวรถมาจากแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่เพื่อการันตีว่าจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกล

พุ่งทะยานเต็มประสาทสัมผัส

นักขับสามารถปรับแต่งระบบทั้งหมดได้ในขณะขับขี่ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัยแบบสปอร์ต จึงควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวของรถได้อย่างฉับไวและสร้างสรรค์คาแรกเตอร์การขับขี่ได้ในแบบเฉพาะตัว

แฟกเตอร์การควบคุมทั้ง 3 ด้านที่มีความสำคัญมากสำหรับคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ รวมถึงรถยนต์ลัมโบร์กินีสมรรถนะสูงในอนาคต ได้แก่

  1. ระบบควบคุมไดนามิกส์การขับขี่

ระบบควบคุมไดนามิกส์การขับขี่ Lamborghini Dinamica Veicolo Integrata (LDVI) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับลัมโบร์กินีทั้งในคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้และรถยนต์สมรรถนะสูงในอนาคต โดยเซ็นเซอร์และหัวฉีดจำนวนมากจะถูกนำมาผสานเข้ากับ LDVI ในอนาคต เพื่อสร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่ละเอียดและแม่นยำ รวมถึงนวัตกรรมขั้นสูงที่ไม่ใช่เฉพาะในส่วนฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอัลกอริทึมการควบคุมซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการองค์ประกอบต่าง ๆ ด้วย ซึ่งเมื่อมีเซ็นเซอร์ป้อนข้อมูลไปยังระบบควบคุมมากขึ้น อัลกอริทึมก็จะสร้างความแตกต่างของสัมผัสในการขับขี่และการตอบสนองได้ละเอียดมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยจำแนกลักษณะการขับขี่ของผู้ขับแต่ละรายได้แม่นยำมากกว่าที่เคย โดยจะแสดงผลข้อมูลแก่นักขับผ่านเซ็นเซอร์อัจฉริยะซึ่งอยู่หลังแผงกระจก “นักบิน” รูปแบบใหม่ที่ติดตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของรถ มอบความรู้สึกเสมือนเทคโนโลยีเรดาร์นำทางแห่งอนาคตเลยทีเดียว

  • ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟ

ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในรถยนต์ไฟฟ้าพลังแบตเตอรี่มากกว่าในรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต เพราะจะช่วยเพิ่มระยะทางที่รถวิ่งได้ในการชาร์จไฟแบตเตอรี่แต่ละครั้ง และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการขับขี่ โดย Lanzador สามารถปรับค่าแรงกดที่แม่นยำเมื่อรถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงและสร้างแรงต้านอากาศต่ำสุดเมื่อรถทำความเร็วสูงสุดได้อย่างฉับไว เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์

ระบบอากาศพลศาสตร์อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินีรุ่นต่าง ๆ โดยได้รวมเอาระบบ ALA (Aerodinamica Lamborghini Attiva) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันดีในรุ่น Huracán Performante และ Aventador SVJ ร่วมกับการติดตั้งอุปกรณ์พลศาสตร์แบบใหม่ทั้งด้านหน้าและหลังเพื่อสร้างความมั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดของคอนเซ็ปต์คาร์เมื่อวิ่งในโหมด Urban และมอบแรงกดที่ดีที่สุดในโหมด Performance โดยวิสัยทัศน์แห่งอนาคตในระบบ ALA ของลัมโบร์กินีซึ่งถูกใช้ในการพัฒนาดิฟฟิวเซอร์ ถือเป็นบทพิสูจน์แห่งการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท เพื่อมอบสุดยอดประสิทธิภาพแห่งการพุ่งทะยานและการเพิ่มระยะทางการขับขี่ให้ไกลที่สุด

ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟใช้ม่านอากาศด้านหน้าและสปลิตเตอร์แบบปรับได้ ซึ่งเมื่อเปิดทำงานจะช่วยเปิดท่อระบายความร้อนของเบรกและใบพัดระบายความร้อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเมื่อท่อ S-Duct ทำงานร่วมกับบานเกล็ดด้านในเพื่อการระบายอากาศในซุ้มล้อพร้อมกับม่านอากาศ ก็จะช่วยเพิ่มแรงกดได้มากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับโหมดที่ตั้งค่าไว้ว่าเป็นแบบ Efficient หรือ Downforce และด้วยการใช้ช่องระบายอากาศทำให้สามารถป้องกันแรงดันในซุ้มล้อจากการที่ส่วนหน้าของรถอาจยกตัวขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนบานเกล็ดด้านในยังช่วยสร้างแรงกดโดยไม่เพิ่มแรงฉุด สำหรับการใช้ล้อขนาด 23 นิ้ว นักออกแบบได้ผสานองค์ประกอบหกเหลี่ยมในใบพัดระบายอากาศเพื่อลดการผันผวนของกระแสลมบริเวณล้อ

สำหรับส่วนท้ายของรถ ใบพัดระบายอากาศจะสามารถขยายออกด้านข้างและออกจากส่วนดิฟฟิวเซอร์เพื่อเพิ่มแรงกดอากาศร่วมกับสปอยเลอร์หลัง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่ตั้งไว้ โดยในโหมด Efficient การไหลของอากาศจะปะทะกับตัวรถตลอดความยาวของตัวถังด้านนอก จนกระทั่งกระจายออกด้านหลังตามแนวลมที่กำหนดไว้ และระบบ ALA จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มแรงดันกลับคืนสู่ด้านหลัง ซึ่งจะช่วยลดแรงฉุดและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

  • ระบบกันสะเทือนแบบแอ็กทีฟ

ด้วยการใช้โครงแชสซีแบบแอ็กทีฟ รวมถึงเพลาหลังแบบปรับได้และระบบถุงลมกันสะเทือน ทำให้ Lanzador สามารถปรับแต่งคุณสมบัติของตัวเองให้สอดคล้องกับทุกสภาพถนนได้อย่างยอดเยี่ยม หรือทำงานตามรูปแบบที่นักขับตั้งค่าไว้ โดยสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้อย่างฉับไวระหว่างการเดินทาง ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัย

การกระจายแรงบิด

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของรถสปอร์ตพลังไฟฟ้าแบบสองมอเตอร์ คือการกระจายแรงบิดที่แม่นยำเพื่อเพิ่มไดนามิกส์การขับขี่ โดยแนวคิดของลัมโบร์กินี ระบบควบคุมจะคอยคำนวณแรงบิดที่จำเป็นหรือที่ต้องการสำหรับเพลาแต่ละชิ้นอย่างรวดเร็วในหน่วยเวลาเป็นมิลลิวินาที ซึ่งมอเตอร์ทั้งสองตัวจะจำแนกความแตกต่างและสนับสนุนการทำงานของเพลาหลังทั้งในด้านซ้ายและขวาอย่างเหมาะสม

ระบบควบคุมความเร็วล้อ

ด้วยการใช้ระบบควบคุมความเร็วล้อ ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถควบคุมกำลังและแรงกระทำกับแต่ละล้อได้อย่างละเอียดเพื่อการเลี้ยวเข้าที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการขับทางตรงและการใช้ความเร็วบนถนนที่คดเคี้ยว โดยยังสามารถใช้อัตราเร่งที่เร็วแรงเต็มสปีด

การทำงานร่วมกันของระบบต่างๆ จะช่วยยกระดับการขับขี่ของคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สู่มาตรฐานใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับรถซูเปอร์สปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม และนี่คือรถยนต์กลุ่ม Ultra GT พลังไฟฟ้าที่ชาญฉลาดในระดับ Super-intelligent

ดีไซน์ยานยนต์ที่เหนือล้ำทุกความคาดหมาย

แบรนด์ลัมโบร์กินีคือ DNA แห่งการออกแบบอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่น่าจดจำอย่างแท้จริง ผ่านการนำเส้นสายสุดไอคอนิกมาตีความเป็นวิสัยทัศน์และแนวทางล้ำหน้าสู่อนาคต

การเปิดตัว Lanzador จึงแสดงให้เห็นว่าให้ลัมโบร์กินีกำลังเดินหน้าสู่อนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ได้มอบสัดส่วนใหม่และยังเป็นตัวแทนของรถยนต์กลุ่มใหม่ของแบรนด์นั่นคือ Ultra GT ซึ่งไม่เพียงเห็นได้จากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมภายใน ซึ่งนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของลัมโบร์กินีทั้งในแง่ของพื้นที่ใช้สอยของห้องโดยสารและบรรยากาศที่กว้างขวางสะดวกสบาย

การออกแบบคอนเซ็ปต์คาร์ GT นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยาน โดยการออกแบบภายนอกให้ความรู้สึกบึกบึนห้าวหาญและเหนือล้ำทุกความคาดหมาย ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายและสะอาดตาซึ่งถือเป็นแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง และยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นตำนานอย่าง Sesto Elemento, Murciélago และ Countach LPI 800-4 รูปลักษณ์ด้านข้างใช้เส้นสายที่เรียบง่ายในแบบฉบับลัมโบร์กินี ผสานกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวที่พัฒนาขึ้นสำหรับคอนเซ็ปต์คาร์โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบความลาดเอียงของห้องโดยสารอย่างชัดเจนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในขณะเดียวกัน ดีไซน์ส่วนล่างของตัวรถยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อันชาญฉลาด โดยผสานเข้ากับองค์ประกอบสุดล้ำที่ขยับได้ดังเช่นที่พบในรถซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีหลายรุ่น และด้วยความสูงสุดของหลังคาเพียง 1.5 เมตร ทำให้รถยนต์ Grand Turismo พลังไฟฟ้ารุ่นนี้โหลดต่ำเข้าใกล้พื้นถนนได้อย่างทรงพลัง มอบความประทับใจด้วยระดับการโหลดต่ำอย่างที่ไม่มีรุ่นใดเปรียบได้ ซึ่งเกิดจากรูปทรงที่พุ่งไปข้างหน้าของห้องโดยสารและเส้นสายไดนามิกที่คมชัดตลอดทั้งตัวรถ

ดีไซน์ห้องโดยสารสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ “Feel like a pilot’” ของลัมโบร์กินีอย่างโดดเด่น ผสานกับแนวคิดของอากาศยานผ่านแนวคิดรถยนต์ 2+2 GT แต่ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการใช้แนวคิดที่นั่ง 2+2 ในแบบฉบับไลฟ์สไตล์ ห้องโดยสารส่วนหลังยังสามารถใช้บรรทุกสัมภาระได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬาหรือกระเป๋าเดินทางทุกรูปแบบ

ช่องใส่สัมภาระถูกซ่อนไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าที่สั้นและลาดเอียง ส่วนประตูท้ายกระจกขนาดใหญ่สามารถเปิดออกกว้าง เบาะนั่งด้านหลังและช่องเก็บสัมภาระหลังที่ปรับได้ยังทำให้คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สามารถประยุกต์ใช้งานกับทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน

การออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ ของคอนเซ็ปต์คาร์แห่งอนาคตนี้เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน และสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะตัว อาทิ ดีไซน์ไฟหน้าที่เพรียวบางได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Countach LPI 800-4 ในขณะที่ไฟท้ายทรงหกเหลี่ยมรวมถึงรูปแบบแสงอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ถูกตกแต่งด้วยองค์ประกอบไฟ LED สามดวงบนตัวรถแต่ละด้าน นอกจากนี้ ดีไซน์ไฟรูปตัว Y และองค์ระกอบรูปหกเหลี่ยมซึ่งเป็นลักษณะเด่นของการออกแบบรถยนต์ลัมโบร์กินีก็สามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งตัวรถ รวมถึงไฟท้ายและห้องโดยสารภายในเช่นกัน

ตำแหน่งนักขับในห้องโดยสารยังถูกกำหนดโดยแผงหน้าปัดที่เพรียวบางน้ำหนักเบา ซึ่งใช้องค์ประกอบการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น รูปตัว Y ขนาดใหญ่ในส่วนเชื่อมคอนโซลกลาง และด้วยคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวัน รวมกับประสิทธิภาพและตำแหน่งที่นั่งแบบรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ทำให้หัวหน้าฝ่ายออกแบบ มิตจา โบร์เคิร์ต  มีอิสระในการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศที่กว้างขวาง สะดวกสบายอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งเกิดจากการใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบกับรถยนต์รุ่นนี้

ที่นั่งคนขับและข้างคนขับจะอยู่ระดับต่ำเหมือนกับในเครื่องบินเจ็ต คั่นด้วยคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อมุมมองกับแผงหน้าปัด ส่วนแผงควบคุมระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และฟังก์ชันดิจิทัลรุ่นใหม่ จะติดตั้งอยู่บนคอนโซลกลางในระยะที่คนขับเอื้อมถึงตามตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์ ส่วนผู้โดยสารจะสามารถดูข้อมูลผ่านหน้าจอที่หดซ่อนได้อัตโนมัติ และเมื่อใช้ระบบการควบคุมแบบ Lamborghini ANIMA คนขับจะสามารถสลับโหมดการขับขี่แบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแบบ Efficiency และ Performance เพื่อให้ได้ไดนามิกส์การขับขี่ที่ดีที่สุดตามต้องการ

คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ทำสีด้วย Liquid color ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการเปิดตัวรถยนต์ในงาน Monterey Car Week ซึ่งเป็นสีใหม่ที่สวยงามทันสมัยในชื่อ Azzurro Abissale

วัสดุผ้าขนแกะเมอริโน 100%

ลัมโบร์กินีใช้ขนแกะที่ได้จากแกะออสเตรเลียนเมอริโนแทนขนแกะสังเคราะห์ โดยในทุกๆ ปี แกะจะงอกขนขึ้นใหม่ ทำให้ขนแกะเป็นเส้นใยที่สร้างใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งผลิตในเชิงอุตสาหกรรมจากพลังงานฟอสซิลที่ไม่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยขนแกะจะมีการนำเข้ายุโรปปีละครั้งและขนส่งผ่านทางเรือ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกทางหนึ่ง สิ่งทอนี้ผลิตโดยบริษัทสิ่งทออิตาลีเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการรับรองระดับ B-corporation ผ้าขนแกะเมอริโนยังสามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ มีความนุ่มนวลและสัมผัสนุ่มสบาย

คาร์บอนผลิตซ้ำผ่านกระบวนการรีไซเคิล

เส้นใยคาร์บอนที่ผลิตซ้ำเป็นวิธีการใหม่สำหรับวัสดุคอมโพสิตที่พัฒนาโดยลัมโบร์กินี เพื่อให้สอดคล้องกับ DNA และข้อกำหนดด้านความยั่งยืน วิธีการขึ้นรูปใหม่จะกำหนดเป็นชั้นที่โชว์ความสวยงาม (ด้านที่มองเห็น) และชั้นใน (ชั้นโครงสร้าง) ตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพ โดยในชั้นโชว์ความสวยงาม เส้นใยหลายชนิดยังอยู่ขั้นตอนการพัฒนา ซึ่งจะมีทั้งเส้นใยธรรมชาติบางชนิดที่ถักทอเข้ากับเส้นใยคาร์บอน วิธีการนี้จะยังคงคุณสมบัติทางเทคนิคของคาร์บอนไว้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ลงด้วย สำหรับชั้นโครงสร้างด้านใน ลัมโบร์กินีกำลังทดลองกับวัสดุหลัก เช่น คาร์บอนรีไซเคิล ซึ่งประกอบด้วยแผ่นคาร์บอนรีไซเคิล หรืออีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้โฟมจากพลาสติก PET รีไซเคิล นอกจากนี้ ทั้งชั้นโชว์ความสวยงามและชั้นโครงสร้างจะถูกผสานรวมกับเรซินชีวภาพเพื่อยกระดับแนวทางที่ยั่งยืน วิธีการทำงานนี้มอบอิสระสูงสุดในการออกแบบและการปรับเปลี่ยน พร้อมกับการรักษาคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพทางเทคนิคที่ดีเยี่ยม

ลัมโบร์กินีวางแผนที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2024 โดยบริษัททุ่มงบลงทุนกว่า 1.9 พันล้านยูโรในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีไฮบริด ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์อิตาลี โดยแนวคิดรถยนต์รุ่นที่ 4 ไม่ใช่แค่เครื่องสาธิตทางเทคนิคเท่านั้น แต่เป็น “ห้องปฏิบัติการติดล้อ” ที่ได้รับการปรับปรุงในแง่ของวัสดุที่ยั่งยืนอีกด้วย คอนเซ็ปต์คาร์เวอร์ชันผลิตจริงจะพร้อมมอบสุดยอดสมรรถนะตั้งแต่ปี 2028 เป็นต้นไป และจะก้าวสู่ระดับแถวหน้าของรถยนต์ในเซกเมนต์นี้ โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ของแบรนด์อย่างสมบูรณ์ และพร้อมยกระดับการผลิตของลัมโบร์กินีที่สืบทอดมานานกว่า 60 ปี ไปสู่ทศวรรษใหม่

แนวคิดรถยนต์รุ่นที่ 4 ครอบคลุมทั้งการออกแบบ ประสิทธิภาพ และยังเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่าลัมโบร์กินีกำลังมุ่งหน้าไปทิศทางใดในอนาคต “สำหรับเรานั้น รถยนต์รุ่นที่ 4 ถือเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอในปัจจุบันที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง โดยป็นการเชื่อมโยงที่สมบูรณ์แบบระหว่างรุ่น Urus และรถซูเปอร์สปอร์ตรุ่นอื่นๆ

Lanzador ไม่ใช่แนวคิดของนักออกแบบหรือวิศวกร แต่เป็นการแสดงตัวอย่างที่เด่นชัดของรถยนต์รุ่นผลิตจริงที่ลัมโบร์กินีจะนำเสนอในปี 2028 ซึ่งรถยนต์รุ่นที่ 4 นี้จะดำเนินการผลิตในโรงงาน Sant’Agata Bolognese และเพื่อการผลิตที่สมบูรณ์แบบ ลัมโบร์กินีกำลังวางแผนขยายโรงงานและจ้างพนักงานเพิ่มเติมต่อไป  

บริษัท พีทู ไอเดียส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่)
228/245 ถ.ร่วมมิตรพัฒนา แขวงท่าแร้ง
เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี : 0125558016654

© 2023 CARZANOVA:เว็บซ่าส์เรื่องยานยนต์ All Rights Reserved. Designed By P2 IDEAS

Are you sure want to unlock this post?
Unlock left : 0
Are you sure want to cancel subscription?
-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00