ที่ผ่านมากับการก้าวเข้าสู่ The Next Century หรือการก้าวข้ามผ่าน 100 ปีแรกของ Aston Martin ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายเกี่ยวกับรถสปอร์ตสัญชาติอังกฤษยี่ห้อนี้ เรื่องธุรกิจหรือผู้ถือหุ้นเราคงไม่พูดถึงขนาดนั้น แต่ในเรื่องของรถโมเดลใหม่ถึงแม้ Aston Martin จะไม่ใช่แบรนด์ที่ออกรถรุ่นใหม่บ่อยๆ แต่เราก็ได้เห็นการเปิดตัวใหม่ๆ กันมาอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่ง SUV ก็มีแล้วอย่าง DBX แต่หากในแง่ของรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่ผ่านมาอย่าง DB11 และ New Vantage รหัส AM6 ก็มีความเห็นในหลายๆ แง่มุม
สำหรับ DB11 ครั้งแรกออกมากับเครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ มันก็มีความเป็น Aston Martin เต็มตัวดี ถึงจะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบแต่สุ้มเสียงยังคงแผดกร้าวตามแบบฉบับ รูปร่างหน้าตาก็สวยไม่มีที่ติตามแบบฉบับของผู้ดีอังกฤษยี่ห้อนี้ แต่ไฉนใยเล่าวันดีคืนดีเพิ่มรุ่นย่อยออกมากับเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ที่สำคัญมันเป็นเครื่อง AMG ยิ่งเปิดฝากระโปรงหน้ามา โอ้โหว! หน้าตามันเหมือนที่อยู่ใน Mecedes AMG GTS ที่เพิ่งไปขับมาเลยนี่นา
แม้ทาง Aston Martin จะใช้การสื่อสารในแง่ที่ว่ามันเป็นเครื่องที่ Aston พัฒนาร่วมกับ AMG แต่ท้ายที่สุดมันก็คือเครื่องยนต์ AMG นั่นแหละ นี่ยังไม่นับปุ่มสวิตช์คอนโทรลระบบต่างๆ ที่คอนโซลกลางที่หน้าตาเหมือนใน Mercedes-Benz เป๊ะๆ แต่ก็เอาเถอะครับ ถ้ารูปร่างหน้าตาภายนอกมันยังเป็น Aston Martin คุณจะไปสนรายละเอียดอะไรนักหนา
การได้เครื่องยนต์จากสุดยอดผู้ผลิตอย่าง AMG ยังไงมันก็ต้องดีแน่นอนเพราะผ่านการวิจัยพัฒนามาเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบตัวดังกล่าวไม่ได้ถูกติดตั้งใน DB11 เท่านั้น แต่หากรถที่พลิกบทบาทและบุคลิกเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคหลัง 100 ปีแรกของ Aston Martin อย่าง New Vantage รหัส AM6 ก็เปิดตัวมาพร้อมกับเครื่องยนต์ตัวนี้ด้วยเช่นกัน แรงม้าเท่ากับ DB11 ที่ 510 แรงม้า (PS) แต่มีแรงบิดสูงกว่าที่ 685 นิวตันเมตร (แรงบิดของ DB11 V8 อยู่ที่ 675 นิวตันเมตร)
แต่ที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับคนที่ได้เห็นก็คือ รูปร่างหน้าตาภายนอกของ New Vantage AM6 มันพลิกบุคลิกเดิมๆ ของ Aston Martin ไปแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม มันมีความใกล้ความเป็นซูเปอร์คาร์เข้าไปทุกที ซึ่งจุดนี้แหละครับที่ทำให้เกิดคอมเมนท์มากมายจากทั้งสื่อรถยนต์ในต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งแฟนๆ Aston Martin ทั้งต่างประเทศและในประเทศไทยว่า ไหนๆ New Vantage มากับหน้าตาโหดขนาดนี้แล้ว ทำไมมันแรงได้แค่นี้!
เอาล่ะสิ!! ทำไมถึงมีหลายคนที่รู้สึกแบบนั้น คือถ้าพูดถึง DB11 ก็เปิดตัวมากับเครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ 608 แรงม้า มันก็แรงเอาเรื่อง แต่หากจะเอาหล่อแล้วแรงกำลังสนุก DB11 V8 ทวินเทอร์โบ 510 แรงม้าก็ตอบโจทย์ได้เพียงพอ แล้วยังขับสบายด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบทอร์คคอนเวิร์ตเตอร์ที่ส่วนตัวผมว่ามันขับใช้งานในเมืองสบายกว่าพวก Dual-Clutch แต่รถหน้าตาดุๆ อย่าง New Vantage ที่รูปลักษณ์แทบจะเป็นซูเปอร์คาร์อยู่แล้ว มากับเครื่องยนต์ตัวเดียวกับ DB11 V8 แล้วไหนจะใช้เกียร์เดียวกันอีก มันเลยเป็นที่ขัดใจหลายๆ คนอยู่พอสมควร
ซึ่งผมเองเนี่ยก็อยากจะถามกลับไปว่า 510 แรงม้ามันไม่พอหรืออย่างไร? แถมยังขับสบายด้วยนะ… ผมไม่แน่ใจว่าทาง Aston Martin เห็นถึงฟีดแบคดังกล่าว หรือว่าอยู่ในแผนงานด้านผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว 2022 เลยเปิดตัว New Vantage เครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบออกมาให้หายข้องใจกันไป กับพละกำลัง 700 แรงม้า แรงบิด 753 นิวตัน-เมตร แต่ก็เป็นรุ่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัดเพียง 333 คันเท่านั้น และเป็น Aston Martin รุ่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ V12 ซึ่งถ้ามุดเข้าไปดูใต้ฝากระโปรงหน้า เครื่องยนต์มันก็คือตัวเดียวกับที่อยู่ใน DB11 V12 และ DBS Superleggera นั่นแหละครับ แค่ปรับจูนแรงม้าแรงบิดให้เหมาะสมกับตัวรถเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ประหยัดต้นทุน และได้ผลดี หลายๆ ค่ายเขาก็ทำกันเป็นเรื่องปกติ
ถ้าถามความเห็นผมว่ารู้สึกอย่างไรกับ New Vantage AM6 จากที่ได้ขับอยู่หลายครั้งบอกเลยว่าก็เป็นรถที่ขับดีมากๆ คันหนึ่ง แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็น Aston Martin สักเท่าไหร่ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น? อย่างแรกเลยคือผมว่าหน้าตามันไม่ใช่ เข้าใจว่าการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยมันก็ต้องมีอะไรใหม่ๆ แต่เอกลักษณ์ที่หายไปมันทำให้รู้สึกแปลกๆ เข้าใจครับว่าทาง Aston Martin ก็ยังคงไอเดียคอนเซ็ปต์ต่างๆ ของแบรนด์ไว้กับ New Vantage AM6 โดยเฉพาะทรวดทรง และเส้นสายของ “S Curve” แต่มันไม่เด่น ซึ่ง DB11 มันมีความเป็น Aston Martin ชัดกว่ามาก หรือแม้กระทั่ง DBS Superleggera มองผ่านแว้บเดียวก็รู้ว่ามันคือ Aston Martin
แต่สำหรับผม New Vantage AM6 มันไม่ใช่ พูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่ใช่คนที่ชอบรถหรือเป็นแฟน Aston Martin ถ้าเอา New Vantage AM6 มาแกะโลโก้ออกแล้วจอดไว้ อาจมีคนสงสัยได้นะว่ามันรถยี่ห้ออะไร และถึงแม้ภายหลัง Aston Martin จะเปลี่ยนดีไซน์กระจังหน้าของ New Vantage AM6 ไปเป็นซี่โครเมียมเงาแนวนอนเหมือน DB11 แล้ว ผมก็ยังมองว่ามันยังไม่ใช่อยู่ดี ถามว่าสวยมั้ย แน่นอนครับสวย แต่ความเป็น Aston Martin มันหายไปเยอะ
เกริ่นมาเสียยืดยาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อที่ว่า The real Aston Martin is back! หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า Aston Martin ตัวจริงกลับมาแล้ว! ผมรู้มาว่า Aston Martin เพิ่งเปิดตัวสปอร์ตรุ่นล่าสุดไป และกำลังจะมีงานเผยโฉมเปิดผ้าคลุมในประเทศไทยในอีกไม่กี่วันนี้ ผมกำลังพูดถึง Aston Martin DB12 ที่เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกในต่างประเทศไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา ดูจากรหัสชื่อรุ่นแล้วไม่ต้องเดาเลยว่ามันเป็นทายาทของ DB11 ซึ่งครั้งแรกจากที่ได้เห็นเพียงรูปภาพของ DB12 ในมุมด้านหน้า ด้านท้าย และด้านข้าง ผมแอบมีอคติเล็กน้อยว่าเหมือนเอารุ่นนั้นรุ่นนี้มามิกซ์กันง่ายๆ งี้เหรอ
ด้านหน้าก็ยังดูคล้ายๆ DB11 ผสม DBS Superleggera แต่เอาวะ กระจังหน้าเอกลักษณ์ Aston Martin กลับมาแล้ว แต่ด้านข้างกับท้ายรถนี่มัน DB11 เลยนี่หว่า! ช่องดักลมที่เสา C-Pillar ทรงเดิมเป๊ะ ทำไมทำแบบนี้ล่ะ? รถรุ่นใหม่นะ ถึงทาง Aston Martin จะให้นิยาม DB12 ว่าเป็น Super Tourer ก็เถอะ (DB11 ได้นิยามว่า Grand Tourer) มันสร้างความผิดหวังให้ผมพอสมควร ยิ่งพอได้เห็นสเป็คเครื่องยนต์เข้าไปอีก มันคือเครื่องยนต์เบนซินขนาด 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบรหัส M177 ตัวเดียวกับที่เราพูดกันมาตั้งแต่ต้น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดจาก ZF คิดในใจเลยว่า เล่นง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอครับพี่! แต่ยังใจชื้นขึ้นมาหน่อยตรงที่พละกำลังถูกอัพขึ้นมาเป็น 680 แรงม้า พร้อมแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร
พอได้เห็นแบบนี้ถึงจะเป็นเครื่องเดิมแต่คงไม่ใช่แค่ปรับจูนแน่นอน เพราะการที่มีกำลังเพิ่มขึ้นมาจากเดิม 170 แรงม้านี่มันต้องมีการปรับชิ้นส่วนอะไรบางอย่างบ้างล่ะครับ เพราะมันไม่ใช่แค่ให้แรงขึ้นแต่ต้องทนด้วย ส่วนเรื่องระบบเกียร์ที่ยังคงใช้แบบเดิมก็คงด้วยเหตุผลที่ผมเคยนั่งฟังบรรยายจากทาง Aston Martin ต่างประเทศว่า เขาต้องการให้เป็นรถที่ขับใช้งานในเมืองได้อย่างนุ่มนวลสบายๆ แต่ในขณะเดียวกันคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบเกียร์ก็สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานรวมถึงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์เพื่อรองรับการขับขี่ที่หลากหลายซึ่งจะคำนวณจากจังหวะการเหยียบคันเร่งของผู้ขับรวมถึงการหมุนพวงมาลัยด้วย โดยรวมแล้วผมให้คะแนน DB12 สูงกว่า New Vantage AM6 แบบทิ้งห่าง แล้วก็สารภาพว่าหลังจากเห็น DB12 จากในรูปก็ไม่ได้สนใจอีกเลย จนกระทั่ง…
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีโอกาสไปหาเพื่อนที่ประเทศสิงคโปร์ นั่งรถผ่านถนน เล้งกี่ (Leng Kee) ที่เต็มไปด้วยโชว์รูมรถเรียงติดๆ กัน และในช่วงที่ผ่านโชว์รูม Aston Martin ก็มองเข้าไปเห็นคันหนึ่งในนั้นจอดอยู่ เป็นสปอร์ตสีเขียวหน้าตาคุ้นๆ แต่ที่แน่ๆ คือมันสวยเหลือเกิน วันต่อมาเลยตั้งใจไปที่โชว์รูมนั้นเพื่อไปดูว่ามันใช่ DB12 อย่างที่คิดไว้หรือไม่ ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ! จะบอกว่าภาพจำที่เห็นรูปในหน้าจอคอมพิวเตอร์มันหายไปหมดเมื่อเจอตัวจริง คือจะว่าไม่ตรงปกก็ไม่ผิด แต่มันเป็นการไม่ตรงปกในทางที่ดี
เพราะ DB12 คันจริงสวยมากๆ จากที่ผมเคยคิดว่า Vanquish เป็น Aston Martin ที่สวยที่สุดสำหรับผมแล้ว ตอนนี้ผมยกให้ DB12 เป็นอีกคัน และเป็นโชคดีที่มีโอกาสได้คุยกับฝ่ายขายของดีลเลอร์ Aston Martin ที่สิงคโปร์ เขาบอกว่า DB12 เป็นรถที่ใช้แพลทฟอร์มเดียวกับ DB11 ก็จริง แต่มีการปรับเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ เข้าไปถึง 80% พูดง่ายๆ เลยคือ เค้าไม่ได้เล่นแร่แปลธาตุอะไรง่ายๆ อย่างที่ผมคิดไว้ตอนแรก สิ่งต่อมาคือทาง Aston Martin ตอนนี้หันมาโฟกัสที่เครื่องยนต์ V8 อย่างเดียวแล้ว เพราะจะไม่มีการใช้เครื่องยนต์ V12 อีกต่อไป
ส่วนนิยามที่เปลี่ยนจาก Grand Tourer มาเป็น Super Tourer ก็ด้วยเหตุผลหลักที่ว่ามันมีสมรรถนะและความแรงที่มากขึ้น อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 3.6 วินาที และก็ได้คำตอบว่าความแรงที่มากขึ้นจากเครื่องยนต์ตัวเดิมมาจากการเปลี่ยนไปใช้แคมชาร์ฟใหม่ เปลี่ยนไปใช้เทอร์โบขนาดใหญ่ขึ้น และเปลี่ยนระบบหล่อเย็นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากที่มองด้วยตาเปล่า (ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน) ผมว่าตำแหน่งติดตั้งเครื่องยนต์แบบ Front-Mid ถูกร่นเข้าไปใกล้ห้องโดยสารมากขึ้นกว่า DB11 ด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนั่นหมายความว่าตำแหน่งเครื่องยนต์อยู่ใกล้กึ่งกลางตัวรถเข้าไปอีกซึ่งจะส่งผลให้น้ำหนักลงที่กลางตัวรถสมรรถนะการเกาะถนนสมบูรณ์แบบ
นอกจากตัวเครื่องยนต์แล้ว ระบบส่งกำลังถึงแม้เป็นชุดเกียร์เดิมอัตโนมัติ 8 สปีดจาก ZF แต่มีการเปลี่ยนระบบล็อคเฟืองท้ายไฟฟ้า E-Diff ไปใช้เวอร์ชั่นใหม่ นอกจากนี้ยังได้ขยายระยะห่างล้อซ้าย-ขวาให้กว้างกว่าเดิม โดยระยะห่างล้อหน้ากว้างกว่า DB11 อยู่ 6 มม. ส่วนระยะห่างล้อหลังกว้างกว่า DB11 ถึง 22 มม. เพื่อทำให้ DB12 ซึ่งมีพละกำลังมากขึ้นยังคงมีประสิทธิภาพเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ล้อใช้ขนาด 21 นิ้วซึ่งคันที่ผมเข้าไปดูล้อเป็นสีน้ำตาลทอง มองทะลุเข้าเป็นเป็นจานเบรกขนาดใหญ่ และที่สำคัญเป็นจานเบรกคาร์บอนเซรามิค ซึ่งผมก็ลืมถามว่าต้องสั่งเพิ่มหรือสแตนดาร์ดติดรถมาเป็นแบบนี้ ต้องขออภัยครับ
เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกผมว่า DB12 กลับมาเป็น Aston Martin ที่แท้จริงอีกครั้ง ด้านหน้าคล้าย DBS Superleggera ตามที่คิดไว้ แต่การใช้กระจังหน้าแบบเป็นซี่โครเมียมแนวนอนมันทำให้ชัดเจนมากขึ้น ด้านข้างคงต้องยอมรับว่ามันยังมีความเป็น DB11 อยู่มาก ถึงมีการเรียงเส้นสายใหม่ กับปรับดีไซน์ช่องรีดอากาศที่ซุ้มล้อหน้า แต่ถ้าไม่มาจอดเทียบกันคงหาความต่างได้ยาก ท้ายก็ยังคงใกล้เคียงหรือแทบจะเหมือน DB11 เริ่มจากการที่ตัวสปอยเลอร์เล็กๆ ซ่อนอยู่จะยกขึ้นมาอัตโนมัติตามความเร็วที่ใช้
ส่วนท้ายรถถ้ามอมมุมตรงก็คล้ายกับ DB11 แต่ผมว่ามันมีสเน่ห์มากกว่าตรงที่มันอวบอิ่มและมีเส้นสายที่อ่อนช้อยกว่า ซึ่งมันสวยมากๆ เลยครับ เปิดประตูเข้ามาดูภายในห้องโดยสารดูเรียบร้อยหรูหรา แต่ดีไซน์แตกต่างจาก DB11 ไปคนละเรื่อง ดีไซน์คอนโซลและแดชบอร์ดเปลี่ยนใหม่หมด ดูทันสมัยมากขึ้น คอนโซลกลางลาดเฉียงลงมาจากช่องแอร์ ปุ่มสวิตช์เยอะแยะมากมายไปหมด ตำแหน่งเกียร์จากปุ่มกด เปลี่ยนมาเป็นสวิตช์เลื่อนขึ้น-ลงชิ้นเล็กๆ (ดันไปคล้ายคู่แข่งเสียอีก) แต่ที่แน่ๆ ปุ่มสวิตช์ควบคุมระบบ Infotainment ไม่เหมือนของ Mercedes อีกต่อไป หน้าจอแสดงผล และ Infotainment ทันสมัยขึ้นผิดหูผิดตาไปจาก Aston Martin รุ่นผ่านๆ มา ซึ่งทางฝ่ายขายที่โชว์รูมนั้นกระซิบว่าใช้งานง่ายกว่าเดิมเยอะ
เรื่องขอทดลองขับผมถามไปแล้ว แต่ได้คำตอบมาว่าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากรถคันนี้มีเจ้าของแล้ว และที่น่าน้อยใจไปกว่านั้นคือ ทางเจ้าของแจ้งทางโชว์รูมว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเนื่องจากมีการ Configuration หรือสั่งตกแต่งภายในที่เจ้าของเลือกเอง ยังไม่อยากให้ใครเห็นเดี๋ยวเอาไปเลียนแบบ มีงี้ด้วย… แต่ยังดีที่ทางโชว์รูมสามารถแชร์รูปรถอีกคันที่ใช้ในวันเปิดตัวที่นั่นให้ได้ ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ โดยรวมแล้ว Aston Martin DB12 เป็นรถที่สเน่ห์แรงจริงๆ และที่สำคัญสมรรถนะที่ติดตัวมาทั้งพละกำลังและการปรับปรุงระบบต่างๆ น่าจะถูกใจแฟน Aston Martin ไม่น้อยเลยทีเดียว มันทำให้ผมกลับมาสนใจรถแบรนด์นี้อีกครั้ง ซึ่งอีกไม่กี่วันคุณจะได้เห็นมันเปิดตัวในประเทศไทยแล้ว ผมบอกล่วงหน้าเลยว่าคุณจะต้องหลงเสน่ห์เจ้า DB12 อย่างแน่นอน เชื่อผมเถอะ