ช่วงนี้ผมก็จะอินๆ กับ Aston Martin มากหน่อย เพราะแอบตามเชียร์ทีม Aston Martin ในสังเวียนฟอร์มูล่า1 นอกจากนี้ตอนเด็กๆ เราก็จะรู้จักรถแอสตัน มาร์ติน จากการที่เค้าเป็นรถที่ เจมส์ บอนด์ ใช้เป็นคู่หูในภาค Goldfinger ซึ่งมารู้ตอนโตแล้วว่ารถคันนั้นก็คือ Aston Martin DB5
โดยส่วนตัวรู้สึกชอบรถยนต์แบรนด์นี้มาโดยตลอดด้วยความที่ว่ามันเป็นรถสปอร์ตที่รูปร่างสวยตั้งแต่อดีตที่เป็นทรงคลาสสิคจนมาถึงปัจจุบันที่ก็ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์เอาไว้ ซึ่งนอกจากสมรรถนะความแรงของรถแล้ว ความสวยงาม ความปราณีต หรือแม้กระทั่งการคัดสรรวัสดุต่างๆ ในลักษณะของ Handcraft ก็ยังคงเป็นจุดเด่นของรถค่ายนี้มาจนถึงปัจจุบัน
และจากที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับบรรดาเจ้าของรถ และเจอกับลูกค้า Aston Martin หลายๆ ท่าน ก็พบว่าเหตุผลของการเป็นเจ้าของส่วนใหญ่มาจากความสวย ความมีสเน่ห์ของรถ และความสบายในการขับ มาก่อนสมรรถนะความแรง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเรื่องสมรรถนะความแรงก็เป็นสิ่งที่ติดตัว Aston Martin มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ซึ่งหากย้อนกลับไปดูประวัติอันยาวนานของ Aston Martin ก็จะรู้ว่าแบรนด์นี้เคยเข้าร่วมการแข่ง F1 มาตั้งแต่ปี 1959 ด้วยรถแข่ง DBR4 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ในปัจจุบันภายใต้ทีม Aston Martin Aramco Cognizant F1 เราเห็นผลงานที่โดดเด่นและดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเทคโนโลยีหลายๆ อย่างจาก F1 จะต้องถูกนำมาปรับใช้ในรถ Aston Martin
และหากย้อนกลับไปในภาพยนตร์ที่ผมพูดถึงในตอนต้น ก็มีฉากที่คุณบอนด์ขับ Aston Martin DB5 ของเขาทำความเร็วขึ้นไปถึง 144 ไมล์/ชม. ซึ่งมันเท่ากับ 230 กม./ชม. และคุณต้องไม่ลืมว่าตอนนั้นคือปี 1964 นะครับ ในขณะที่คนทั่วไปโดยเฉพาะคนไทยมองว่า Aston Martin เป็นรถสปอร์ตที่ความสวยมาก่อนความแรง แต่จะบอกให้ว่า Aston Martin มีสมรรถนะความแรงไม่ธรรมดา โดยครั้งนี้ผมเลือกมา 10 คัน โดยเป็นรถออกจำหน่ายสามารถตีทะเบียนขับบนถนนได้ตามปกติ (ไม่ใช่รถต้นแบบ) มาดูกันครับว่ามีคันไหนบ้าง
- Aston Martin V8 MY 1993
คันแรกผมเลือกเป็น Aston Martin V8 ปี 1993 ย้อนกลับไปในยุคก่อนหน้านั้น ปี 1987 Ford ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นใหญ่ใน Aston Martin ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายโดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ที่ออกมาในยุคนั้นที่มีรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเทคโนโลยีด้านวิศวกรรม โดยผลงานที่โดดเด่นก็คือ Aston Martin V8 Vantage ซึ่งถือเป็นรถสปอร์ตที่เร็วมากในยุคนั้น และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง มันมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.3 ลิตร มีพละกำลังถึง 557 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 299 กม./ชม. แต่ในขณะเดียวกันเจ้า Vantage คันนี้ด้วยความที่มีอิทธิพลจากรถอเมริกันมาเยอะ ก็เลยออกแนวเป็นรถลักษณะ Grand Tourer ใช้วิ่งทางยาวๆ เสียมากกว่า
2.Aston Martin DB7 Vantage Zagato
คันต่อมาพิเศษหน่อยเพราะเป็น Aston Martin ที่เป็นรถสัญชาติอังกฤษ แต่ไปร่วมสร้างรุ่นพิเศษร่วมกับสำนักแต่งจากอิตาลีอย่าง Zagato สร้างผลงานออกมาเป็น Aston Martin DB7 Vantage Zagato ซึ่งโดยพื้นฐานของ DB7 Vantage ปี 1999 – 2003 ก็เป็นรถที่มากับเครื่องยนต์ V12 พละกำลัง 440 แรงม้าอยู่แล้ว หลังจากได้รับการปรับแต่งสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300 กม./ชม. นอกจากความเร็วสูงสุดแล้ว ความพิเศษของ Aston Martin DB7 Vantage Zagato คือถูกผลิตออกมาขายเพียง 99 คันเท่านั้น
3.Aston Martin V8 Vantage
คันที่ 3 เป็น Aston Martin V8 Vantage จะว่าไปชื่อ Vantage เป็นชื่อรุ่นที่ถูกใช้ต่อเนื่องมาอย่างยาวนานสำหรับ Aston Martin เลยก็ว่าได้ เพราะ V8 Vantage คันแรกเป็นรุ่นปี 1977 จนถึงปัจจุบันปี 2023 ก็ยังมีรุ่น Vantage อยู่ภายใต้รหัส AM6 โดยถ้าดู Vantage ทุกรุ่นที่ผ่านมา จะเน้นเป็นรถสปอร์ตขนาดไม่ใหญ่แต่มีพละกำลังและความเร็วสูงมาก
ซึ่งคันที่ 3 ที่ผมพูดถึงนี้เป็น Vantage โมเดลล่าสุด AM6 เป็น Vantage เจเนอเรชั่นล่าสุด และถือเป็น Vantage ที่ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่โดยการใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ โดยตัวเครื่องยนต์เป็นของ AMG มีพละกำลังถึง 510 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 314 กม./ชม. ซึ่งภายหลังในบอดี้เดียวกันนี้ ทาง Aston Martin ได้ออกรุ่นพิเศษออกมาเพื่อสนองผู้รักความแรงที่เหนือกว่าด้วย Aston Martin V12 Vantage
4.Aston Martin Vantage AM6
รถคันที่ 4 ที่กำลังพูดถึงนี้เป็นการนำ Vantage AM6 มาลดน้ำหนักตัวให้เบาลงจากเดิมโดยเน้นการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ประกอบตัวถัง เพิ่มขนาดช่องระบายความร้อนต่างๆ ปรับแอโรไดนามิคเพิ่มแรงกดในความเร็วสูง ขุมพลังที่ใช้ยกเครื่อง V8 ทวินเทอร์โบออก แล้วแทนที่ด้วยเครื่อง V12 ขนาด 5.2 ลิตร ทวินเทอร์โบ พละกำลังสูงสุดถึง 700 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 กม./ชม. เลยทีเดียว
5.Aston Martin Vanquish Zagato
คันที่ 5 เป็นรุ่นพิเศษอีกเช่นกัน Aston Martin Vanquish Zagato ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว Vanquish เป็นรุ่นที่ใหญ่ขึ้นมาจาก Vantage ในเจเนอเรชั่นเดียวกัน โดยคันนี้เป็น Vanquish รุ่นปี 2012 เป็นรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อวางเครื่องยนต์ไซส์ใหญ่ V12 ขนาด 5.9 ลิตร ซึ่งหลังจากเปิดตัว Vanquish ก็กลายเป็น Aston Martin ที่คนทั่วโลกชื่นชอบ ซึ่งก็ออกมาหลายเวอร์ชั่นและไม่พลาดที่จะร่วมมือกับ Zagato สร้างรุ่นพิเศษขึ้นมา ซึ่งตัวเครื่องยนต์ของ Vanquish มีสมรรถนะสูงมากอยู่แล้ว เป็นเครื่องยนต์ไม่มีเทอร์โบที่ทำกำลังได้ถึง 573 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 324 กม./ชม. ดังนั้น Zagato จึงเข้ามาปรับปรุงในเรื่องของดีไซน์ให้ดูโดดเด่นขึ้นแค่นี้ก็พอแล้ว
6.Aston Martin V12 Vantage S 2013
และเมื่อพูดถึงเครื่องยนต์ V12 แล้ว ผมขอย้อนกลับมาที่ Vantage อีกครั้ง ซึ่งคันที่ 6 นี้เป็น V12 Vantage S โมเดลปี 2013 สารภาพเลยว่าโดยส่วนตัวเป็น Aston Martin รุ่นที่ผมชอบมากที่สุด เพราะเป็นรถสปอร์ตขนาดไม่ใหญ่ หน้าตาเรียบๆ แต่ดุดัน และแรงมาก มันมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ขนาด 5.9 ลิตร ไม่มีเทอร์โบ แต่มีพละกำลังสูงถึง 565 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 330 กม./ชม.
7.Aston Martin Rapide AMR
คันที่ 7 สำหรับผมมันเป็นรถ 4 ประตูที่สวยที่สุดในโลก มันคือ Aston Martin Rapide แต่ในเมื่อเรากำลังคุยกันถึง Aston Martin ที่เร็วที่สุด คันที่เลือกมาจึงต้องไม่ธรรมดา เพราะมันคือ Rapide AMR ก่อนอื่น AMR ย่อมาจาก Aston Martin Racing เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันต้องเร็วกว่ารุ่นปกติแน่นอน ด้วยความที่ Rapide ที่เปิดตัวเมื่อปี 2010 มีพื้นฐานเป็นรถ 4 ประตูแม้เรือนร่างจะดูสปอร์ตมากก็ตาม
ดังนั้นจึงมีเรื่องของน้ำหนักเข้ามาลดทอนสมรรถนะความเร็วของรถลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับรถสปอร์ต 2 ประตู ในปี 2018 ด้วยกัน มันจึงถูกปรับแต่งออกมาในเวอร์ชั่นพิเศษที่มีสมรรถนะสูงขึ้นภายใต้ชื่อรุ่น Rapide AMR โดยยังคงใช้เครื่องยนต์เดิม V12 ขนาด 6 ลิตร แต่ปรับแต่งเพิ่มพลังขึ้นไปเป็น 580 แรงม้า (จากเดิม 477 แรงม้า) ทำให้มันกลายเป็นรถ 4 ประตูที่ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 330 กม./ชม. เร็วเท่ากับรถขนาดเล็กและเบากว่าอย่าง V12 Vantage
8.Aston Martin DB11 AMR V12
คันที่ 8 ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะผมเคยได้ขับของจริงมาแล้ว บอกได้เลยว่ามันแรงจนน่ากลัว ผมกำลังพูดถึง Aston Martin DB11 AMR V12 โดยพื้นฐาน DB11 เป็นรถที่รูปร่างหน้าตาสวยงามไร้ที่ติ ถ้าเป็นหญิงสาวก็ระดับนางงามจักรวาลเลยล่ะครับ ครั้งแรกที่เปิดตัว DB11 มันมากับเครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ จนมาภายหลังออกมาอีกรุ่นใช้เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบจาก AMG เป็นเครื่องตัวเดียวกับที่อยู่ใน Vantage AM6 อย่างไรก็ตามเพื่อให้ครบสารบบ DB11 จึงต้องมีตัวแรงสุดของโมเดลออกมาตอบสนองเศรษฐีเท้าหนัก จึงทำให้เกิด DB11 AMR V12 ขึ้นมา โดยเป็นการปรับแต่งจากพื้นฐานเครื่องยนต์เดิม 600 แรงม้า ขึ้นมาเป็น 630 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 335 กม./ชม.
9.Aston Martin DBS Superleggera
คันที่ 9 ก็เป็นรถที่ผมได้ขับมาแล้วในประเทศไทยเช่นกัน เป็น Aston Martin ที่ผมเรียกมันว่าเป็น Super GT ตัวจริง หมายความว่าเป็นรถลักษณะ Grand Tourer ที่ขับใช้งานสบาย ภายในหรูหรา แต่โคตรแรง! เจ้าคันนี้คือ Aston Martin DBS Superleggera โครงสร้างตัวถังใช้วัสดุน้ำหนักเบาทั้งคันตามชื่อ Supperleggera ที่เป็นภาษาอิตาลีแปลว่า “เบาสุดๆ” แต่น้ำหนักตัวจริงๆ ก็ไม่ได้ถือว่าเบาอะไรมาก (1,693 กก.)
ซึ่งผมคิดว่ามันมาหนักเอาตรงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารนี่แหละครับ เพราะยังไงมันก็ยังอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์รถ GT ที่หรูหราขับสบาย จะตัดอุปกรณ์บางอย่างเพื่อ “ไล่เบา” ก็คงไม่ใช่เรื่อง แต่ที่แน่ๆ มันมากับขุมพลัง V12 ขนาด 5.2 ลิตร ทวินเทอร์โบ พละกำลัง 725 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 340 กม./ชม. ซึ่งโดยส่วนตัวจากที่ขับมาแล้ว ถึงแรงม้าจะมากกว่า DB11 AMR V12 อยู่เกือบ 100 แรงม้า แต่ DBS Superleggera กลับเป็นรถที่ควบคุมง่ายกว่า DB11 AMR V12 มาก
10. Aston Martin One-77
คันสุดท้ายไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะมันคือ Road Car ที่เร็วที่สุดของ Aston Martin ที่ตีทะเบียนขับบนถนนอย่างถูกกฎหมาย คันนี้คือ Aston Martin One-77 คือถ้าคุณกำลังต้องการรถที่เพียบพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตา ความสวยงามมีเสน่ห์ ความหรูหราภายในห้องโดยสาร และพลังมหาศาล One-77 จะตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วนที่สุด โครงสร้างแบบโมโนค็อกวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ตัวถังอลูมิเนียม มาพร้อมเครื่องยนต์ไซส์ใหญ่ V12 ขนาด 7.3 ลิตร พละกำลังสูงสุด 760 แรงม้า แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ มันสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 354 กม./ชม.! เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง ตอนเปิดตัวตั้งไว้ที่ 1.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้ขายหมดและไม่มีผลิตแล้ว ถ้าจะหามือสองตอนนี้รับรองว่าราคาสูงกว่าเครื่องบินเจ๊ทส่วนตัวแน่นอน
นี่เป็น Aston Martin ที่เร็วที่สุดเพียง 10 คันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ผมเลือกมา แน่นอนว่าคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ความแรงและความเร็วเป็นบทพิสูจน์ความสามารถในการวิจัยและพัฒนาของผู้ผลิตรถสปอร์ตและซูเปอร์คาร์ โดยเฉพาะบริษัทฯ ผู้ผลิตที่ได้เทคโนโลยีมาจากทีมแข่ง F1 เพียงแต่ว่าในอนาคตอันใกล้หัวใจความแรงจะมาในรูปแบบไหน เครื่องยนต์สันดาปจะยังคงถูกพัฒนาต่อไปหรือไม่ หรือว่าต่อไปนี้เราจะได้สัมผัสความแรงจากไฟฟ้าล้วนเท่านั้น ต้องติดตามครับ
Photo credit: https://rmsothebys.com/en/auctions/az15/arizona/lots/r234-2003-aston-martin-db7-zagato/181412
https://www.autocar.co.uk/car-review/aston-martin/v12-vantage-s-2013-2017 https://www.topgear.com/car-reviews/aston-martin/one-77
Aston Martin V8 Vantage buyer’s guide – Prestige & Performance Car (prestigeandperformancecar.com)
2019 Aston Martin DBS Superleggera Coupe 5,2L V12 LHD For Sale By Auction (carandclassic.com)