เชื่อว่ามีโอกาสไม่กี่ครั้งหรอก ที่เราจะเอาเอสยูวีหรูไปขับลุย แต่ครั้งนี้เราจะเอา Mercedes-Benz GLE 300d AMG Dynamic ตัวประกอบในประเทศไทย กับค่าตัว 5.19 ล้านบาท ไปลุยเส้นทางออฟโรด ใน 3 รูปแบบ ทั้งขึ้นเหมือง เข้าป่า และสาดโคลน ซึ่งบทสรุปจะเป็นอย่างไร ตามมาชมกันได้เลยครับ

แต่ก่อนที่เราจะพาไปลุยเส้นทางออฟโรด ผมขอเกริ่นถึงรายละเอียดของเจ้า MERCEDES-BENZ GLE กันก่อน โดยในไทยนั้นตัว GLE จะมีขายอยู่ด้วยกัน 2 รุ่นหลัก GLE 300d AMG Dynamic เครื่องยนต์ดีเซล และ GLE 350de Exclusive เครื่องยนต์ดีเซล ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งความแตกต่างนั้นขอสรุปง่ายตามนี้เลย คือในตัว 300d AMG Dynamic นั้นจะเน้นชุดแต่งสไตล์สปอร์ต รวมถึงมีออปชั่นที่มากกว่า โดยตั้งราคาไว้ที่ 5.19 ล้านบาท ส่วนรุ่น GLE 350de Exclusive จะไม่เน้นชุดแต่งอะไรมากนัก รวมถึงมีออปชั่นที่น้อยกว่า โดยตั้งราคาไว้ที่ 4.69 ล้านบาท

 

 

โดยในส่วนของภายนอกนั้น ที่แตกต่างกัน ก็จะมีในส่วนของหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ กันชนหน้า กันชนหลังดีไซน์สปอร์ต AMG บันไดข้างสแตนเลส รวมไปถึงล้อแม็กลาย AMG ไซส์ใหญ่ขนาด 21 นิ้ว ขณะที่ในส่วนของรุ่น Exclusive จะเป็นไซส์ 20 นิ้ว

 

 

ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะมีในส่วนของพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต หุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุุมแบบ Touch ControlHead Up Display ระบบควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ที่ในตัว AMG Dynamic จะเป็นแบบ4 โซน ส่วนตัว Exclusive จะเป็นแบบ 2 โซน เครื่องเสียง Burmester® เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa และที่พิเศษกว่านั้นคือตัว AMG Dynamic จะเป็นเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง แต่ในตัว Exclusive จะไม่มีเบาะนั่งแถว 3 มาให้

 

 

ด้านขุมกำลัง GLE 300d AMG Dynamic จะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ 2 Stage และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่กำลังสูงสุด 245 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ในขณะที่ตัว GLE 350de Exclusive มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ 2 Stage และอินเตอร์คูลเลอร์ โดยในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ให้พลังกำลังสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร โดยจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งตัวมอเตอร์นั้นให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานรวมกันแล้วจะให้พละกำลังสูงสุด 320 แรงม้า กับแรงบิดมหาศาลระดับ 700 นิวตันเมตร ส่วนระบบเกียร์ใช้แบบอัตโนมัติ 9G-TRONIC พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC

 

 

ปิดท้ายระบบช่วงล่างที่ทั้ง 2 รุ่น เป็นช่วงล่างแบบธรรมดา ไม่เป็น Adaptive Suspension หรือช่วงล่างถุงลมอะไร ซึ่งช่วงล่างแบบนี้ก็จะปรับระดับความสูง-ต่ำ และความนุ่ม-แข็ง ไม่ได้ โดยส่วนตัวก็แอบเสียดายอยู่นิดๆ

เอาล่ะ!! หลังทราบสเปคกันคร่าวๆ แล้ว คราวนี้ก็มาลองของจริง กับเส้นทางที่ผมจะพาไปลองทั้ง 3 แบบ

เส้นทางขึ้นเหมือง เนินชันกับพื้นเป็นหินและทราย

เราเปิดกันด้วยเส้นทางขึ้นเหมืองแร่ในแถบบริเวณกาญจนบุรี เส้นทางช่วงนี้ เราจะได้ลองพละกำลังของเครื่องยนต์ ที่ให้แรงบิดมาถึง 500 นิวตัน-เมตร นั้น บอกได้เลยว่าเหลือๆ ขับขึ้นเนินชันสบายๆ ส่วนเรื่องของช่วงล่างนั้น แม้จะไม่ได้เป็นช่วงล่างแบบ Adaptive ที่ปรับความนุ่ม-แข็งได้ ซึ่งในเส้นทางออนโรดปกติ เอาจริงๆ ขับแล้วรู้สึกว่าช่วงล่างมันนิ่ม ยวบยาบไปหน่อย ยิ่งเวลาเข้าโค้งแรงๆ ตัวรถมีอาการโครงเล็กน้อย แต่พอเอาเข้ามาวิ่งในเส้นทางขรุขระ ความรู้สึกมันกลับกันไปเลย ฟิลลิ่งของช่วงล่างชุดนี้มันให้ความรู้สึกนุ่มสบายไม่สะเทือน และอีกจุดที่น่าเสียดายที่เจ้า GLE ตัวนี้ไม่คือปรับระดับสูงต่ำของช่วงล่างไม่ได้ ซึ่งทำให้ในการขับออฟโรดลงจากเหมืองในบางเนินมันจะมีเสียงบันไดข้างขูดพื้นบ้าง ซึ่งโดยรวมกับเส้นทางนี้ GLE 300d AMG Dynamic ผ่านสบาย แต่ถ้าได้ช่วงล่างที่ปรับได้มาอีกนิดเพอเฟ็กต์เลย

 

 

เส้นทางเข้าป่า ผ่านเนินดิน กับช่องทางแคบ

สำหรับเส้นทางช่วงนี้ เราจะพาเจ้า GLE 300d AMG Dynamic ขับเข้าป่ากันซักเล็กน้อย เส้นทางที่เราไปนั้น ถือว่าไม่ได้โหดอะไรมากมายนัก แต่จะให้เห็นถึงประโยชน์ของกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ที่ช่วยให้เราขับผ่านช่องทางแคบๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic ที่ทำการตัดต่อพละกำลังลงสู่ล้อทั้ง 4 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การขับรถผ่านเนินดินสลับ เป็นเรื่องง่ายของเอสยูวีหรูคันนี้ไปเลย

 

เส้นทางครอสคันทรี ตะลุยฝุ่น ตะกุยโคลน

เราปิดท้ายกันด้วยเส้นทางแบบครอสคันทรี ให้เจ้าเอสยูวีหรู ได้ปลดปล่อยอารมณ์กันซักหน่อย โดยพื้นผิวถนนมีทั้งทางกรวดลอย และทางดินโคลน ขุมพลัง 245 แรงม้า กับระบบขับเคลื่อน 4Matic บอกได้เลยว่ามันช่วยกันตะกุยพื้นถนนได้อย่างเมามัน ซึ่งบอกเลยว่าถ้าใครอยากสนุกแนะนำให้ปิดระบบ ESP เพราะถ้ายังเปิดระบบอยู่เมื่อรถเกิดอาการล้อหมุนฟรี มันจะมีการตัดกำลัง ทำให้อรรถรสในการขับเส้นทางสไตล์นี้อาจไม่เร้าใจเท่าที่ควร แต่สำหรับผมในวันนั้นบอกเลยครับว่าขอเปิดระบบไว้ เพื่อควาปลอดภัยในการขับขี่