เห็นรถปลั๊กอินไฮบริดมาก็เยอะ แต่ทุกค่ายที่ทำตลาดในประเทศไทย เลือกจับคู่มอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์เบนซิน แต่ครั้งนี้ ค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉีดแนว จับเอาเจ้าเอสยูวีหรู มาจับคู่มอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์ดีเซล เป็นเจ้าแรกของประเทศไทย ชักอยากรู้แล้วล่ะว่า ฟิลลิ่งของเครื่องยนต์ดีเซล ปลั๊กอินไฮบริด มันเป็นอย่างไร
สำหรับเจ้า SUV รุ่นที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกมาใส่ขุมพลังดีเซล ปลั๊กอินไฮบริดนั้น เป็นบอดี้ GLE ซึ่งก็ถือว่าเป็นบอดี้ที่ขายดีอีกรุ่นหนึ่งของค่ายดาวสามแฉก โดยรุ่นที่เรานำมาทดลองขับนั้นเป็นรุ่น GLE 350 de 4MATIC Exclusive ที่มาพร้อมค่าตัว 4,699,000 บาท
ทันทีที่ผมขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งคนขับ สิ่งแรกที่ผมอยากรู้สำหรับรถคันนี้ นั่นก็คือ เรื่องของความแรงของขุมพลังบล็อคนี้ ซึ่งเจ้า GLE 350 de 4MATIC Exclusive ได้มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี พร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ 2 Stage และอินเตอร์คูลเลอร์ โดยในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ให้พลังกำลังสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร โดยจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งตัวมอเตอร์นั้นให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานรวมกันแล้วจะให้พละกำลังสูงสุด 320 แรงม้า กับแรงบิดมหาศาลระดับ 700 นิวตันเมตร ส่วนระบบเกียร์ใช้แบบอัตโนมัติ 9G-TRONIC พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC
โดยในส่วนของความแรง ต้องขอแยกเป็นอย่างนี้ครับ เพราะรถคันนี้เค้าสามารถวิ่งได้ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน และเครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนนั้นความแรงนั้นอาจไม่ใช่ไฮไลท์เด่นของนาง แต่เอาจริงๆ เผลอกดคันเร่งแรงก็มีอาการหลังติดเบาะเบาๆ อยู่เหมือนกัน แต่ไฮไลท์เด็ดมันอยู่ที่ระยะทางในการวิ่ง ซึ่งโดยทั่วไปรถปลั๊กอินไฮบริดวิ่งไฟฟ้าล้วนก็อยู่กันราวๆ 30-40 โล หรือเก่งๆ ก็ 50-60 โล แต่สำหรับ GLE 350 de ลำนี้ มันซัดไปประมาณ 100 กิโลเมตร กับความเร็วสูงสุดที่ทำได้ถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งพระเอกของมันก็คือแบตเตอรี่ที่เป็นแบบ Lithium-ion ที่มีความจุมากถึง 31.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถ้าใครไม่เข้าใจเรื่องความจุ ผมอธิบายง่ายๆ แบบนี้และกันครับ ว่าความจุระดับนี้ มันคือเกือบเท่ารถไฟฟ้าที่ขายกันในเมืองไทย ซึ่งวิ่งกันได้ 300-400 กิโล แต่ด้วยความที่เจ้า GLE 350 de บอดี้มันใหญ่แถมมีน้ำหนักตัวที่มาก ก็เลยสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้เพียง 100 กิโลเมตร +/- แล้วแต่รูปแบบการขับขี่ แต่นั่นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว เพราะถ้าเทียบกันในกลุ่มรถ PHEV ต้องถือว่านี่คือรถปลั๊กอินไฮบริดที่วิ่งไฟฟ้าได้ระยะทางมากที่สุด
ขณะที่ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น อันนี้ก็เป็นอีกจุดที่เจ้า GLE 350 de ทำผมเซอร์ไพร์สอีกรอบ เพราะหลังจากผมได้วิ่งจนไฟเกลี้ยงแบตเตอรี่ และปรับโหมดการขับมาที่โหมด Normal สลับ Sport บ้าง เพื่อลองพละกำลัง ที่สเปคได้เครมไว้ว่าสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาที ซึ่งจากการได้ทดลองขับจริงๆ ก็ต้องบอกว่าอัตราเร่งเค้าไม่ธรรมดาจริงๆ มาครบทั้งตีนต้น ตีนกลาง และตีนปลาย แม้จะต้องแบกกับตัวถังไซส์ใหญ่ และน้ำหนักตัวมากขนาดนี้ แต่เมื่อได้ลองขับไปซักพัก ความแรงกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมเซอร์ไพร์ส แต่สิ่งที่ผมเซอร์ไพร์ส มันกลับเป็นเรื่องของความประหยัด ซึ่งผมคลิกหน้าจอไปดูข้อมูลเล่นๆ ว่าขับในเมืองบ้าง นอกเมืองบ้าง ตัวเลขซดน้ำมันจะอยู่ที่เท่าไหร่ เอาจริงครับ ผมอึ้งเลยนะครับเพราะหน้าจอมันแสดงตัวเลขบอกว่า 12.5 กม./ลิตร โอ้ว!! รถบอดี้ขนาดนี้ ขับสนุกขนาดนี้ แต่ทำตัวเลขประหยัดน้ำมันได้ขนาดนี้ มันสุดเซอร์ไพร์สไปเลยครับ แต่น่าเสียดายนิดตอนที่กล้องมือถือผม มันเป็นไรไม่รู้ ตอนถ่ายก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์อยู่ แต่ตอนที่มานั่งเขียนจะเอารูปมาใช้ มันดันขึ้นไฟล์ Error ซะอย่างงั้น ... เลยอดโชว์ตัวเลขให้เห็นเลย
เอาล่ะ!! หลังจากผมชมรถคันนี้กันไปพักใหญ่แล้ว มาดูส่วนที่ผมไม่ชอบบ้าง นั่นก็คือเรื่องของช่วงล่าง ซึ่งเจ้า GLE 350 de คันนี้ ความรู้สึกส่วนตัว ผมว่าช่วงล่างนุ่มนิ่มไปหน่อย แม้จะเป็นแบบไฟฟ้า ที่สามารถปรับระดับความแข็งอ่อนได้ แต่ถึงแม้จะปรับช็อคอัพให้อยู่ในโหมดสปอร์ต แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันนุ่นมันยวบไปอยู่ดี เนื่องด้วยสไตล์รถที่มีตัวถังขนาดใหญ่ น้ำหนักตัวมาก แถมยังสูงอีก ยิ่งพอช่วงล่างไม่หนึบ ความรู้สึกมันเลยโครงเครง เวลาใช้ความเร็ว แต่หากวิ่งในเมืองฟิลลิ่งแบบนี้มันดีเลยนะ เพราะนั่งแล้วนุ่มละมุนตูดซะเหลือเกิน
ส่วนเรื่องของการดีไซน์ภายในห้องโดยสาร เอาเป็นว่าเจ้า Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive คันนี้ มันดูหรูหราสมฐานะไปหมด ยิ่งใช้โทนสีภายในเป็นหนังสีน้ำตาล ที่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะชอบเหมือนผมรึป่าว แต่สำหรับผม มันรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านกับโซฟานุ่มๆ และยิ่งห้องโดยสารของ GLE มันใหญ่โตกว้างขวางด้วยแล้ว ยิ่งดูรีแลคผ่อนคลายเข้าไปใหญ่ แม้พวงมาลัยจะไม่ได้เป็นแบบตูดตัดตามสไตล์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ชอบใช้ ซึ่งตอนแรกที่ขึ้นมาก็แอบตินิดนึงว่าทำไมไม่ให้พวงมาลัยแบบนั้น แต่พอขึ้นไปนั่งแล้ว ถึงบางอ้อเลยครับ ก็ด้วยห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ ใช้พวงมาลัยแบบนี้ ก็ไม่เกะกะเวลาขึ้นลงเลยแม้แต่น้อย
ส่วนจอหนัง เอ้ย!! หน้าปัดที่ยาวขนาด 12.35 นิ้ว เหมือนเอา 2 จอมาต่อกัน ดูคมชัดมาก มองง่ายสบายตาไม่ว่าแสงแดดจะจ้าขนาดไหน ติอยู่นิดตรง Touch Pad ซึ่งหากยังใช้งานไม่คุ้นเคย ดูแล้วการสั่งการจะยากกว่าเบบที่เป็นปุ่มหมุนแบบเดิมที่ดูจะเฟรนลี่ย์มากกว่าก็เท่านั้น พร้อมกันนี้ในรุ่น Exclusive ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น จะไม่มีหลังคาซันรูฟมาให้ด้วย
ในส่วนของระบบความปลอดภัย ก็มีมาให้ อาทิ ระบบช่วยเบรกแบบ Active Brake Assist ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดบอดสายตา (Blind Spot Assist) ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์คันอื่นในจุดอับสายตา เพื่อให้คุณอุ่นใจและปลอดภัยมากขึ้นในการเปลี่ยนช่องจราจร ฯลฯ
ปิดท้ายด้วยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ที่มาพร้อมดีไซน์แบบ Exclusive body styling พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ LED high-performance ที่ทั้งสว่าง และให้โทนสีของแสงที่คล้ายกับแสงธรรมชาติทำให้คนขับที่สวนมาสบายตา ส่วนล้อแม็กดูสมส่วนดีกับยางขนาด 275/50 R20 ที่ใช้ขนาดเดียวกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดย Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive วางราคาค่าตัวไว้ที่ 4,699,000 บาท