ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจีนเป็นศูนย์กลางของแทบทุกอย่างในโลก โดยเฉพาะเรื่องของสินค้าต่างๆ ที่ไม่เพียงแค่ใช้ประเทศจีนเป็นฐานการผลิต แต่ด้วยศักยภาพที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราได้เห็นสินค้าหลายอย่างที่เป็นแบรนด์จากประเทศจีน โดยเฉพาะสินค้าด้านเทคโนโลยีที่ขึ้นไปแข่งขันกับสหรัฐอมเริกาหรือยุโรปแล้วก็แซงหน้าไปเป็นที่เรียบร้อย อุตสาหกรรมรถยนต์ก็เช่นกันนอกจากจะไปเทคโอเวอร์แบรนด์ใหญ่ๆ ระดับโลกมาหลายเจ้าแล้ว ทุกวันนี้แบรนด์รถยนต์ของจีนก็เติบโตขึ้นมากและบุกไปกินพื้นที่ในตลาดทั่วโลก งานโชว์รถระดับโลกจากเมื่อก่อนที่เราจะรู้จักงานใหญ่ๆ ก็มีที่ ดีทรอยท์ เจนีวา แฟรงค์เฟิร์ท ฯลฯ แต่ช่วงที่ผ่านมางานโชว์รถที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจมาเป็นอันดับต้นๆ คือ Shanghai Motor Show หรือเซี่ยงไฮ้มอเตอร์โชว์ เนื่องจากกำลังซื้อของคนจีนมีสูงมาก แบรนด์รถยนต์ของจีนเองก็มีมากมายเหลือเกิน และที่สำคัญช่วงหลังๆ มาเรามักได้เห็นแบรนด์รถยนต์ต่างๆ จากที่เคยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในงานมอเตอร์โชว์ในแถบยุโรปหรืออเมาริกา หันมาใช้ Shanghai Motor Show ในการเผยโฉมหน้ารถใหม่สู่สายตาโลก แต่ส่วนใหญ่รถยนต์ที่ถูกนำมาให้ชมกันจากงานโชว์รถพวกนี้โดยเฉพาะจากสื่อในประเทศไทยมักจะเป็นแบรนด์หรือยี่ห้อที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับ carzanova เราอยากนำเสนอตัวอย่างแบรนด์แปลกๆ ใหม่ๆ หรือบางแบรนด์อาจจะไม่ใหม่ แต่คุณอาจยังไม่คุ้นชื่อแบรนด์นั้นๆ จากงาน Shanghai Motor Show 2023 ครั้งล่าสุดมาให้ได้ชมกัน และเราเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นานนี้น่าจะได้เห็นมาขายหรือมาวิ่งในประเทศไทยอย่างแน่นอน
Zeekr
Zeekr
ขอเริ่มจาก Zeekr แบรนด์นี้ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่อยู่ภายใต้ Geely Automobile Holding โดยเป็นแบรนด์ที่เน้นเทคโนโลยีทันสมัยทั้งในเรื่องของฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ ที่ตั้งใจเกิดมาเป็นคู่แข่งของ Tesla โดยตรง และถึงแม้ว่าแบรนด์ Zeekr จะเพิ่งก่อกำเนิดมาเพียง 2 ปี แต่ก็มีรถออกมาแล้วถึง 4 รุ่น เริ่มจาก Zeekr 001 ที่เปิดตัวปี 2021 เป็นรถเก๋งสปอร์ตท้ายลาดสไตล์ Shooting Brake ถูกออกแบบในประเทศสวีเดน มอเตอร์ไฟฟ้าหน้า-หลัง มีกำลังถึง 536 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร ต่อด้วย Zeekr 009 ที่เป็นรถ MPV หรูหราขนาดใหญ่ในปี 2022 และได้ชื่อว่าเป็น MPV หรูพลังงานไฟฟ้าคันแรกของโลก รวมถึงมี Zeekr X ที่เป็นลักษณะ SUV ไซส์กลางตามออกมาด้วย และถึงแม้ในงาน Shanghai Motor Show ปีนี้ Zeekr ไม่ได้มีรถโมเดลใหม่มาโชว์ แต่พระเอกของบูธนี้ก็ยังคงเป็น Zeekr M-Vision รถต้นแบบรูปทรงสุดล้ำไม่มีเสากลางรถ (B-Pillar) ภายในกว้างขวาง เลือกรูปแบบและจำนวนที่นั่งได้ตามใจลูกค้า ซึ่งทาง Zeekr กล่าวว่า M-Vision จะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาและสร้างรถรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ของแบรนด์หลายรุ่นในอนาคต
Zeekr M-Vision
Nio
Nio EC7
แบรนด์ต่อมาคือ Nio ซึ่งก็เป็นแบรนด์ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งทีเด็ดของแบรนด์นี้คือการเปิดตัวแบรนด์ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ และที่สำคัญเปิดตัวรถยนต์คันแรกด้วยรถไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าชื่อว่า EP9 และมันไม่ใช่แค่รถต้นแบบ แต่ผลิตออกมาขายตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน มีพละกำลังถึง 1,341 แรงม้าเลยทีเดียว และสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.7 วินาที โดยหลังาจากนั้นทาง Nio ก็ได้ผลิตรถยนต์นั่งทั่วไปออกมาขายหลายรุ่น ซึ่งในงาน Shanghai Motor Show ปีนี้ รถที่ได้รับความสนใจก็เป็น Nio EC7 และ Nio ES8 ซึ่ง Nio EC7 เป็นสไตล์ SUV คูเป้ 5 ประตูขนาดกลาง 5 ที่นั่งพลังงานไฟฟ้า มีกำลัง 653 แรงม้า 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที มีแบตเตอรี่ให้เลือกตั้งแต่ 75 kWh ไปจนถึง 150 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 940 กม. โดยรุ่นนี้ตั้งใจออกมาเป็นคู่แข่งกับ Tesla Model X โดยตรง ส่วน Nio ES8 เป็น SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่สุดหรู มีทั้งแบบ 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง โดยรถที่โชว์ในงานถือเป็นไมเนอร์เชนจ์ของโมเดลนี้ มีกำลัง 644 แรงม้า และแรงบิด 850 นิวตันเมตรจากมอเตอร์ 2 ตัวหน้า-หลัง วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 900 กม.
Nio EC8
Xpeng
XPeng G6
แบรนด์ที่ 3 คือ Xpeng แบรนด์นี้ไม่ธรรมดา ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2014 มีสาขาออฟฟิสอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประสบความสำเร็จมากถึงขั้นเข้าไปอยู่ในของตลาดหลักทรัพย์ในนิวยอร์คเรียบร้อยแล้ว XPeng ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาขายแล้วหลายรุ่นโดยเน้นไปที่ SUV และซีดาน แต่ในงานปีนี้รถที่น่าสนใจในบูธของ XPeng คือ XPeng G6 ที่มาเผยโฉมในงานนี้ เป็น SUV ขนาดกลางที่ตั้งใจมาบุกตลาดยุโรปโดยเฉพาะ มาพร้อมสุดยอดเทคโนโลยีทั้งระบบขับขี่อัตโนมัติที่มีส่วนประกอบเป็นเซ็นเซอร์ 32 ตัว เรดาร์ อัลตราโซนิคอีก 12 จุด ระบบจับคลื่นไมโครเวฟ 5 จุด และกล้อง 13 ตัว มีให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์เดี่ยวติดตั้งด้านหน้า และมอเตอร์คู่ติดตั้งหน้า-หลัง มีแรงม้าตั้งแต่ 208-292 แรงม้า ส่วนแบตเตอรี่ก็มีตั้งแต่ขนาด 55.9 kWh ไปจนถึง 71.4 kWh ตามสเป็คสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 600 กม.
HiPhi
iPhi X
แบรนด์ที่ 4 ที่ผมเลือกมาคือ HiPhi เอาจริงๆ ก็สารภาพว่าไม่รู้ออกเสียงถูกต้องว่ายังไง จะ “ฮิฟิ” ก็ฟังดูชอบกล เอาเป็นว่า HiPhi เป็นแบรนด์รถที่ถือกำเนิดในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรถไฟฟ้าแน่นอน โดยรถคันแรกเปิดตัว และขายในประเทศจีนเมื่อปลายปี 2020 คือรุ่น HiPhi X เป็น SUV คูเป้ที่ตอนนี้บุกตลาดยุโรปไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสเปคที่ขายในประเทศจีนมีรุ่นย่อยที่ใช้แบตเตอรี่ขนาด 120 kWh จึงสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 705 กม. ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวหน้า-หลัง ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 528 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.9 วินาที หลังจากนั้นก็ออก HiPhi Z ตามมา เป็นรถลักษณะซีดานคูเป้ 5 ประตู หรือบางคนก็เรียกว่า Shooting Brake เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วโดยใช้แพลทฟอร์มเดียวกับ HiPhi X เอาเทคโนฌลยี AI มาใช้เพียบ รุ่นท็อปสุดติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวหน้า-หลัง พละกำลังรวม 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 820 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.8 วินาที ใช้แบตเตอรี่ขนาด 120 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 705 กม. แต่ตัวเด่นของ HiPhi ในงาน Shanghai ปีนี้คือ HiPhi Y เอาล่ะสิ ทำไมเขาไม่เรียง X Y Z ดันออกรุ่น Z มาก่อน Y ตอนแรกผมก็งง สุดท้าย อ๋ออ….เขาตั้งชื่อรุ่นตามขนาดของรถ HiPhi Y จะมีขนาดเล็กกว่า X เป็น SUV ขนาดกลาง ถูกลดออ๊พชั่นลงไปจาก X แต่ดีไซน์ยังล้ำยุคเหมือนกัน โดยเฉพาะประตูหลังที่ท่อนล่างเปิดตามปกติ และท่อนบนเปิดแบบปีกนกสไตล์ Gullwing ตามข้อมูลที่แจ้งมา แบตเตอรี่มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 76.6 kWh และ 115 kWh ส่วนมอเตอร์มีให้เลือกทั้งแบบตัวเดียวติดตั้งที่ด้านหลังกำลังสูงสุด 331 แรงม้า และรุ่นที่ติดตั้งมอเตอร์ 2 ตัวหน้า-หลัง ที่ให้กำลังถึง 498 แรงม้า โดยรุ่นท็อปสุดสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 810 กม. และทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.9 วินาที
Arcfox
แบรนด์สุดท้ายที่อยากยกตัวอย่างมาแนะนำคือ Arcfox ที่เน้นผลิตรถใช้งานทั่วไปไล่ไปตั้งแต่รถไซส์กระทัดรัดน่ารัก ซีดาน SUV ไปจนถึงไฮเปอร์คาร์อย่าง Arcfox-GT ที่ตัวท็อปที่เป็น Race Edition มีพละกำลังถึง 1,609 แรงม้า แรงบิด 1,320 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 2.59 วินาที ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งถ้าดูจากแรงม้าแล้วมากกว่า Bugatti Chiron และ Koenigsegg Jesko ด้วยซ้ำ โอยยย ขนลุก แต่คันในงาน Shanghai ที่อยากให้ชมไม่ใช่ไฮเปอร์คาร์คันดังกล่าว แต่เป็นรถหน้าตาน่ารักอย่าง Arcfox Kaola รถ Crossover ไฟฟ้าที่ตั้งใจออกมาขายกลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหลังที่ถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งเก้าอี้เด็ก ระหว่างเบาะนั่งด้านหลังเป็นคอนโซลกลางที่ปรับเลื่อนหน้า-หลัง และพับเปลี่ยนเป็นโต๊ะได้เพื่อให้ใช้เป็นเตียงเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กเล็ก
เด็ดไปกว่านั้นคือที่เบาะเด็กมีปุ่มกดระบบระบายกลิ่นออกจากรถเมื่อเด็กเล็กอุจจาระหรือปัสสาวะในรถ นอกจากนี้ในรถยังได้ติดตั้งกล่องเก็บความเย็นและความร้อนเพื่อแช่ขวดนมเด็ก รวมถึงถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเด็กเล็กด้วย ไม่พอแค่นั้น ระบบ Infotainment ในรถยังสามารถสั่งอ๊อพชั่นเพิ่มได้อย่างเช่น หน้าจอที่ปรับเปลี่ยนภาพไปตามอากัปกิริยาของเด็กขณะอยู่ในรถ รวมถึงเพลงที่จะปรับให้เด็กอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเด็กร้องไห้ อะไรมันจะขนาดนั้น! ส่วนเรื่องสมรรถนะตอนนี้มีเปิดเผยเพียงแค่ว่าสามาถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 310 กม. ที่เหลือจะเปิดเผยเมื่อรถออกขายในช่วงปลายปี
นี่เป็นบางส่วนของรถยนต์แบรนด์ประเทศจีน ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงสร้างความหวั่นวิตกให้แบรนด์ทางฝั่งยุโรปได้มากทีเดียว ด้วยรูปร่างหน้าตา เทคโนโลยี และสมรรถนะ บอกเลยว่าเขาไม่เป็นรองใครอีกต่อไปแล้ว ส่วนแบรนด์ไหนที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยบ้าง อันนี้เราต้องติดตามกันต่อไป แต่ผมมั่นใจว่าต้องขนกันมาอีกชุดใหญ่แน่นอน จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเองครับ
Photo credit: Wikipedia.com , CarNewsChina.com