เกือบ 100 ปีแล้วที่ชื่อ Bridgestone เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่คนรู้จักมากที่สุดในอุสาหกรรมยานยนต์ของโลก เป็นหนึ่งในโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก และที่สำคัญมีความเป็นเอกลักษณ์และไม่ค่อยคุยโม้โอ้อวดสักเท่าไหร่ ซึ่งจริงๆ แล้วมีหลายอย่างขององค์กรณ์นี้ที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะเป้าหมายหลักของการก่อตั้ง Bridgestone ขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น คุณเคยรู้หรือไม่ว่า Bridgestone เป็นผู้ผลิตอวัยวะเทียมให้สัตว์ด้วย นี่แค่ประเดิมตัวอย่างเดียวที่หลายคนยังไม่รู้เกี่ยวกับ Bridgestone ผมยกมา 10 ตัวอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Bridgestone มาดูกันครับว่ามีอันไหนบ้างที่คุณยังไม่รู้
1.เริ่มตั้งแต่ชื่อ Bridgestone มาจากชื่อผู้ก่อตั้งคือ คุณ โชจิโร่ อิชิบาชิ บริษัท Bridgestone ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1931 โดยคุณ โชจิโร่ อิชิบาชิ ที่เมืองกูสุเมะ จังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น โดยชื่อของบริษัทมาจากการแปลตรงตัวมาจากนามสกุลของคุณ อิชิบาชิ ซึ่งแปลว่า “Stone Bridge” หรือสะพานที่สร้างจากหิน แล้วนำมาสลับที่วางคำหน้า-หลังใหม่ โดยเริ่มผลิตยางครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 เมษายน ปีค.ศ. 1930 และได้ก่อตั้งบริษัท Bridgestone Tire Co.,Ltd. อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปีค.ศ. 1931
2.Bridgestone มีความเป็นเอกภาพสูงมาก ชนิดที่ว่าคิดค้นเทคโนโลยีการผลิตเองโดยไม่พึ่งเทคโนโลยีจากต่างชาติใดๆ ทั้งสิ้น อย่างที่เรารู้กันดีว่า Bridgestone ผลิตยางคุณภาพสูงโดยเฉพาะในอดีตที่แทบไม่มียางยี่ห้ออื่นสู้ได้ ซึ่งทั้งเรื่องเทคโนโลยี การผลิต และการขาย เป็น 3 สิ่งที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดมาโดยตลอด แต่หากมีปัญหาที่ต้องแก้ไข จะถูกดำเนินการโดยคุณอิชิบาชิ และบริษัทฯ เองล้วนๆ ไม่พึ่งบุคคลภายนอก หรือต่างชาติ
ซึ่งเป้าหมายหลักตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ของคุณอิชิบาชิ ก็คือ จะต้องนำหน้าสินค้าจากทางยุโรป และอเมริกา และที่สำคัญจะต้องใช้เทคโนโลยีที่คิดขึ้นเองในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งถือเป็นความฝันของคุณอิชิบาชิ มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กวัยรุ่นแล้ว โดยเว็ปไซต์ทางการของ Bridgestone ได้บอกถึงความฝันของคุณอิชิบาชิไว้ว่า “เขาอุทิศทั้งชีวิตให้กับประเทศญี่ปุ่น” และเรื่องที่บางคนอาจยังไม่รู้คือ เขาเป็นคนที่ชื่นชอบรถญี่ปุ่นแต่งซิ่งมาก ซึ่งคนที่รู้จักเขากล่าวว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่รับรองว่ารถซิ่งญี่ปุ่นยุค 90 จอดเต็มบ้านแน่นอน
3.Bridgestone เป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์แห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น คนในตระกูลอิชิบาชิรุ่นหลานกล่าวว่า Bridgestone เป็นโรงงานผลิตยางแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น โดยพัฒนาต่อเนื่องมาจากการเป็นโรงงานผลิตรองเท้ายางที่สมัยนั้นเรียกว่า “ยิกะ-ทาบิ” โดยเป็นลักษณะของถุงเท้าที่มีพื้นยางฉาบไว้ด้านล่างฝ่าเท้าใช้ใส่ทำงาน อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็ตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ถึง 10 ปีหลังจากก่อตั้ง เนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับทุกๆ ประเทศในช่วงสงคราม รัฐบาลญี่ปุ่นขอให้โรงงานต่างๆ ผลิตของที่จำเป็นต้องใช้ในสงคราม Bridgestone จึงต้องผลิตยางออกมาให้คนใช้โดยไม่ได้รับเงินตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ทำเอาบริษัทฯเกือบล้มละลาย รวมถึงระหว่างสงคราม ออฟฟิสใหญ่ของ Bridgestone ที่ตั้งอยู่ในเมืองโตเกียว ก็ยังโดยระเบิดเสียหายไปมากมายอีกด้วย
4.นอกจากผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์และยางต่างๆ แล้ว Bridgestone ยังมีนวัตกรรมเทคโนโลยีอื่นๆ ด้วย ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ หุ่นยนต์ โดยเป็นการสร้างหุ่นยนต์ที่ผิวเป็นวัสดุยาง โดยใช้โครงสร้างเป็นท่อยางร่วมกับเส้นใยที่แข็งแรง ผลที่ได้คือเป็นหุ่นยนต์ที่มีผิวนุ่ม สามารถหยิบจับสิ่งของวัตถุต่างๆ ได้เหมือนมือมนุษย์ นอกจากนี้ยังได้สร้างสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนอย่าง “PlusStop” มันคือขอบฟุตบาทของป้ายรถเมล์ ทำให้ขอบฟุตบาทไม่ต้องมีสันสูงเกินไป นวัตกรรมนี้ช่วยให้การขึ้น-ลงรถโดยสารของผู้สูงอายุหรือคนนั่งวีลแชร์ หรือคุณแม่ที่เข็นรถเข็นเด็กง่ายและสะดวกขึ้น
5.Bridgestone ไม่ได้มียางยี่ห้อ Bridgestone เพียงยี่ห้อเดียว แต่ยังมียี่ห้ออื่นในเครืออีกมากมาย จากการเติบโตของบริษัทฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Bridgestone มียางในเครืออีกหลายยี่ห้อเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายและแตกต่างของลูกค้าทั่วโลก ในกลุ่ม Bridgestone Group ตอนนี้มี Firestone, Nokian, Lassa, Uniroyal, Dayton, Debica, Dunlop, Sava, Fuda และ Kelly โดยแต่ละยี่ห้อถูกก่อตั้งขึ้นในประเทศต่างๆ กัน
โดย Bridgestone เป็นผู้ไปลงทุน อย่างเช่น ยางยี่ห้อ Debica เป็นยางที่ทำในประเทศโปแลนด์ ส่วน Lassa ทำในตุรกี ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต่างกันไป อย่างเช่น Dayton ก็เป็นยางราคาประหยัด ในขณะที่ Dunlop ถูกวางให้เป็นยางเกรดสูง อย่างล่าสุดก็เป็นยางติดรถของ Nissan Z รุ่นล่าสุด
6.Bridgestone เป็นหนึ่งในผู้ผลิตลูกกอล์ฟที่ดีที่สุด เพียง 4 ปีหลังจากก่อตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น Bridgestone ก็เริ่มผลิตลูกกอล์ฟ แต่ทำไมถึงต้องเป็นลูกกอล์ฟ? ถ้าดูขั้นตอนการผลิตแล้ว ยางรถยนต์กับลูกกอล์ฟมีขั้นตอนคล้ายกันมาก และที่สำคัญทุกครั้งที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นในการผลิตยางรถยนต์ ก็จะนำมาใช้กับการทำลูกกอล์ฟด้วยเสมอ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ คุณอิชิบาชิ เป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาอยู่แล้วด้วย ก็เลยคิดผลิตลูกกอล์ฟเองแล้วออกขายภายใต้ยี่ห้อ Bridgestone เสียเลย จากวันนั้นจนถึงวันนี้เกือบ 100 ปี ลูกกอล์ฟยี่ห้อ Bridgestone ก็ยังคงเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะถูกนำไปใช้โดยนักกอล์ฟระดับโลกอย่าง Tiger Woods และ Bryson DeChamebeau
7.Bridgestone คือหนึ่งในผู้นำการอนุรักษ์ธรรมชาติแบบยั่งยืน ซึ่งถือเป็นคอนเซ็ปต์หลักของบริษัทฯ โดยเริ่มเห็นชัดเจนจากยางรุ่น Ecopia ที่มีคุณสมบัติลดการต้านขณะวิ่งบนถนน โดยยาง Ecopia ถูกผลิตจากส่วนผสมของยางเก่าที่นำมารีไซเคิล 5% ทำให้ลดการใช้วัตถุดิบยางไปได้พอสมควร นอกจากนี้ยังมีแผนกวิจัยทางเลือกวัตถุดิบใหม่ที่จะนำมาใช้ในการผลิตยางนอกเหนือจากยางพารา โดยตอนนี้ได้ลองเอาต้น “วายูเล่” ที่มีน้ำยางเหนียวๆ คุณภาพและคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำยางพารามาวิจัยเพื่อให้เป็นวัตถุดิบใหม่เพื่อยางเกรดใหม่ๆ ในอนาคต
8.Bridgestone เป็นหนึ่งในผู้ผลิตอวัยวะเทียมให้กับสัตว์ ซึ่งเรื่องนี้มีคนรู้น้อยมาก เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อปี 2003 ที่ อิกินาวา ชูโรมิ อะควาเรียม มีเจ้าโลมาตัวหนึ่งชื่อฟูจิ เป็นมะเร็งที่ครีบ ทำให้จำเป็นต้องตัดเนื้อร้ายที่ครีบออกถึง 75% ส่งผลให้มันไม่สามารถว่ายน้ำได้อีก ทางอะควาเรียมแห่งนั้นกับ Bridgestone จึงระดมความคิดหาทางช่วยเหลือเจ้าฟูจิ จนในที่สุดก็ได้สร้างครีบเทียมสำหรับโลมาขึ้นมาซึ่งถือเป็นชิ้นแรกของโลก ช่วยให้เจ้าฟูจิกลับมาว่ายน้ำได้อีกครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นในปี 2010 ทาง Bridgestone ก็ได้ทำแบบนั้นอีกครั้งกับโลมาชื่อลานัน ที่ โนโตจิมะ อะควาเรียม
9.Bridgestone มีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญของรายการแข่งขันรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกอย่าง Formula 1 รายการ US Grand Prix ปี 2005 ถือเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการกีฬาเลยก็ว่าได้ เหตุเกิดที่การแข่งขัน F1 ที่สนามแข่งรถ Indianapolis Motor Speedway เมื่อหลายทีมที่ใช้ยาง Michelin ไม่สามารถเข้าโค้ง 13 ในความเร็วสูงได้ รวมถึงทาง Michelin ก็แจ้งด้วยว่า ยางรุ่นนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุดเพียง 10 รอบสนาม หลังจากนั้นต้องเปลี่ยนเพราะอาจส่งผลต่อความปลอดภัยทั้งรถแข่งและนักแข่งได้
ดังนั้น Michelin จึงเสนอให้ FIA ปรับรูปแบบสนามให้ใช้ความเร็วในโค้งน้อยลง แต่ไอเดียดังกล่าวดูจะไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ซึ่งก่อนหน้าการแข่งขันครั้งนั้นทาง Bridgestone ได้ส่งวิศวกรไปที่สนามแข่งแห่งนั้นทำการทดสอบและเก็บข้อมูล และเอาข้อมูลที่ได้มาผลิตยางที่รองรับความเร็วในโค้งได้ เป็นอย่างดีและมีความทนทาน ในเมื่อความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ ทุกทีมที่ใช้ยาง Michelin จึงถอนตัวจากการแข่งขันรายการนั้น ทำให้เหลือรถแข่งลงแข่งเพียง 3 ทีม ได้แก่ Ferrari, Jordan และ Minardi ซึ่งสามทีมนี้ใช้ยาง Bridgestone หมายความว่าแค่ขับครบรอบกำหนดและเข้าเส้นชัย ทุกคันก็ขึ้นโพเดียม ซึ่งผู้ชนะในวันนั้นได้แก่ ไมเคิล ชูมัคเกอร์
10.Bridgestone กำลังสร้างยางที่ไม่ต้องเติมลมสำหรับรถยนต์ทั่วไป ถือเป็นโปรเจ็กต์ล่าสุดที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ซึ่งจุดประสงค์ของการพัฒนายางรถยนต์ชนิดนี้คือ ลดขั้นตอนการผลิตยางให้สั้นลงจากยางทั่วไป ส่งผลถึงการใช้วัตถุดิบที่น้อยลง และยังลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากขั้นตอนการผลิตของโรงงานด้วย
เป็นอย่างไรบ้างครับ ผมเชื่อว่าใน 10 ตัวอย่างที่ยกมานี้ ต้องมีบางอันที่คุณรู้แล้ว แต่บางอันคุณอาจคาดไม่ถึงแน่ๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งพัฒนาแต่ผลิตภัณฑ์อย่างเดียว แต่ยังมองหาและพัฒนานวัตกรรมเพื่ออนาคตอีกหลายอย่างทีเดียว
Photo credit: https://leanotas.com/bridgestone-buscara-comercializar-el-caucho-natural-de-guayule-para-2030/
https://en.m.wikipedia.org/wiki/File:Schumacher_%28Ferrari%29_in_practice_at_USGP_2005.jpg
https://imboldn.com/bridgestone-air-free-bicycle-tire-concept
